ณ กาลครั้งหนึ่ง ที่ ประเทศเวียดนาม ๒๑ พฤษภาคม ๒๕๕๘ [วันที่ ๑๒ ญาจาง]
โดย วันชัย๒๕๐๔  4 ก.ค. 2558
หัวข้อหมายเลข 26723

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

.........

สนทนาธรรม ที่ ญาจาง [วันที่ ๔]

(๐๙.๐๐ - ๑๑.๐๐ น. ๒๑ พฤษภาคม ๒๕๕๘)

การเดินทางมาสนทนาธรรม ที่ ประเทศเวียดนามของท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ตามคำเชิญของชมรมบ้านธัมมะเวียดนามในครั้งนี้ นับแต่วันแรกของการสนทนาธรรมที่ K'lan Eco Resort บนภูเขา ที่ดาลัด จนถึงวันนี้ที่ญาจาง เมืองชายทะเลที่มีชื่อเสียงของเวียดนาม ถึงวันนี้ก็เป็นเวลา ๑๑ วันแล้ว สำหรับวันนี้ ซึ่งเป็นวันสุดท้ายของการสนทนาธรรมตามกำหนดการ ที่ชมรมบ้านธัมมะเวียดนามกำหนดไว้ ซึ่งจะมีเพียงการสนทนาธรรมที่โรงแรม The Light Hotel & Resort ในช่วงเช้า เท่านั้น หลังจากนั้นทางเจ้าภาพจะพาคณะฯ ไปรับประทานอาหารกลางวัน ก่อนที่จะกลับมาพักผ่อนที่โรงแรมและออกไปสนทนาธรรมที่บ้านคุณชี่ (Chi) ในตอนเย็น ตามคำเชิญของคุณชี่ ท่านเจ้าบ้าน ซึ่งเป็นเพื่อนกับคุณหง่า (Nga) เจ้าของโรงแรมที่เราพัก

และ ในวันรุ่งขึ้น ก็จะพาคณะฯ พร้อมสมาชิกชมรมบ้านธัมมะเวียดนาม ไปพักผ่อนที่ White Sand Doc Let Resort ก่อนที่จะเดินทางกลับประเทศไทย ในวันรุ่งขึ้น

แม้ว่าจะเป็นเช้าวันสุดท้ายของการสนทนาธรรมที่ประเทศเวียดนามของท่านอาจารย์ในครั้งนี้ แต่ความรู้สึกของข้าพเจ้า ก็เหมือนกับทุกๆ วันที่ผ่านมา เป็นความเคยชินของความเป็นกิจวัตรประจำวัน ตลอด ๑๑ วัน ที่เป็นไปกับการนั่งฟัง บันทึกภาพและวีดีโอ ตลอดทั้งวัน แม้จะรู้สึกใจหายบ้าง (ความจริง "ใจ" ก็หายจริงๆ คือ จิต หรือ ใจ ที่เกิดดับขณะนี้ หายไป ดับไป หมดไป ทุกขณะอยู่แล้ว) กับสิ่งที่ทำอยู่ทุกๆ วัน จนชินแล้ว ที่ตื่นมาเดินชายหาด รับประทานอาหาร และ เข้าห้องประชุม ได้พบกับเพื่อนๆ สหายธรรมชาวเวียดนาม ที่ดูจะมีความกระตือรือร้นอย่างยิ่ง ในการที่จะได้ฟังพระธรรม ซึ่งเป็นความแช่มชื่นใจทุกครั้งที่ได้เห็นสีหน้าและแววตาของชาวเวียดนาม ซึ่งเป็นโอกาส เป็นลาภอันประเสริฐ ที่ยังได้มีโอกาสฟังคำจริง วาจาสัจจะ จากท่านอาจารย์ ผู้ถ่ายทอดพระธรรมที่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงมีพระมหากรุณาแสดงไว้ ให้พวกเราได้ฟัง ได้เข้าใจ ด้วยความเมตตา ที่ควรค่าแก่การได้ฟังอย่างยิ่ง กับการได้มีโอกาสเกิดมาเป็นมนุษย์ในชาตินี้ หาไม่แล้ว ก็ย่อมเป็นผู้ไปโดยเปล่า คือ ตายไปกับความไม่รู้ แล้วๆ เล่าๆ คนแล้วคนเล่า เป็นที่น่าเสียดายอย่างยิ่ง

อันดับต่อไปนี้ จึงขอนำภาพและความธรรมะที่พี่แดงได้กรุณาถอดความไว้ให้ มาฝากทุกๆ ท่าน เช่นเคย ซึ่งจะเป็นความสนทนาธรรมเพียงครึ่งเช้า ดังที่กล่าวแล้ว นะครับ

ถาม สมาธิ คือ อะไร? ให้ผลดีอย่างไร?

