[เล่มที่ 57] พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ทุกนิบาตชาดก เล่ม ๓ ภาค ๓ - หน้า 209
๗. จตุมัฏฐชาดก
ผู้เลวทราม ๔ อย่าง
อ่านหัวข้ออื่นๆ ... [เล่มที่ 57]
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ทุกนิบาตชาดก เล่ม ๓ ภาค ๓ - หน้า 209
๗. จตุมัฏฐชาดก
ผู้เลวทราม ๔ อย่าง
[๒๒๓] ท่านทั้งสองพากันขึ้นไปบนค่าคบไม้อันสูง อยู่ในที่ลับแล้วปรึกษากัน เชิญท่านลงมาปรึกษากันในที่ต่ำเถิด พระยาเนื้อจักได้ฟังบ้าง.
[๒๒๔] สุบรรณกับสุบรรณเขาปรึกษากัน เทวดากับเทวดาเขาพูดกันในเรื่องนี้ จะมีประโยชน์อะไรแก่สุนัขจิ้งจอกผู้เลวทราม ๔ อย่าง (สรีระ ๑ ชาติ ๑ เสียง ๑ คุณ ๑) เล่า แน่ะสุนัขจิ้งจอกผู้ชาติชั่ว เจ้าจงเข้าไปสู่โพรงเถิด.
จบ จตุมัฏฐชาดกที่ ๗
อรรถกถาจตุมัฏฐชาดกที่ ๗
พระศาสดาเมื่อประทับอยู่ ณ พระเชตวันมหาวิหาร ทรงปรารภภิกษุรูปหนึ่ง ตรัสพระธรรมเทศนานี้ มีคำเริ่มต้นว่า อุจฺเจ วิฏภิมารุยฺห ดังนี้.
มีเรื่องได้ยินว่า วันหนึ่งเมื่อพระอัครสาวกสองรูป นั่งสนทนาปรารภการถามและการแก้ปัญหากัน พระแก่รูปหนึ่งไปหาท่านนั่งเป็นรูปที่สาม กล่าวว่า นี่ท่าน ผมจะถามปัญหา
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ทุกนิบาตชาดก เล่ม ๓ ภาค ๓ - หน้า 210
กะท่าน แม้ท่านก็จงถามข้อสงสัยของตนกะผมบ้าง. พระเถระรังเกียจพระแก่นั้น ลุกหลีกไป. พวกบริษัทที่นั่งเพื่อจะฟังธรรมของพระเถระ จึงพากันไปเฝ้าพระศาสดา ในเวลาที่การประชุมล้มเลิกไป เมื่อพระองค์ตรัสถามว่า ทำไมพวกเธอมาผิดเวลา จึงกราบทูลเหตุนั้นให้ทรงทราบ. พระศาสดาตรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สารีบุตรและโมคคัลลานะรังเกียจพระแก่นั้น ใช่พูดจาด้วยแล้วหลีกไป มิใช่ในบัดนี้เท่านั้น แม้แต่ก่อนก็พากันหลีกไป แล้วทรงนำเรื่องในอดีตมาตรัสเล่า.
