Thai-Hindi 17 December 2022
- (คราวที่แล้วพวกเราเริ่มด้วยการพูดถึงกิจแรกคือปฏิสนธิกิจ ควรจะสนทนาเรื่องนี้ต่อไหม)
- ดีมากเลย มีอะไรสงสัยไหม อย่าลืมว่าเรากำลังพูดถึงธรรม ไม่ได้พูดถึงใครเลย ถ้าไม่มีธรรมเกิดขึ้นก็ไม่มีใครเลยทั้งสิ้น เพราะฉะนั้นคนเกิดมาต่างกันไหม
- ต่างกันตั้งแต่เป็นคนตัวใหญ่ ตัวเล็กจนกระทั่งเป็นสัตว์ตัวใหญ่ ตัวเล็กตั้งแต่ช้างจนถึงมดต่างกันไหม
- ที่ต่างกันมากคือ การเป็นคนกับเป็นสัตว์ในโลกนี้ คุณอาช่าอยากเกิดเป็นสัตว์หรือเป็นคน เพราะอะไร (คุ้นเคยเป็นมนุษย์ก็อยากจะเป็นมนุษย์ต่อ)
- แสดงว่าถ้าเกิดเป็นสัตว์คุ้นเคยกับการเป็นสัตว์ก็อยากจะเป็นสัตว์ต่อใช่ไหม
- สัตว์อยากจะเกิดเป็นมนุษย์ไหม มีสัตว์ตัวไหนไหมที่คิดว่ามนุษย์ดีกว่า (สุนัขอาจจะคิดอย่างนั้น) แต่ว่าสัตว์รักสัตว์มากกว่ามนุษย์ใช่ไหม
- นี่แสดงให้เห็นความต่างกันของมนุษย์กับสัตว์เพราะมนุษย์ก็เห็น สัตว์ก็เห็น มนุษย์ได้ยิน สัตว์ก็ได้ยินมนุษย์ได้กลิ่น สัตว์ก็ได้กลิ่น มนุษย์รู้สิ่งที่กระทบสัมผัส สัตว์ก็รู้และสัตว์ก็คิดมนุษย์ก็คิดแต่ต่างกันมากเพราะว่า สัตว์ไม่สามารถที่คิดและเข้าใจความจริงได้
- มนุษย์เห็น สัตว์เห็น มนุษย์โกรธ สัตว์โกรธ ต้องเป็นอย่างนี้อยู่แล้วตลอดที่เป็นอกุศล ไม่มีอะไรที่ต่างกันใช่ไหม เพราะฉะนั้นถ้าไม่ถือรูปร่างใดๆ เลย โกรธเกิดขึ้น ไม่ใช่มุษย์ ไม่ใช่สัตว์แต่เป็นสภาพธรรมที่มีจริง
- เพราะฉะนั้นจึงมีมนุษย์ที่เหมือนสัตว์เดรัจฉาน มีมนุษย์ที่เหมือนเปรต มีมนุษย์ที่เหมือนเทวดา แล้วแต่ขณะนั้นเป็นจิตประเภทไหนเพราะฉะนั้นถึงแม้ว่ามนุษย์ได้สะสมความไม่ดีมามาก ทำกรรมไม่ดีมากมากแต่กรรมหนึ่งที่ดีกุศลกรรมทำให้เกิดเป็นมนุษย์
- เพราะฉะนั้นกรรมอะไรทำให้เกิดเป็นมนุษย์ และกรรมอะไรทำให้เกิดเป็นสัตว์เดรัจฉาน
- เพราะฉะนั้นกุศลอกุศลเป็นเหตุหนึ่งที่ได้กระทำแล้วเป็นกรรมต่างๆ แต่กรรมหนึ่งทำให้เกิดต่างกัน ถ้าเป็นผลของกุศลกรรมจิตนั้นที่เกิดเกิดจากกรรมจึงเป็นกุศลวิบากจิตทำกิจปฏิสนธิ
- เกิดมาเป็นผลของกุศลที่ต่างกันมากทำให้แต่ละคนต่างกันทั้งรูปร่างหน้าตา ผิวพรรณ ทรัพย์สมบัติ ฐานะ ตระกูล
- กุศลจิต กุศลวิบากที่ทำกิจปฏิสนธิดับไหม เมื่อปฏิสนธิจิตที่เป็นวิบากดับแล้ว การดับไปของจิตนั้น นตฺถิปจฺจย (นัตถิปัจจยะ) เป็นปัจจัยให้จิตต่อไปเกิดได้ ถ้าปฏิสนธิจิตยังไม่ดับจิตอื่นเกิดได้ไหม
