ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ขออนุญาตแบ่งปันข้อความธรรม (ปันธรรม) ที่ได้จากการฟังพระธรรมจากท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ในแต่ละครั้ง รวบรวมเป็นธรรมเตือนใจเพื่อศึกษาและพิจารณาร่วมกัน เพื่อความเข้าใจธรรม (ปัญญ์ธรรม) ตามความเป็นจริง ซึ่งเป็นข้อความที่สั้นบ้าง ยาวบ้าง แต่ก็มีอรรถที่สมบูรณ์ พอที่จะเข้าใจได้ควรค่าแก่การพิจารณาอย่างยิ่ง ดังนี้
ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๓๓๖
~ เรื่องของความคิดนึกเป็นเรื่องสำคัญ เพราะว่าทุกคนต้องคิดนึก และกว่าจะรู้ได้ว่าความคิดขณะใดเป็นกุศล ความคิดขณะใดเป็นอกุศล ก็ต้องอาศัยการอบรมเจริญปัญญาจริงๆ เพราะเหตุว่า อกุศล เร็ว แล้วก็มาก เพราะฉะนั้น เมื่อเป็นประจำอย่างนี้ ยากที่จะรู้ได้จริงๆ ว่า ความคิดที่เป็นกุศลต่างกับความคิดที่เป็นอกุศลอย่างไร
~ ถ้าไม่ละทิ้งอกุศลเจตสิกที่คิดนึกในเรื่องไม่เป็นประโยชน์ ก็จะทำให้คิดนึกแต่ในเรื่องไม่เป็นประโยชน์
~ สภาพธรรมทุกอย่าง ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตน ทั้งหมดตั้งแต่เกิดจนตาย ถ้ามีความเข้าใจที่ถูกต้อง เป็นสัญญา ความจำที่มั่นคง เป็นปัจจัยให้สติเกิดระลึกได้ว่า ในขณะที่เห็นในขณะนี้ก็เป็นสภาพธรรมที่มีจริง และสิ่งที่ปรากฏทางตาในขณะนี้ ก็เป็นสภาพธรรมที่มีจริง
~ ถ้าบุคคลใด ไม่มีความเห็นถูก การปฏิบัติก็ไม่ถูก การรู้แจ้งธรรม ก็ถูกไม่ได้ เพราะฉะนั้น ความเห็นถูก เป็นเบื้องต้นทีเดียว เป็นสิ่งสำคัญที่สุด ที่จะทำให้ท่านสามารถประพฤติปฏิบัติต่อไปจนกระทั่งได้รู้แจ้งสภาพธรรมตามความเป็นจริง
~ ผู้ใดหนักด้วยมิจฉาทิฏฐิ (ความเห็นผิด) ยึดมั่นในความเห็นที่ไม่ตรงกับพระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทรงแสดงไว้ และไม่ตรงกับสภาพธรรมตามความเป็นจริง แต่ว่า ก็ไม่ทิ้งหรือว่าทิ้งไม่ได้ นั่น ก็แสดงว่า ความเห็นผิด หนักมากทีเดียว ซึ่งถ้าไม่ถ่ายถอน ก็ไม่มีโอกาสที่จะเห็นถูก หรือว่า ไม่มีโอกาสที่จะรู้แจ้ง รู้จริงในสภาพธรรมตามที่ปรากฏและตามที่ได้ทรงแสดงไว้
~ ถ้ามีความเห็นผิดเสียแล้ว การชักชวน หรือ คำพูดที่ผิด ก็ย่อมเกิดขึ้น ทำให้บุคคลอื่นประพฤติปฏิบัติตามในสิ่งที่ผิดไปด้วย
~ ขณะใดที่จะกระทำอกุศลกรรม ขณะนั้น ก็เป็นการสะสมเพิ่มพูนกิเลสอีก และ ขณะใดที่หลงลืมสติ ขณะนั้น ก็เพิ่มพูนกิเลสมากขึ้นด้วย เพราะฉะนั้น ผู้ที่เห็นโทษของกิเลส แล้วก็ใคร่ที่จะดับกิเลส ก็จะไม่เพิ่มกิเลส โดยการกระทำทุจริตกรรมทางกาย ทางวาจา เพราะฉะนั้น กุศลธรรมมิใช่น้อยจึงเจริญ ย่อมถึงความเจริญบริบูรณ์ เพราะความเห็นชอบเป็นปัจจัย เป็นสิ่งที่เป็นประโยชน์