ท่านอาจารย์ ขณะนี้มีเห็น ได้ยิน คิดนึก สมาธิ คือ อะไร? สิ่งที่กำลังปรากฏ เดี๋ยวนี้ เป็นสิ่งเห็นได้ ขณะเห็น อะไรเป็นสมาธิ? ขณะได้ยิน เดี๋ยวนี้ อะไรเป็นสมาธิ? แม้กำลังเห็น เดี๋ยวนี้ ก็ยังไม่รู้จัก พระพุทธเจ้าทรงสอนให้เข้าใจความจริงของสิ่งที่ปรากฏ ทั้งเห็น สิ่งที่ถูกเห็น เป็นธาตุที่ไม่ใช่สัตว์ บุคคล ตัวตน เหมือน สภาพธรรมทุกอย่าง พระพุทธเจ้าทรงสอนความจริงที่ไม่เคยมีใครรู้มาก่อน สภาพธรรม เป็น สภาพธรรม ไม่ว่าจะเกิดที่ไหน เมื่อไร หรือกับใครก็ตาม

ถ้าไม่เคยฟังคำสอน ยังคงเป็น "เรา" ไม่เข้าใจสภาพที่เกิดดับอย่างรวดเร็ว เหลือไว้แต่นิมิต เมื่อถามว่าเห็นอะไร ตอบว่า เห็นคน ถ้าไม่เห็น จะรู้ไหม ว่าเห็นคน เมื่อเห็นดับ ติดข้องทันที และคิดว่าเที่ยง เมื่อวานนี้ดับไปแล้ว ชาติก่อนดับไปแล้ว ไม่กลับมาอีก ขณะก่อนดับไป เป็นปัจจัยให้เกิดต่อไปๆ จนกว่าจะสิ้นสุดสังสาระ คิดถึงจิต 1 ขณะ ที่สะสมอกุศลมากมาย ไม่เข้าใจเป็นอกุศล อวิชชาทำให้ติดข้อง นี่เป็นสมาธิ หรือ อบรมเจริญปัญญาด้วยการฟังสิ่งที่ปรากฏมากขึ้น ไม่มีใคร ไม่ว่าเวลาใดบางทีเป็นกุศล อกุศล อวิชชาไม่ใช่ใคร ปัญญาไม่ใช่ใคร เป็น สภาพธรรมที่ต่างกัน ปัญญาตรงข้ามกับอวิชชา ปัญญาเข้าใจ รู้ลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏตามความเป็นจริง ไม่มีใครทำได้ นอกจาก ปัญญาที่สะสมเพิ่มขึ้น ทีละเล็ก ทีละน้อย รู้ลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏตามความเป็นจริง ใครก็อยากมีปัญญา มีแต่กุศล แต่เป็นไปไม่ได้ เพราะยังคงมีเราที่ทำ ไม่มีวิธีอื่น นอกจากทางของ พระพุทธเจ้า คือ ฟังให้เข้าใจคำสอน เมื่อเข้าใจความจริง เหมือนหงายของที่คว่ำ เปิดของที่ปิด

จอน พระพุทธเจ้าสอนให้ รู้ลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏตามความเป็นจริง ในอาทิตตปริยายสูตร ตาร้อนด้วยไฟ จิตเห็นร้อนด้วยไฟ สิ่งที่ปรากฏให้เห็นร้อนด้วยไฟ เวทนา... ตลอดทั้ง 5 ทวาร เมื่อจบ ชฎิลบรรลุ พระอรหันต์ ไม่ใช่เพราะนั่งสมาธิ แต่เพราะเข้าใจความจริง เหมือนเปิดของที่คว่ำ สภาพธรรมปรากฏกับผู้ฟังธรรมเข้าใจ

ท่านอาจารย์ สมาธิ คือ อะไร? ความติดข้อง อวิชชา ไม่รู้สิ่งที่กำลังปรากฏ จึงติดข้อง ไม่รู้ลักษณะของสภาพธรรม ที่กำลังปรากฏ ตามความเป็นจริง