- นี่เป็นปัจจัยหนึ่งตั้งแต่ขณะแรกเมื่อมีสภาพธรรมเกิดแล้วยังไม่ดับจิตต่อไปเกิดไม่ได้ แต่เมื่อปฏิสนธิจิตดับการดับไปของจิตนั้นทำให้จิตอื่นเกิดต่อทันที
- กรรมที่ได้ทำแล้วไม่ใช่เพียงทำให้จิตเกิดขึ้นเป็นปฏิสนธิจิตเท่านั้น กรรมที่ทำให้เกิดยังทำให้จิตเกิดต่อไปเป็นผลของกรรมจนกว่าจะหมดกรรมจะเป็นคนนั้นอีกต่อไปไม่ได้
- (คุณมานิชถามว่า เขาโดนตบหน้า เป็นผลของกรรมของเขาเองหรือและว่าคนที่ตบหน้าจะได้รับผลทีหลัง)
- ยังตบหน้าไม่ได้ ยังไม่มีหน้า เพิ่งเกิดหนึ่งขณะจิตคือปฏิสนธิจิตแล้วดับไป จะได้กล่าวถึงจิตต่อไปทีละหนึ่งขณะ ถ้าเป็นแบบคุณมานิชไม่มีทางที่จะเข้าใจ คิดอยู่นั่นแหละ
- เพราะฉะนั้นต้องเข้าใจจนละเอียดจึงจะรู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้าและเข้าใจถูกต้องว่า พระองค์ตรัสรู้ทุกอย่างซึ่งเราไม่สามารถที่จะรู้จิตที่เกิดสืบต่อแต่ละหนึ่งขณะได้เลย
- เกิดเป็นมนุษย์เป็นผลของกุศลกรรมในโลกที่มีรูป มีเสียง มีกลิ่น มีรส มีสิ่งที่กระทบสัมผัส เพราะฉะนั้นให้ทราบว่ากรรมที่ได้ทำไม่ว่ากุศลกรรมหรืออกุศลกรรมก็หลากหลายต่างกันมากเพราะฉะนั้นจึงต้องให้ผลต่างกัน
- โลกที่เป็นที่เกิดของกุศลกรรมที่ได้กระทำแล้วเป็นโลกที่มีรูปทางตา มีเสียงทางหู มีกลิ่นทางจมูก มีรสทางลิ้น มีการคิดนึกเรื่องต่างๆ เหล่านั้นทั้งหมดเป็นผลของกุศลมีเท่าไหร่ตามที่เคยทราบหรือยังไม่ทราบเลย มีใครเคยทราบมาก่อนไหม
- นี่เป็นการทบทวน บางคนก็เคยอ่านมาแล้วบ้างแต่ว่าความเข้าใจต้องเข้าใจทุกคำที่ได้อ่าน เพราะฉะนั้นเขาเคยได้ยินชื่อสวรรค์ เคยได้ยินชื่อดุสิต เคยได้ยินชื่อต่างๆ แต่ไม่ทราบว่าคืออะไร ให้ทราบว่าที่เกิดของผลของกรรมที่ดีมีทั้งหมด มนุษย์ ๑ สวรรค์ ๖ ชั้น
- ยังไม่ต้องจำทั้งหมดเลยก็ได้เพียงแต่ให้ทราบว่า ผลของกุศลไม่ใช่ทำให้เกิดแต่เฉพาะในโลกนี้แต่ยังเกิดในโลกที่มีรูปมีเสียงอีก ๖ โลก เพราะฉะนั้นให้ทราบว่า ผลของกรรมดีอย่างต่ำที่สุดทำให้เกิดเป็นมนุษย์ สูงกว่านั้นมากกว่านั้นก็เป็นสวรรค์แต่ละชั้นอีก ๖ ชั้นเป็นที่เกิดที่เป็นผลของกรรมที่ทำให้ได้รับรูป เสียง กลิ่น รส พวกนี้มีทั้งหมด ๗ ภูมิและสำหรับผลของอกุศลกรรมทั้งหมดเป็นอบายภูมิ ๔
