๑๐. นิรุตติปถสูตร ว่าด้วยวิถีทางแห่งนิรุตติ ๓ ประการ
โดย บ้านธัมมะ  6 ก.ย. 2564
หัวข้อหมายเลข 36819

[เล่มที่ 27] พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย ขันธวารวรรค เล่ม ๓ - หน้า 143

๑๐. นิรุตติปถสูตร

ว่าด้วยวิถีทางแห่งนิรุตติ ๓ ประการ


อ่านหัวข้ออื่นๆ ... [เล่มที่ 27]



ความคิดเห็น 1    โดย บ้านธัมมะ  วันที่ 1 ก.พ. 2565

พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย ขันธวารวรรค เล่ม ๓ - หน้า 143

๑๐. นิรุตติปถสูตร

ว่าด้วยวิถีทางแห่งนิรุตติ ๓ ประการ

[๑๓๔] กรุงสาวัตถี. ณ ที่นั้นแล พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสว่า ก่อนภิกษุทั้งหลาย วิถีทาง ๓ ประการ คือ หลักภาษา ชื่อ และบัญญัติ นี้ไม่ถูกทอดทิ้ง และยังไม่เคยถูกทอดทิ้ง ย่อมไม่ถูกทอดทิ้ง จักไม่ถูกทอดทิ้ง อันสมณพราหมณ์ผู้วิญญูชนไม่คัดค้านแล้ว ๓ ประการเป็นไฉน ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย การนับรูปที่ผ่านพ้นไปแล้ว ดับแล้ว แปรปรวนไปแล้ว ว่าได้มีแล้ว การให้ชื่อรูปนั้นว่าได้มีแล้ว การบัญญัติรูปนั้นว่าได้มีแล้ว รูปนั้นไม่นับว่ามีอยู่ ไม่นับว่าจักมี การนับเวทนาที่ผ่านพ้นไปแล้ว ดับแล้ว แปรปรวนไปแล้ว ว่าได้มีแล้ว การให้ชื่อเวทนานั้นว่าได้มีแล้ว การบัญญัติเวทนานั้นว่าได้มีแล้ว เวทนานั้นไม่นับว่ามีอยู่ ไม่นับว่าจักมี การนับสัญญาที่ผ่านพ้นไปแล้ว ดับแล้ว แปรปรวนไปแล้ว ว่าได้มีแล้ว การให้ชื่อสัญญานั้นว่าได้มีแล้ว การบัญญัติสัญญานั้นว่าได้มีแล้ว สัญญานั้นไม่นับว่ามีอยู่ ไม่นับว่าจักมี การนับสังขารที่ผ่านพ้นไปแล้ว ดับแล้ว แปรปรวนไปแล้ว ว่าได้มีแล้ว การให้ชื่อสังขารนั้นว่าได้มีแล้ว การบัญญัติสังขารนั้นว่าได้มีแล้ว สังขารเหล่านั้นไม่นับว่ามีอยู่ ไม่นับว่าจักมี การนับวิญญาณที่ผ่านพ้นไปแล้ว ดับแล้ว แปรปรวนไปแล้ว ว่าได้มีแล้ว การให้ชื่อวิญญาณนั้นว่าได้มีแล้ว การบัญญัติวิญญาณนั้นว่าได้มีแล้ว วิญญาณนั้นไม่นับว่ามีอยู่ ไม่นับว่าจักมี.