ซาร่าห์ มีสภาพธรรมเกิดดับตลอดเวลาในชีวิตประจำวัน สุตมยปัญญา ปัญญาเกิดจากการฟังเข้าใจ ว่า เป็นธรรมะ ไม่ใช่ สัตว์ บุคคล จินตามยปัญญา ความเข้าใจเกิดจากการพิจารณาสิ่งที่ได้ฟังว่า ไม่มีเรา เป็น สภาพธรรมที่เกิดปรากฏเพราะ เหตุปัจจัย ชีวิตทุกชาติมีเห็น ได้ยิน คิดนึก เมื่อเข้าใจ เดี๋ยวนี้ ตามความเป็นจริง ประจักษ์แจ้งความจริงได้ การถามถึงผลที่ได้จากสมาธิ เป็นตัวตนที่ติดข้องเพราะอวิชชา จะเห็นว่า ยากมาก ที่จะไม่มีตัวตนที่ต้องการผล ทำให้เห็นผิด ปฏิบัติผิด คิดว่าทำได้

ท่านอาจารย์ ทางของ พระพุทธเจ้า คือ อะไร? ทุกคนตอบได้ แต่ไม่แพร่หลายเหมือนสมาธิ ทางของพระพุทธเจ้า คือ มรรคมีองค์ ๘ สัมมาทิฏฐิ เข้าใจถูกในสิ่งที่กำลังปรากฏเดี๋ยวนี้ ทุกคนตอบได้ แต่จะเดินตามทางนี้ได้ไหม? ถ้ายังไม่เข้าใจ อริยสัจ ๔ สัจจญาณ เข้าใจมั่นคงใน อริยสัจ กิจจญาณ สติปัฏฐาน เข้าใจตรง ลักษณะ กตญาณ ความรู้ที่รู้ภาวะแห่งกิจที่กระทำแล้ว เป็น ปริยัติ ปฏิบัติ ปฏิเวธ "ปฏิบัติ" ไม่ได้ทำ!! แต่รู้ตรง ลักษณะที่กำลังปรากฏ ตามความเป็นจริง เดี๋ยวนี้!! สัจจญาณ ... เป็น ปัญญา ไม่ใช่แค่อ่าน แต่ต้องเข้าใจ สภาพธรรมที่ กำลังปรากฏ ขณะนี้

ธรรมะ คือ สิ่งที่มีจริง เห็น จริง เป็นธรรมะ ... สิ่งที่เกิดดับ เป็นทุกขอริยสัจ ละคลายความติดข้อง เป็น อริยสัจที่ ๒ รู้ลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏตามความเป็นจริง เป็นกิจจญาณ ไม่มีการทำสมาธิเลย

เห็นเป็นทุกข์ ได้ยินเป็นทุกข์ สุขเวทนาเป็นทุกข์ ขันธ์ ๕ เป็นทุกข์ เพราะเกิดแล้วดับไปทันที สภาพธรรมเกิดดับเร็วมากจนยากจะรู้ตรงลักษณะว่า ไม่ใช่เรา จึงต้องมี ปัญญาเพิ่มขึ้นๆ ไม่อย่างนั้น จะไม่สามารถประจักษ์แจ้งความจริงได้ เป็นเพียง สภาพธรรมแต่ละอย่างเกิดขึ้นทำกิจ เช่น สติปัฏฐาน สัมมัปปธาน ... ต้องใช้เวลานานมาก จึงต้องมี ศรัทธามั่นคงในหนทาง ในคำสอนของ พระพุทธเจ้า ไม่ใช่คำสอนของคนอื่น รู้ลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ ตามความเป็นจริง เป็นคำสอนของพระพุทธเจ้า คนอื่นไม่ได้สอนอย่างนี้ จะเข้าใจคำว่า พุทธัง สรณัง คัจฉามิ ไม่ใช่เพียงกล่าวตาม

จอน เมื่อพูดถึงทุกข์ ทรงสอนธรรมชาติของ สภาพธรรม มีทุกข์ อนิจจังและ อนัตตา ต้องรู้ว่า ธรรมะเป็นธรรมะ ไม่สามารถรู้ว่าเกิดดับ จนกว่าจะรู้ว่าเป็นธรรมะ เมื่อเข้าใจว่าเป็นนามหรือรูป จะรู้ว่า ธรรมะคืออะไร ปัญญาเพิ่มขึ้นทีละขั้น เริ่มต้น อบรมเจริญปัญญาด้วยการเข้าใจเพิ่มขึ้นเป็นลำดับ ขั้นแรกคือ สภาพธรรมใดกำลังปรากฏเดี๋ยวนี้

ผู้ถาม เด็กติดเกมส์ สามีตายมา 10 ปี ตอนนี้อยู่คนเดียว ท้อแท้มาก

ท่านอาจารย์ มีอะไรเป็นของคุณบ้าง?