- เคยพูดบ้างเช่น นรก เคยพูดบ้างเช่น สวรรค์ ก็หมายถึงที่เกิดของกุศลกรรมอกุศลกรรมที่ต่างกัน
- ไม่ว่าจะเกิดที่ไหนปฏิสนธิจิตเป็น ๑ ขณะซึ่งกรรมเป็นเหตุให้เกิดขึ้นทำหน้าที่เกิดขึ้นในภพภูมินั้น
- ถ้าไม่มีกรรม ปฏิสนธิจิตเกิดไม่ได้ เพราะฉะนั้นพระอรหันต์ทั้งหลายดับกรรม เมื่อปรินิพพานแล้วก็ไม่มีการเกิดอีกเลย
- เพราะฉะนั้นอรหันต์คือใคร (ผู้ที่จะไม่เกิดอีก) ทำไมไม่เกิด อยู่ดีๆ ก็ไม่เกิดหรือ เดี๋ยวนี้อยู่ดีๆ ก็เกิดเป็นพระอรหันต์หรือ (ตอบไม่ได้)
- เพราะฉะนั้นต้องฟังให้เข้าใจตั้งแต่ต้น อรหันต์คือใคร พระโสดาบันคือใคร พระสกทาคามีคือใคร พระอนาคามีคือใคร ปุถุชนเป็นใคร กัลยาณปุถุชนเป็นใคร ทั้งหมดไม่รู้ถ้าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ทรงแสดง เพราะพระองค์ตรัสรู้ธรรมทั้งปวง
- ถ้าไม่ไตร่ตรองทีละคำ จะไม่สามารถรู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเลย เพราะธรรมอย่างซึ่งกำลังมีเดี๋ยวนี้ลึกซึ้งมั้ย
- เดี๋ยวนี้มีจิตไหม จิตเกิดดับรึเปล่า เดี๋ยวนี้เป็นปัญญาหรือเป็นอวิชชาความไม่รู้ (เป็นปัญญา) ปัญญารู้อะไร (ตอบไม่ได้) ตอบไม่ได้เป็นปัญญารึเปล่า (ที่ตอบว่าเป็นปัญญาเพราะดูจากสถานการณ์) แล้วเข้าใจอะไรที่ฟังแล้ว (เข้าใจว่าตอนที่ตอบคำถามตอบว่ามีจิตก็น่าจะมีปัญญาด้วย) “น่าจะ” หมายความว่าอะไร เขาเข้าใจไหม มีปัญญารึเปล่า
- หมายความว่า รู้ตามความเป็นจริง ไม่ใช่ว่าจำชื่อ เขาจำชื่อว่ามีจิต แต่ยังไม่รู้จักจิต เพราะจิตเกิดดับแล้วดับแล้วเร็วมากลึกซึ้งอย่างยิ่ง
- เรากำลังพูดถึงสิ่งที่ลึกซึ้งที่สุดที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงบำเพ็ญพระบารมีนานมากจึงตรัสรู้สิ่งที่พระองค์ได้ทรงแสดงให้เข้าใจสิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้ตามความเป็นจริง เพราะฉะนั้นศึกษาด้วยความเคารพถึงที่สุด ต้องเข้าใจทีละคำ เพราะกำลังพูดถึงสิ่งที่มีจริงซึ่งไม่ได้ปรากฏตามที่พระองค์ได้ตรัสรู้แล้ว เพราะลึกซึ้งยิ่ง
- พูดถึงสิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้ขณะนี้เป็น ปฏิสนธิจิตหรือเปล่า ถ้าไม่มีปฏิสนธิจิตจะมีจิตเดี๋ยวนี้ไหม ต้องเข้าใจจริงๆ มั่นคง เพราะฉะนั้นเมื่อปฏิสนธิจิตดับ จะมีจิตเห็นอย่างนี้ไหม ฟังคำถามดีๆ พอปฏิสนธิจิตดับ จะมีจิตเห็นอย่างนี้ได้ไหม