[๑๓๕] การนับรูปที่ยังไม่เกิด ยังไม่ปรากฏ ว่าจักมี การให้ชื่อรูปเช่นนี้ว่าจักมี และการบัญญัติรูปเช่นนั้นว่าจักมี รูปนั้นไม่นับว่า


ความคิดเห็น 2    โดย บ้านธัมมะ  วันที่ 1 ก.พ. 2565

พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย ขันธวารวรรค เล่ม ๓ - หน้า 144

มีอยู่ ไม่นับว่ามีแล้ว การนับเวทนาที่ยังไม่เกิด ยังไม่ปรากฏ ว่าจักมี การให้ชื่อเวทนาเช่นนั้นว่าจักมี และการบัญญัติเวทนาเช่นนั้นว่าจักมี เวทนานั้นไม่นับว่ามีอยู่ ไม่นับว่ามีแล้ว การนับสัญญาที่ยังไม่เกิด ยังไม่ปรากฏว่าจักมี การให้ชื่อสัญญาเช่นนั้นว่าจักมี และการบัญญัติสัญญาเช่นนั้นว่าจักมี สัญญานั้นไม่นับว่ามีอยู่ ไม่นับว่ามีแล้ว การนับสังขารที่ยังไม่เกิด ยังไม่ปรากฏ ว่าจักมี การให้ชื่อสังขารเช่นนั้นว่าจักมี และการบัญญัติสังขารเช่นนั้นว่าจักมี สังขารเหล่านั้นไม่นับว่ามีอยู่ ไม่นับว่ามีแล้ว การนับวิญญาณที่ยังไม่เกิด ยังไม่ปรากฏ ว่าจักมี การให้ชื่อวิญญาณเช่นนั้นว่าจักมี และการบัญญัติวิญญาณเช่นนั้นว่าจักมี วิญญาณนั้นไม่นับว่ามีอยู่ ไม่นับว่ามีแล้ว.

[๑๓๖] การนับรูปที่เกิดแล้ว ปรากฏแล้ว ว่ามีอยู่ การให้ชื่อรูปนั้นว่ามีอยู่ และการบัญญัติรูปเช่นนั้นว่ามีอยู่ รูปนั้นไม่นับว่ามีแล้ว ไม่นับว่าจักมี การนับเวทนาที่เกิดแล้ว ปรากฏแล้วว่ามีอยู่ การให้ชื่อเวทนาเช่นนั้นว่ามีอยู่ และการบัญญัติเวทนาเช่นนั้นว่ามีอยู่ เวทนานั้นไม่นับว่ามีแล้ว ไม่นับว่าจักมี การนับสัญญาที่เกิดแล้ว ปรากฏแล้ว ว่ามีอยู่ การให้ชื่อสัญญาเช่นนั้นว่ามีอยู่ และการบัญญัติสัญญาเช่นนั้นว่ามีอยู่ สัญญานั้นไม่นับว่ามีแล้ว ไม่นับว่าจักมี การนับสังขารที่เกิดแล้ว ปรากฏแล้ว ว่ามีอยู่ การให้ชื่อสังขารเช่นนั้นว่ามีอยู่ และการบัญญัติสังขารเช่นนั้นว่ามีอยู่ สังขารเหล่านั้นไม่นับว่ามีแล้ว ไม่นับว่าจักมี การนับวิญญาณที่เกิดแล้ว ปรากฏแล้ว ว่ามีอยู่ การให้ชื่อวิญญาณเช่นนั้นว่ามีอยู่ และการบัญญัติวิญญาณเช่นนั้นว่ามีอยู่ วิญญาณนั้นไม่นับว่ามีแล้ว ไม่นับว่าจักมี ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย วิถีทาง ๓ ประการ คือ หลักภาษา การตั้งชื่อ และ


ความคิดเห็น 3    โดย บ้านธัมมะ  วันที่ 1 ก.พ. 2565

พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย ขันธวารวรรค เล่ม ๓ - หน้า 145

บัญญัติ เหล่านี้แล ไม่ถูกทอดทิ้งแล้ว ยังไม่เคยถูกทอดทิ้ง ย่อมไม่ถูกทอดทิ้ง จักไม่ถูกทอดทิ้ง อันสมณพราหมณ์ผู้เป็นวิญญูชนไม่คัดค้านแล้ว.