ในอดีตกาล ครั้งพระเจ้าพรหมทัตเสวยราชสมบัติอยู่ในกรุงพาราณสี พระโพธิสัตวได้ถือกำเนิดเป็นรุกขเทวดา อยู่ในราวป่า. ครั้งนั้นลูกหงส์สองตัวออกจาก ภูเขาคิชฌกูฏ จับที่ต้นไม้นั้นแล้วไปหาอาหาร เมื่อบินกลับก็พักอยู่ที่ต้นไม้นั้นเอง แล้วกลับไปภูเขาคิชฌกูฏ. เมื่อเวลาผ่านไป หงส์สองตัวก็มีความคุ้นเคยกับพระโพธิสัตว์. เมื่อบินผ่านไปมาต่างก็ชื่นชมสนทนาธรรมกันและกันแล้วก็หลีกไป. อยู่มาวันหนึ่ง เมื่อหงส์ทั้งสองจับอยู่บนยอดไม้สนทนากับพระโพธิสัตว์. สุนัขจิ้งจอกตัวหนึ่งยืนอยู่ใต้ต้นไม้นั้น เมื่อจะสนทนากับลูกหงส์เหล่านั้นจึงกล่าวคาถาแรกว่า :-
ท่านทั้งสองพากันขึ้นไปบนค่าคบไม้อันสูง อยู่ในที่ลับแล้วปรึกษากัน เชิญท่านลงมาปรึกษากันในที่ต่ำเถิด พญาเนื้อจักได้ฟังบ้าง.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ทุกนิบาตชาดก เล่ม ๓ ภาค ๓ - หน้า 211
ในบทเหล่านั้น บทว่า อุจฺเจ วิฏภิมารุยฺห ความว่า พากันขึ้นไปบนค่าคบไม้อันสูงตามปกติ คือ สูงกว่าบนต้นไม้นี้. บทว่า มนฺตยวฺโห ได้แก่ ปรึกษากัน คือคุยกัน. บทว่า นีเจ โอรุยฺห ได้แก่ เชิญลงมายืนปรึกษากันในที่ต่ำเถิด. บทว่า มิคราชาปิ โสสฺสติ ได้แก่ สุนัขจิ้งจอกพูดยกตนเป็น พญาเนื้อ.
ลูกหงส์ทั้งสองรังเกียจ จึงพากันบินไปภูเขาคิชฌกูฏ. ในเวลาที่หงส์สองตัวกลับไป พระโพธิสัตว์จึงกล่าวคาถาที่ ๒ แก่สุนัขจิ้งจอกว่า :-
ครุฑกับครุฑเขาปรึกษากัน เทวดากับเทวดาเขาพูดกันในเรื่องนี้ จะมีประโยชน์อะไรแก่สุนัขจิ้งจอก ผู้เลวทราม ๔ อย่าง (สรีระ ๑ ชาติ ๑ เสียง ๑ คุณ ๑) เล่า แน่ะสุนัขจิ้งจอกผู้ชาติชั่ว เจ้าจงเข้าโพรงไปเถิด.
ในบทเหล่านั้น บทว่า สุปณฺโณ แปลว่า สัตว์ผู้มีปีกงาม. บทว่า สุปณฺเณน ได้แก่ ลูกหงส์ตัวที่สอง. บทว่า เทโว เทเวน ได้แก่ สมมติลูกหงส์ทั้งสองนั้นเป็นเทวดาปรึกษากัน. บทว่า จตุมุฏฺสฺส อธิบายตามตัวอักษรว่า สุนัขจิ้งจอกผู้เลวทราม คือ บริสุทธิ์ด้วยเหตุ ๔ อย่าง คือ สรีระ ๑ ชาติ ๑ เสียง ๑ คุณ ๑. พระโพธิสัตว์เมื่อจะติเตียนความไม่บริสุทธิ์ด้วยคำสรรเสริญ จึงกล่าวอย่างนี้. ในบทนี้มีอธิบายดังนี้ว่า สุนัขจิ้งจอกชั่วช้า คือ ลามกด้วยเหตุ ๔ ประการคืออะไร. บทว่า วิลํ ปวิส คือ
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ทุกนิบาตชาดก เล่ม ๓ ภาค ๓ - หน้า 212
พระโพธิสัตว์แสดงอารมณ์อันน่ากลัวนี้ เมื่อจะไล่สุนัขจิ้งจอกให้หนีไปจึงกล่าว.
พระศาสดาทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแล้ว ทรงประชุมชาดก. ภิกษุแก่ในครั้งนั้นได้เป็นสุนัขจิ้งจอกในครั้งนี้ ลูกหงส์สองตัวได้เป็นสารีบุตรและโมคคัลลานะ ส่วนรุกขเทวดา คือเรา ตถาคตนี้แล.
จบ อรรถกถาจตุมัฏฐชาดกที่ ๗