- นี่คือสิ่งที่เราไม่รู้ แต่เข้าใจตามที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงโดยละเอียดยิ่งว่า ทันทีที่จิต ๑ ดับไป จิตอะไรเกิดต่อ เปลี่ยนแปลงไม่ได้ตามปจฺจย เพราะฉะนั้นเริ่มเข้าใจความเป็นปัจจัยของธรรมซึ่งเปลี่ยนไม่ได้
- ปฏิสนธิจิตดับไป กรรมให้ผลที่เกิดเพียง ๑ ขณะไม่ได้ ไม่พอ กรรมที่ทำให้เกิด จะต้องทำให้ดำรงอยู่จนกว่าจะหมดกรรมที่ทำให้เป็นบุคคลนี้จึงตาย เพราะฉะนั้นตายขณะนั้นเป็นอะไร อะไรตาย (เป็นจิต) เป็นจิตประเภทไหน ชาติไหน
- (เป็นวิบาก) ถูกต้อง เพราะฉะนั้นอยากตาย ตายได้ไหม ไม่อยากตายแต่ตายได้ไหม เพราะอะไร เพราะกรรม ๑ ที่ทำให้เกิด สามารถให้มีชีวิตต่อไปจนถึงขณะที่สิ้นกรรมนั้นจึงมีจิตที่เป็นวิบากที่เกิดจากกรรมนั้นทำให้จิตนั้นเกิดขึ้นทำกิจพ้นสภาพความเป็นบุคคลนี้ ยังสงสัยอะไรไหม
- (คุณมานิชรู้สึกตัวว่าไม่เข้าใจ มาได้ฟังแล้วก็รู้ว่ายังไม่เข้าใจอะไรอีกมาก) นั่นก็เป็นปัญญาที่เห็นถูก
- ถ้าไม่มีปัญญาอย่างนี้จะไม่สามารถมีปัญญาได้เลย
- ตอนนี้รู้จัก ๒ กิจแล้วใช่ไหม ทั้งหมดมีกี่กิจ จะไม่พูดถึงกิจที่ยังไม่พูดถึง แต่เราพูดเพื่อให้เขาจำและเข้าใจ ไม่ใช่จำแต่ไม่เข้าใจ
- เขาจำชื่อปัญจทวาราวัชนนจิต มโนทวาราวัชชนจิต แต่ไม่เข้าใจ ไม่มีประโยชน์ เพราะฉะนั้นเดี๋ยวนี้เขารู้จัก ๒ กิจอะไรบ้าง
- (ปฏิสนธิกับจุติ) ดีมาก ทั้งหมดมี ๑๔ กิจ ไม่ว่าโลกไหน บนสรรค์ บนมนุษย์ ในเปรต อสุรกาย ในนรกทั้งหมดของจิตมีทั้งหมด ๑๔ กิจแล้วแต่ว่าจิตไหนทำกิจอะไร
- มดมีกี่กิจ เพราะฉะนั้นบอกจำนวนก่อนจะได้รู้ว่าเขาได้รู้จักกี่กิจแล้ว เพราะฉะนั้นมดก็มีเกิด มดก็มีตาย ตามกรรม ช้างก็มีเกิด ช้างก็มีตาย ตามกรรม สิ่งที่เกิดขณะแรกเป็นปฏิสนธิและขณะสุดท้ายก็คือเป็นผลของกรรม เพราะฉะนั้นปฏิสนธิเป็นวิบากจิต จุติจิตเป็นวิบากจิตของกรรมเดียวกัน
- ทันทีที่ปฏิสนธิจิตเกิด ดับไหม เพราะฉะนั้นจิตที่เกิดมีปัจจัย ๑ คือ อนันตรปัจจัย หมายความว่า ทันทีที่ปฏิสนธิจิตดับ จิตที่เป็นปฏิสนธิเป็นปัจจัยให้เกิดจิตขณะต่อไป
- พอที่จะคิดไตร่ตรองได้ไหมว่า จิตต่อไปขณะที่เกิดเป็นจิตประเภทไหน เป็นจิตอะไร เป็นผลของกรรมอะไร