[๑๓๗] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย แม้ชนชาวอุกกลชนบทกับชนชาววัสสโคตรภัญญโคตรทั้งสองนั้นล้วนพูดว่าไม่มีเหตุ บุญบาปที่ทำไปแล้ว ไม่เป็นอันทำ ทานที่บุคคลให้แล้วไม่มีผล ก็ได้สำคัญวิถีทาง ๓ ประการนี้ คือ หลักภาษา การตั้งชื่อ และข้อบัญญัติว่า ไม่ควรติ ไม่ควรคัดค้าน ข้อนั้นเพราะเหตุอะไร เพราะกลัวถูกนินทา กลัวกระทบกระทั่ง กลัวใส่โทษ และกลัวจะต่อความยาว.

จบ นิรุตติปถสูตรที่ ๑๐

จบ อุปายวรรคที่ ๑

อรรถกถานิรุตติปถสูตรที่ ๑๐

ในนิรุตติปถสูตรที่ ๑๐ มีวินิจฉัยดังต่อไปนี้ :-

ภาษานั่นแหละ ชื่อว่า ทางภาษา อีกอย่างหนึ่ง ภาษานั้นๆ ด้วย ชื่อว่า ปถะ เพราะเป็นทางแห่งเนื้อความที่พึงรู้แจ้งด้วยอำนาจภาษา ด้วยเหตุนั้นจึงชื่อว่า นิรุตติปถะ. แม้ในสองบทที่เหลือก็นัยนี้แหละ. อนึ่ง บททั้งสามเหล่านี้ พึงทราบว่าเป็นไวพจน์ของกันและกันทั้งนั้น. บทว่า อสงฺกิณฺณา ความว่า ไม่ถูกทอดทิ้ง คือ ไม่ถูกกล่าวว่าจะเป็นประโยชน์อะไรด้วยทางเหล่านี้ แล้วทิ้งเสีย. บทว่า อสงฺกิณฺณปุพฺพา ความว่า ไม่เคยถูกทอดทิ้งแม้ในอดีต. บทว่า น สงฺกิยนฺติ ความว่า แม้ในบัดนี้ก็ไม่ถูกทอดทิ้งว่า ประโยชน์อะไรด้วยทางเหล่านี้. บทว่า น สงฺกิยิสฺสนฺติ ความว่า แม้ในอนาคตก็จักไม่ถูกทอดทิ้ง. บทว่า อปฺปฏิกุฏฺา ได้แก่ ไม่ห้ามแล้ว. บทว่า อตีตํ ได้แก่ ก้าวล่วงสภาวะของตน


ความคิดเห็น 4    โดย บ้านธัมมะ  วันที่ 1 ก.พ. 2565

พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย ขันธวารวรรค เล่ม ๓ - หน้า 146

หรือภวังคจิตนั่นแหละ. บทว่า นิรุทฺธํ ความว่า ไม่ล่วงเลยส่วนอื่น ดับคือเข้าไปสงบในที่นั้นเอง. บทว่า วิปริณตํ ได้แก่ ถึงความแปรปรวน คือ พินาศไป. บทว่า อชาตํ แปลว่า ไม่เกิดขึ้น. บทว่า อปาตุภูตํ ได้แก่ ไม่ตั้งอยู่โดยปรกติ.