ผู้ถาม เพิ่งฟังครั้งแรก ไม่เข้าใจ ปรมัตถธรรม มีลูกอยู่ฮานอย และอยู่ญาจาง

ท่านอาจารย์ ขณะนี้เป็นเพียงคิดนึกถึงสิ่งที่จำได้ ขณะนี้เห็นลูกไหม? ไม่เห็น ที่คิดว่าเห็นลูก แท้จริงเห็นสิ่งที่ปรากฏให้เห็นได้ แม้ขณะนี้ ก็ไม่มีอะไรเหลือ นี่คือเริ่มเข้าใจความจริง ตายแล้ว ยังมีลูกอีกไหม? แม้แขนขาก็ไม่ใช่ของใคร เกิดเพราะ เหตุปัจจัยมากมาย มีฟันไหม?

ตอบ ไม่มี

ท่านอาจารย์ ถูก ขณะไหนที่คิดว่ามีฟัน?

ตอบ เมื่อคิดถึงฟัน

ท่านอาจารย์ จริงๆ ไม่มีฟัน "มี" เพราะ "คิด" และยึดถือว่าเป็นของเรา สภาพธรรมเกิดดับสืบต่ออย่างรวดเร็ว จนเหมือนไม่มีอะไรดับ เป็นเหตุให้ติดข้อง และคิดว่าเที่ยง นี่คือ พระพุทธเจ้าทรงสอนเพื่อละคลายความติดข้อง เห็น เดี๋ยวนี้เพียงเห็น ไม่ได้คิดว่าเป็นลูก ทรงสอนว่า ทุกคน อยู่คนเดียว เห็นเกิดเห็นอย่างเดียว เห็นตามลำพัง ทั้งหมดอยู่คนเดียว ทุกคนอยู่คนเดียว เห็น ได้ยิน .. คิดนึกคนเดียวทุกขณะ เกิดคนเดียว ตายคนเดียว แต่ความติดข้องทำให้ทุกข์ ถ้าติดข้องมากก็ทุกข์มากพระพุทธเจ้าทรงมีโอรส ราหุล ห่วง สิ่งที่ติดข้องมากที่สุด คือ ตัวเอง ของตน ที่ติดข้องในลูก เพราะเห็น ได้ยิน คิดนึก ติดข้องทันที จะละคลายได้ เมื่อเข้าใจความจริงว่า อยู่คนเดียวกับเห็น ได้ยิน คิดนึก เหตุการณ์ต่างๆ เกิดเพราะ เหตุปัจจัย ไม่มีใครห้ามได้

ถาม ลูกติดบอล เป็นหนี้การพนัน และอยากฆ่าตัวตาย เพราะกลัวถูกฆ่า

จอน จะแนะนำตามที่ พระพุทธเจ้าทรงสอนว่า กุศลช่วยให้พ้นจากภัยทั้งปวง มีเหตุการณ์ ที่เป็นภัยมากมายในชีวิต กุศลหมายถีงสภาพจิตที่ดีงาม เช่น เมตตา หรือ รู้ลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏตามความเป็นจริง ที่ทำให้ออกจากสังสาระ ถ้ายังอยู่ในสังสาระก็ยังมีภัย ทุกข์ โศก ... อยู่ต่อไปไม่จบสิ้น กลับมาจุดเริ่มต้น คือ เข้าใจคำสอนของ พระพุทธเจ้า ทรงสอนให้ระลึกรู้สภาพธรรมที่ กำลังปรากฏ เดี๋ยวนี้

ซาร่าห์ ในสมัยพุทธกาล ทรงสอนเรื่อง ปฏาจารา ทรงสอนให้อยู่ในโลกในวินัยของพระอริยเจ้า คือ โลกของเห็น ....คำตอบของปัญหาทั้งหมด คือ รู้ลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏตามความเป็นจริง