- จิตที่เกิดต่อจากปฏิสนธิจิตทำกิจปฏิสนธิได้ไหม (ไม่ได้) ถูกต้อง เพราะปฏิสนธิจิตเกิด ๑ ขณะทำกิจและจุติจิตก็เกิดเพียงขณะเดียวไม่เกิดอีกเลยต้องทำกิจเดียว กิจสุดท้ายที่ทำให้พ้นจากความเป็นบุคคลนี้เท่านั้น
- เพราะฉะนั้นกรรมที่ทำให้เกิด กรรมเดียวกันนั้นเป็นปัจจัยทำให้จิตขณะต่อไปเกิด เป็นผลของกรรมนั้นที่ดำรงภพชาติยังตายไม่ได้
- เพราะฉะนั้นจิตที่ทำกิจสืบต่อจากปฏิสนธิจิตเป็นผลของกรรมเดียวกับปฏิสนธิจิต แต่ไม่ได้ทำกิจปฏิสนธิ แต่ทำกิจดำรงภพชาติจนกว่าจะหมดกรรม
- ภวังคจิตเหมือนกับปฏิสนธิจิตเป็นผลของกรรมที่ทำให้มีผลของกรรมอื่นๆ เกิดได้ เพราะฉะนั้นจิตที่เกิดต่อจากปฏิสนธิจิตเห็นอะไรรึเปล่า เพราะฉะนั้นรู้จักกี่กิจของจิต
- (๓ กิจ) ดีมาก ทุกคนเกิด ทุกคนยังไม่ได้เห็นอะไร ยังไม่ได้ยินอะไร แต่กรรมทำให้วิบากจิตเกิดดำรงภพชาติจนกว่าจะมีผลของกรรมอื่นเกิดขึ้น
- เพราะฉะนั้น เราไม่รู้หรือใครก็ไม่รู้ แต่ว่าสภาพธรรมเป็นอย่างนี้ ทันทีที่ปฏิสนธิจิตดับ จิตอื่นเกิดต่อไม่ได้นอกจากจิตที่เป็นผลของกรรมนั้นดำรงรักษาให้มีจิตเกิดสืบต่อไปจนกว่าจิตอื่นๆ จะเกิดขึ้นทีหลัง
- ในสวรรค์ปฏิสนธิจิตเกิดแล้วดับแล้วจิตอะไรเกิดต่อ ช้างเกิดปฏิสนธิจิตเกิดดับ จิตอะไรเกิดต่อ
- เพราะฉะนั้นเรารู้ ๒ ปัจจัย อนันตรปัจจัย ทันทีที่จิตเกิดดับเป็นปัจจัยให้จิตขณะต่อไปเกิดและอีกปัจจัย ๑ สมนันตรปัจจัย จิตอื่นต่อจากปฏิสนธิจิตไม่ได้ต้องเป็นภวังค์ นี่เป็นการที่จิตจะต้องเกิดดับสืบต่อเป็นไปตามปัจจัย
- เพราะฉะนั้นภวังคจิตเกิดนานไหม (จนกว่าจะมีจิตอื่นเกิด) เพราะฉะนั้นนานไหมกว่าจะมีจิตอื่นเกิด (แล้วแต่ปัจจัย) สั้นก็ได้นานก็ได้ แล้วแต่ปัจจัย แล้วแต่ภพภูมิด้วย
- ขณะที่เป็นภวังค์ ภวังค์ ภวังค์ มีอะไรปรากฏให้รู้ไหม
- ในขณะที่ยังมีชีวิตอยู่พอจะรู้ได้ไหมว่า ขณะไหนเป็นภวังค์
- ขณะที่นอนหลับสนิท สนิทคือไม่มีอะไรปรากฏ เพราะฉะนั้นเราถึง ๓ กิจแล้วใช่ไหม
--ต่อไปเราจะพูดถึงกิจที่ ๔ ซึ่งต่างกับ ๓ กิจ ขณะที่ปฏิสนธิ ขณะที่เป็นภวังค์ ขณะที่จุติ ไม่มีอะไรปรากฏเลย กรรมให้ผลเพียงเท่านั้นพอไหม