~ ความเห็นผิด เป็นอกุศลธรรมประเภทหนึ่ง ซึ่งพัดไปทำให้ไม่กลับมาสู่ความเห็นถูก เพราะฉะนั้นเป็นอันตรายมาก ถ้ามีความเห็นผิดเพียงเล็กน้อย
แล้วก็จะทำให้ความเห็นผิดนั้นพาไปสู่ความเห็นผิดที่มากขึ้นและลึกขึ้น ยากแก่การที่จะละ
~ อยู่ด้วยโลภะ (ความติดข้อง) อยู่ด้วยความเกลียดชัง อยู่ด้วยความริษยา อยู่ด้วยความเห็นแก่ตัวหรือเปล่า? นั่นไม่ใช่ผู้ประเสริฐเลย เพราะฉะนั้น ผู้ประเสริฐจริงๆ แม้ในชีวิตประจำวัน ก็คือ อยู่ด้วยเมตตา หมายความว่า ความเป็นมิตร ความเป็นเพื่อน พร้อมจะเกื้อกูล ไม่ได้หมายความว่า ให้เราหลงผิด ทำผิดไปกับคนอื่น แต่การเกื้อกูล คือ เกื้อกูลให้ถูกต้อง ให้เขามีความเห็นถูก ให้มีความเข้าใจถูก ให้มีกาย วาจา ใจ ที่ถูก นี่คือ ความเป็นมิตรที่แท้จริง
~ ถ้ารู้ตัวเองว่า "กุศลใดๆ ที่ทำ ยังไม่พอ ยังน้อยเหลือเกิน เมื่อเทียบกับอกุศล" ก็จะเป็นกำลังใจที่จะทำให้มีศรัทธา ที่จะทำกุศลมั่นคงขึ้น
~ การที่กุศลจะเจริญขึ้นได้นั้น ต้องเป็นผู้ที่เห็นคุณจริงของกุศลธรรมที่จะเป็นไปเพื่อการขัดเกลาอกุศล จึงไม่ว่างเว้นจากโอกาสที่จะได้สะสมความดีในชีวิตประจำวัน ไม่ว่าจะเป็นโอกาสของความดีประเภทใดก็ตาม
~ การศึกษาพระธรรมทั้งหมด ก็จะละคลายความไม่รู้ และก็ละคลายอกุศลทั้งหลายซึ่งเกิดเพราะความไม่รู้ จนกระทั่งสามารถที่จะนอกจากละชั่ว แล้วก็บำเพ็ญความดี ก็ยังชำระจิตให้บริสุทธิ์จากการยึดถือสภาพธรรมว่า เป็นตัวตน เป็นสัตว์ เป็นบุคคล ด้วย
~ ประโยชน์สูงสุดของการฟังพระธรรม แม้ในวันนี้ ก็คือ ได้เกิดความเข้าใจถูกเห็นถูกในสภาพธรรมที่มีจริงๆ แม้ว่าจะเพียงเล็กน้อย ก็เป็นความเห็นที่ถูกต้อง ว่า เป็นธรรม เริ่มเข้าใจในความเป็นธรรม
~ ถ้าไม่ศึกษาพระธรรม และไม่อบรมเจริญปัญญา ยิ่งขึ้น ก็จะต้องถูกพัดไปด้วยอกุศล และเป็นผู้หนาด้วยอกุศล เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
~ ถ้าเข้าใจธรรม เป็นคนดีขึ้นแน่นอน
~ สิ่งที่สะสมสืบต่อที่ประเสริฐอย่างยิ่ง คือ ความเข้าใจถูกเห็นถูก
~ เกิดมาต้องจากโลกนี้ไป ไม่มีอะไรที่จะติดตามไปได้เลย ทรัพย์สมบัติทั้งหลายแม้แต่รูปร่างกายที่เคยยึดถือว่าเป็นเรา ก็ไปด้วยไม่ได้ ไม่สามารถจะติดตามไปได้เลย แต่ความเข้าใจเหมือนการสะสมความรู้ทีละเล็กทีละน้อย ก็ติดตามไป และมีโอกาสที่จะได้เข้าใจเพิ่มขึ้น เช่นวันนี้ก็มีโอกาสได้เข้าใจเพิ่มจากวันก่อนที่ไม่เคยฟัง และถ้าฟังต่อไปความเข้าใจก็ต้องเพิ่มขึ้นอีกด้วย เป็นสิ่งที่ประเสริฐที่สุด