บทว่า อุกฺกลา ได้แก่ ผู้อยู่ในอุกกลชนบท. บทว่า วสฺสภญฺา ได้แก่ วัสสโคตรและภัญญโคตร. ชนทั้งสองพวกนั้นยึดถือทิฏฐิเป็นมูล. ในบทว่า อเหตุกวาทา เป็นต้น มีวินิจฉัยดังต่อไปนี้ ชื่อว่า อเหตุกวาทา เพราะถือว่า เหตุไม่มี ปัจจัยไม่มี ชื่อว่า อกิริยวาทา เพราะถือว่า เมื่อบุคคลทำบาปชื่อว่าไม่เป็นอันทำ เป็นต้น ชื่อว่า นัตถิกวาทา เพราะถือว่า ทานที่ให้แล้ว ไม่มีผล เป็นต้น. ในข้อนั้น มีชนอยู่ ๒ พวก มีทิฏฐิอยู่ ๓ อย่าง แต่มิใช่พวกหนึ่งๆ มีทิฏฐิ พวกละทิฏฐิครึ่ง ในข้อนี้ พวกหนึ่งๆ พึงทราบว่า ทำทิฏฐิทั้งสามให้เกิด เหมือนภิกษุรูปหนึ่งทำฌานทั้ง ๔ ให้เกิดขึ้นตามลำดับ. เมื่อบุคคลรำพึงยินดีเพลิดเพลินอยู่บ่อยๆ ว่า เหตุไม่มี ปัจจัยไม่มี ความเห็นของเขาย่อมเป็นเหมือนยินดีในฌาน เหมือนมรรคทัสสนะ เขาหยั่งลงสู่ความกำหนดว่าเป็นมิจฉาทิฏฐิ เขาถูกเรียกว่าเป็นผู้มีธรรมฝ่ายดำอย่างแท้จริง. ในฐานะ แม้เหล่านี้ คือเมื่อบุคคลทำบาปไม่ชื่อว่าเป็นอันทำ ทานที่ให้แล้วย่อมไม่มีผล มิจฉาทิฏฐิกบุคคลย่อมหยั่งลงสู่ความกำหนดว่าเป็นมิจฉาทิฏฐิ เหมือนหยั่งลงในอเหตุกทิฏฐิ ฉะนั้น.

ในคำว่า น ครหิตพฺพํ น ปฏิกฺโกสิตพฺพํ อมญฺิํสุ นี้มีวินิจฉัยดังต่อไปนี้ เมื่อบุคคลกล่าวว่าสิ่งที่ชื่อว่าอดีตก็คงเป็นอดีต สิ่งที่เป็นอดีตนี้ เป็นอนาคตก็ได้ เป็นปัจจุบันก็ได้ ชื่อว่าย่อมติเตียน. ครั้นเห็นโทษในทิฏฐินั้นแล้ว เมื่อจะกล่าวว่า ประโยชน์อะไรด้วยสิ่งที่เราติเตียนนี้


ความคิดเห็น 5    โดย บ้านธัมมะ  วันที่ 1 ก.พ. 2565

พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย ขันธวารวรรค เล่ม ๓ - หน้า 147

ชื่อว่าย่อมคัดค้าน. ก็พวกยึดถือทิฏฐิผู้ถูกเรียกว่าเป็นผู้มีธรรมฝ่ายดำอย่างแท้จริง แม้เหล่านั้นสำคัญทางภาษาเหล่านี้ว่าไม่ควรติเตียน ไม่ควรคัดค้าน แต่กล่าวสิ่งที่เป็นอดีตว่าคงเป็นอดีต สิ่งที่เป็นอนาคตว่าคงเป็นอนาคต สิ่งที่เป็นปัจจุบันว่าคงเป็นปัจจุบันอยู่นั่นเอง. บทว่า นินฺทาพฺยาโรสอุปารมฺภภยา ความว่า เพราะกลัวแต่การนินทา เพราะกลัวแต่การเสียดสี เพราะกลัวแต่การใส่โทษ และเพราะกลัวแต่การติเตียน จากสำนักของวิญญูชนทั้งหลาย. ในพระสูตรนี้พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสบัญญัติขันธ์ที่เป็นไปในภูมิ ๔ ด้วยประการฉะนี้แล.

จบ อรรถกถานิรุตติปถสูตรที่ ๑๐

จบ อุปายวรรคที่ ๑

รวมพระสูตรที่มีในวรรคนี้ คือ

๑. อุปายสูตร ๒. พีชสูตร ๓. อุทานสูตร ๔. ปริวัฏฏสูตร ๕. สัตตัฏฐานสูตร ๖. พุทธสูตร ๗. ปัญจวัคคิยสูตร ๘. มหาลิสูตร ๙. อาทิตตสูตร ๑๐. นิรุตติปถสูตร.