- เพราะฉะนั้นจิตขณะต่อไปเป็นขณะที่เริ่มรู้สึกตัว เป็นจิตที่เริ่มคิดแต่ไม่มีความเข้าใจอะไรเลย ขณะนั้นเพียงแต่เริ่มรู้สึกตัว เป็นกิจ ๑ ของจิตที่ไม่ใช่ภวังค์ เป็นการตื่นจากภวังค์เป็นมโนทวาราวัชชนจิต มาจากคำว่า มโน ทวาร และ อาวัชนนะ ๑ ขณะสั้นมาก เพราะมโนทวาราวัชชนจิตเกิดเพียงขณะเดียว เพราะฉะนั้นขณะนั้นไม่ปรากฏอารมณ์ที่ชัดเจน
- มโนทวาราวัชชนจิตเป็นจิตขณะแรกที่เริ่มคิดถึงสิ่งหนึ่งสิ่งใด ถ้ามโนทวาราวัชชนจิต ๑ ขณะ ไม่มีใครรู้ แต่จิตที่เกิดต่อจากมโนทวาราวัชชนจิตเกิดเพราะการสะสมการที่ไม่รู้ความจริง การติดข้องต่างๆ การสำคัญว่าเป็นเราสะสมมา
- เพราะฉะนั้นขณะที่เป็นมโนทวาราวัชชนจิตเริ่มรู้สึกตัวแล้วดับ เมื่อมโนทวาราวัชชนจิตดับเป็นจิตที่รู้อะไรอย่างหนึ่ง รู้ว่ามีอะไรคือรู้ว่า มีเรา จากไม่รู้อะไรเลยพอเริ่มรู้สึก เรารู้ เป็นเรา เพราะฉะนั้นความเป็นเราอย่างเบาบางที่สุดลึกที่สุดเกิดต่อจากทันทีที่รู้สึกตัวหลังจากที่เกิดแล้ว
- เพราะฉะนั้นขณะที่เริ่มรู้สึกตัวไม่ใช่วิบากจิต ไม่ใช่ผลของกรรมอย่างปฏิสนธิและภวังค์ เพราะฉะนั้นเราจะต้องให้เขาเริ่มเข้าใจทีละขณะ ขณะนั้นไม่ใช่ผลของกรรม เพราะอะไร (ถึงเวลาจะต้องเกิดก็ต้องเกิด ต้องเป็นอย่างนี้คือเป็นอกุศล)
- เพราะฉะนั้นจะเกิดกุศลหรืออกุศลทันทีได้ไหม (ได้) ฟังดีๆ กำลังเป็นภวังค์แล้วให้รู้สึกตัวทันทีที่เป็นกุศลและอกุศลได้ไหม เราจะไม่บอกชื่อก่อนไม่อย่างนั้นเขาจะจำชื่อและตอบชื่อและคิดว่าเขาเข้าใจ แต่จะต้องเข้าใจจริงๆ ว่าธรรมละเอียดลึกซึ้ง (ไม่น่าจะได้) ไม่น่าจะ เพราะยังไม่มั่นใจใช่ไหม คิดเองได้ไหม
- เป็นความละเอียดความลึกซึ้งอย่างยิ่งของธรรมที่ต้องเริ่มต้น เห็นความลึกซึ้งที่จะเข้าใจว่าไม่มีเราได้ไหม
- กำลังเป็นภวังค์ไม่รู้อะไรเลย ไม่เห็น ไม่ได้ยิน ไม่คิดนึก ไม่รู้อะไร ไม่รู้ว่าอยู่ที่ไหน โลกไหน เป็นใครทั้งสิ้น เพราะฉะนั้นก่อนที่จะเป็นกุศลหรืออกุศลที่สะสมมาแล้วเกิดได้ต้องมีขณะจิต ๑ ซึ่งทำกิจรู้สึกตัว
- ทันทีที่รู้สึกตัวคือ ขณะนั้นเป็นจิตที่รู้สึกหลังจากนั้นก็พอใจในสิ่งที่มีที่รู้สึกโดยไม่รู้ว่าเป็นอะไร
- เพราะฉะนั้นทันทีที่รู้สึกตัวดับ ก็มีความติดข้องในตัวทันที จึงมีคำว่า "ภวาสวะ" ความติดข้องในภพในขณะนั้น
- ติดข้องใน"ความเป็น (ภวะ) "ไม่ว่าจะอะไรทั้งสิ้น พอใจทันทีใน"ความเป็น" หลังจากที่รู้สึกตัวเพียง ๑ ขณะดับไปพอใจใน"ความมีความเป็น"ไม่ว่าอะไรหมด เพราะขณะนั้นไม่รู้ว่าเป็นอะไร