~ เราจะห้ามคนที่มีกิเลสไม่ให้เขาเบียดเบียนได้ไหม ห้ามกิเลสไม่ให้กระทำทุจริตได้ไหม นั่นเป็นหน้าที่ของสภาพธรรมที่ไม่ดี ก็ต้องทำสิ่งที่ไม่ดี แต่ถ้าเป็นสภาพธรรมที่ดี อย่างใจดี คนใจดี จะเบียดเบียนคนอื่นไหม จะประทุษร้ายคนอื่นไหม เพราะฉะนั้น ก็เป็นธรรมสองฝ่าย คือ ธรรมที่ดีกับธรรมที่ไม่ดี ปัญญาสามารถเข้าใจถูกว่าอะไรเป็นอะไร ปัญญาเท่านั้นที่สามารถที่จะนำไปสู่กิจของกุศลทั้งปวง ไม่ใช่ไปทำอะไรได้ แต่ความเข้าใจต่างหากที่จะทำให้สภาพธรรมฝ่ายดีเกิดขึ้น เพิ่มขึ้น
~ ที่ใช้คำว่าเพื่อน (ที่ไม่ดี) จะใช้คำว่า คู่ชีวิต หรือ ตลอดชีวิต หรืออะไรก็ตามแต่ ซึ่งอยู่ด้วยกันบ่อยๆ ยากที่จะพรากจากกันไปได้ ก็คือ โลภะหรือความติดข้อง นั่นเอง
~ พูดจริงทุกกาละ (ทุกเวลา) กับทุกบุคคล ไม่เสียหาย ไม่ผิด ไม่เป็นที่รังเกียจ ไม่เป็นที่ติเตียน (เพราะฉะนั้น) ก็ทำสิ่งที่รู้ว่า " ดี "
~ เห็นประโยชน์ เห็นคุณของความดี (กุศล) ว่า เป็นสิ่งเดียว ซึ่งเมื่อค่อยๆ สะสม ค่อยๆ เพิ่มขึ้นก็สามารถที่จะละทางฝ่ายอกุศลได้
~ กุศล (ความดี) ไม่ทำให้เกิดปัญหาใดๆ เลยทั้งสิ้น แต่อกุศล (ความชั่ว) ทั้งหมด ก็เป็นปัจจัยทำให้เกิดปัญหา ตั้งแต่เล็กจนถึงปัญหาที่ใหญ่ได้
~ ไม่ว่ายุคไหน สมัยไหน เหมือนกันหมด คนไม่รู้ ก็คือ คนไม่รู้ คนไม่เห็นประโยชน์ (ของพระธรรม) ก็ไม่เห็นประโยชน์ของพระธรรม คนไม่มีศรัทธาก็ไม่มีศรัทธา
~ พระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้ดีแล้ว ให้ใครฟัง? ให้คนที่ฟังแต่ละคน
~ แต่ละคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นคำที่ทำให้เกิดความเข้าใจที่ถูกต้อง ซึ่งไม่สามารถจะคิดเองได้ เลย
~ สภาพธรรมที่จะละความติดข้อง ก็เป็นความเห็นถูก ความเข้าใจถูก เพราะว่า ความติดข้องทั้งหมด เกิดจากความไม่รู้
~ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ตรัสเรื่อง ตา หู จมูก ลิ้น กายใจ ในกี่พระสูตร ซ้ำแล้วซ้ำอีก เพราะว่า ฟังครั้งเดียวไม่พอ
~ รู้ว่ามีกิเลสมาก แต่ไม่ฟังพระธรรม จะบรรเทาละคลายกิเลสได้อย่างไร?
~ ขณะที่ชื่นชมในความดีของบุคคลอื่น ขณะที่ช่วยเหลือเกื้อกูลบุคคลอื่น นั่น เพราะ สติเกิดขึ้นระลึกเป็นไปในกุศล
~ ขณะที่เข้าใจธรรม จิตผ่องใสจากความไม่รู้ เพราะฉะนั้น แต่ละคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จะฟังต่อไปไหม ถ้าฟังต่อไป นั่นคือ ผู้มีศรัทธา.
ขอเชิญคลิกอ่านย้อนหลังครั้งที่ผ่านมาได้ที่นี่ครับ
ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๓๓๕
... กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง
และอนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ ...
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
กราบขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
กราบขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ
กราบอนุโมทนาค่ะ
ขออนุโมทนาครับ