- พอจะเข้าใจไหมในความลึกซึ้ง ในความละเอียด ในความเป็นไปแต่ละ ๑ ขณะ ถ้าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ทรงแสดงจากที่พระองค์ทรงตรัสรู้จะเข้าใจอย่างนี้ได้ไหม
--เข้าใจธรรมเมื่อไหร่ รู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเมื่อนั้น เข้าใจนิดเดียวก็รู้จักพระองค์นิดเดียว แต่พระองค์ทรงประสูตร ทรงตรัสรู้ ทรงแสดงธรรม และปรินิพพานที่ประเทศที่คุณอยู่ และสิ่งที่ได้ฟังเดี๋ยวนี้เป็นคำที่พระองค์ตรัสเมื่อพระองค์ได้ทรงตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว ต้องเข้าใจทุกคำในความลึกซึ้งในความละเอียด
- เข้าใจในความลึกซึ้งอย่างยิ่งของธรรม ไม่ใช่จำเป็นคำๆ
- ปฏิสนธิจิตมีกี่ขณะ แต่ละชาติ ๑ ชาติปฏิสนธิจิตมีกี่ขณะ ภวังค์กี่ขณะ (๑ ขณะแล้วมโนทวาราวัชชนจิตเกิดต่อ) ไม่ใช่ค่ะ ภวังค์ที่เกิดต่อจากปฏิสนธิดับไปแล้วอะไรเกิดต่อ (หลังจากภวังค์แรกเกิดแล้วดับต้องเป็นมโนทวาราวัชชนจิต) ผิดค่ะ (หลังจากภวังค์ดับมโนทวาราวัชชนะเกิดต่อ) หลังจากภวังค์แรกดับไปมโนวทาราวัชชนะเกิดทันทีหรือ (คุณมธุยืนยัน) ผิดค่ะ เพราะฉะนั้นธรรมคิดเองไม่ได้
- หนึ่งขณะสั้นแค่ไหน ใครรู้ความต่างของปฏิสนธิกับภวังค์ (เมื่อกี้เข้าใจคำถามผิด ตอนนี้เข้าใจแล้วว่า ภวังค์เกิดขณะเดียวไม่ได้) หลายขณะ ไม่มีใครสามารถรู้ได้ แล้วแต่แต่ละคน แล้วแต่การเกิดแต่ละภพภูมิ
- ขณะเป็นภวังค์ไม่รู้ใช่ไหม แล้วมีมโนทวาราวัชชนจิตเกิดขึ้น ๑ ขณะจะรู้ไหม เพราะฉะนั้นมโนทวาราวัชชนจิตเกิดขึ้น ๑ ขณะเป็นชาติอะไร (เป็นกิริยา) ไม่ใช่วิบากด้วยใช่ไหม
- นี่เรากำลังพูดให้เข้าใจจิต ๑ ขณะเป็นชาติอะไร ทำกิจอะไร แต่ว่าไม่มีเรา ไม่มีความเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดเลย แต่เป็นธรรมที่เกิดตามเหตุตามปัจจัยต่างๆ
- อะไรเป็นปัจจัยให้มโนทวาราวัชชนจิตเกิด (อนัตตรปัจจัยและสมนันตรปัจจัย) ทั้ง ๒ อย่างแยกกันไม่ได้เลย
- เพราะฉะนั้นมโนทวาราวัชชนจิตเป็นชาติอะไร (กิริยา) เพราะอะไร (เพราะเป็นกุศลอกุศลไม่ได้) แล้วเป็นวิบากไม่ได้ เพราะฉะนั้นมีจิตที่เป็นวิบากเป็นผลของกุศลอกุศล และมีจิตซึ่งเป็นกิริยาไม่ใช่กุศลอกุศลและไม่ใช่วิบาก
เพราะฉะนั้นก็ชัดเจน ตอนนี้ได้จิตกี่ชาติและกี่จิต (มี ๒ ชาติและ ๔ กิจ) เพราะฉะนั้นทันทีที่มโนทวาราวัชชนจิตดับเป็นกุศล ๑ หรืออกุศล ๑ หรือเป็นกิริยา ๑ สำหรับพระอรหันต์
- นี่คือสิ่งที่เราต้องรู้ว่า จิต ๑ เป็นชาติอะไร กุศลเป็นอกุศลไม่ได้ เพราะฉะนั้นกุศลเป็นชาติหนึ่งและอกุศลเป็นอีกชาติหนึ่ง เพราะทันทีที่มโนทวาราวัชชนจิตดับ การสะสมมาที่จะไม่รู้และที่จะยินดีใน"ความเป็น" เพราะเริ่มรู้สึกเมื่อเป็นมโนทวาราวัชชนะ ต่อจากนั้นก็ยินดีใน"ความเป็น"อย่างนั้น ครบ ๔ ชาติแล้วใช่ไหม
- นี่เราพูดถึงกิจ กุศลจิต อกุศลจิตเป็นวิบากหรือเปล่า เป็นชาติวิบากหรือเปล่า ทำกิจปฏิสนธิได้ไหม ทำภวังคกิจได้ไหม ทำจุติกิจได้ไหม ทำอาวัชชนะกิจได้ไหม เพราะฉะนั้น กุศล อกุศล ไม่ได้ทำกิจ ๔ กิจ แต่ทำ “ชวนกิจ” หมายความว่า เป็นจิตที่ไม่ได้เกิดครั้งเดียว แต่เกิดหลายครั้งในขณะที่เป็นกุศลหรืออกุศล ๗ ครั้งอย่างธรรมดา
--เพราะฉะนั้นสามารถจะรู้ได้ว่า ในขณะที่เป็นโลภหรือเป็นโกรธ เพราะไม่ได้เกิดขณะเดียว แต่เกิดต่อกันตามปกติ ๗ ขณะ
- จิตที่เป็นโลภะหรือโทสะหรือโมหะที่เกิดร่วมด้วย เกิดต่อกัน ๗ ครั้งเพราะอารมณ์ปรากฏ ขณะที่อารมณ์ปฏิสนธิไม่ปรากฏ อารมณ์ภวังค์ก็ไม่ปรากฏ สำหรับมโนทวาราวัชชนะมีอารมณ์ปรากฏแต่ ๑ ขณะ เพราะฉะนั้นก็ไม่ปรากฏ แต่ว่าสำหรับโลภะ โทสะ โมหะ อกุศลหรือกุศลเกิดสืบต่อกันตามปกติ ๗ ขณะจึงปรากฏว่า ชอบหรือไม่ชอบ ทำอาเสวนกิจเกิดซ้ำกัน ๗ ขณะเสพหรือรู้อารมณ์นั้นถึง ๗ ขณะ
- วันนี้ก็เข้าใจว่าเขาจะต้องไตร่ตรอง ไม่ใช่เป็นเรื่องของการจำชื่อ แต่เป็นความเข้าใจความหมายของแต่ละคำแต่ละกิจด้วย สวัสดีค่ะ
กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ยินดีในกุศลของทุกท่านทุกประการ
กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง
ขอบพระคุณและยินดีในกุศลวิริยะของพี่ตู่ ปริญญ์วุฒิ เป็นอย่างยิ่ง ครับ
ขอบพระคุณและขออนุโมทนาในกุศลวิริยะของคุณตู่ ปริญญ์วุฒิ ด้วยค่ะ
กราบอนุโมทนาครับ
กราบเท้าบูชาพระคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ด้วยความเคารพยิ่ง
ยินดีในกุศลด้วยความขอบคุณน้องตู่ ปริญญ์วุฒิ ด้วย ค่ะ
กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง
กราบอนุโมทนากุศลวิริยะของคุณตู่ ปริญญ์วุฒิ อย่างยิ่งค่ะ