ท่านอาจารย์ ทุกคนมีปัญหา เมื่อตาย ปัญหาหายไปไหน? ไม่มีใครหนีปัญหาได้ ถ้ายังมีชีวิตก็ต้องมีปัญหา ตราบใดที่ยังเป็นเรา เป็นของเรา ไม่มีปัญหาเรื่องลูก ก็เรื่องฟัน ถ้าลูกจะตาย ใครห้ามได้ เกิดใหม่ ก็มีลูกใหม่ เรื่องใหม่ เมื่อยังไม่ตาย อะไรสำคัญที่สุด คือ เข้าใจความจริงของ สภาพธรรมที่ไม่เคยรู้มาก่อน ใครทำให้ทุกข์ได้ ไม่มี นอกจากอวิชชาและกิเลส ใครจะรู้ว่า พรุ่งนี้ อะไรจะเกิด ตายก็ได้ กังวลกับเรื่องต่างๆ ทั้งๆ ที่ชีวิตนี้ สั้นมาก ทำสิ่งที่ดีที่สุด ที่สามารถทำได้เท่านั้น นอกนั้นเกิดตาม เหตุปัจจัย

ผู้ถาม ทุกศาสนาสอนว่า ฆ่าตัวตายบาป ถ้าหมอเอาเครื่องช่วยชีวิตออก เพื่อช่วยให้พ้นทรมาน มีความเห็นอย่างไร ถูกหรือผิด

จอน ไม่มีใครรู้ความคิดของใคร ถ้ารู้ความต่างกันของกุศลและอกุศล ก็สามารถรู้ว่า ขณะนั้นเป็นอกุศลหรือไม่ การฆ่าด้วยเมตตา เพื่อให้พ้นจาการทรมาน ยังไม่รู้รายละเอียดที่จะตอบว่า เป็นกุศลหรือไม่ ถ้าทำกุศลไว้ ผลของกุศลก็ช่วยให้พ้นจากอันตรายทั้งปวงได้

ซาร่าห์ สิ่งที่รู้ได้ คือ เดี๋ยวนี้ สิ่งที่ผ่านไปแล้ว หรือยังไม่เกิด ไม่สามารถรู้ได้ เพียงคิดคาดคะเนเอา ไม่สามารถตัดสินจากเหตุการณ์ภายนอก ต้องเป็น ขณะ เดี๋ยวนี้

จอน ทำสิ่งที่ดีที่สุดในสถานการณ์นั้น คิดล่วงหน้าได้ว่าจะทำอย่างไร แต่เมื่อถึงเวลาอาจทำ อย่างอื่น

(ท่านอาจารย์มอบซองทั้งหมดที่มีผู้ศรัทธามอบให้ท่านหลังจบการสนทนาธรรม ให้กับคุณ Tam Bach เพื่อประโยชน์ของการดำเนินกิจกรรมของชมรมบ้านธัมมะเวียดนาม ต่อไป กราบอนุโมทนาครับ)

ถาม ธรรมะคือสิ่งที่มีจริงหรือไม่?

จอน พระพุทธเจ้าทรงแสดงสิ่งที่มีจริงและไม่จริง เช่น จิตเห็นละสิ่งที่ปรากฏให้เห็นต่างกัน แต่ดูเหมือนเป็นอย่างเดียวกัน ต้องฟังให้เข้าใจว่าต่างกัน สิ่งที่ต้องเข้าใจเริ่มต้น ไม่ใช่ต้องการรู้การเกิดดับของจิต ที่สูงเกินไป ต้องรู้จักเห็นและสิ่งที่ปรากฏให้เห็น เสียงกับได้ยิน ... คิดนึก

ซาร่าห์ เมื่อจับไมโครโฟน ธรรมะ อะไรปรากฏให้รู้

ตอบ แข็ง เย็น

ซาร่าห์ มีจริงไหม?

ตอบ มีจริง

ซาร่าห์ เป็นธรรมะ

ท่านอาจารย์ เข้าใจความจริง

ขอเชิญคลิกชม คลิปวีดีโอ บางตอนของการสนทนาในวันนี้ จำนวนทั้งสิ้น ๑๖ คลิปโดยต่อเนื่อง โดย ๙ คลิปแรก เป็นการสนทนาที่โรงแรมในตอนเช้า และอีก ๗ คลิปหลัง เป็นการสนทนาที่บ้านคุณชี่ ในตอนเย็นครับ...

ในอันดับต่อไป ขออนุญาตทุกๆ ท่าน นำข้อความบางตอน จากหนังสือ E-book เส้นทางสายธรรม ที่พี่แดง (พลอากาศตรีหญิงกาญจนา เชื้อทอง) และคณะฯ ได้จัดทำขึ้น เพื่อท่านที่สนใจ สามารถอ่านได้จากเมนู "หนังสือ" ในเวปไซต์นี้ ซึ่งข้อความที่จะนำมา เป็นความการสนทนาของคุณ อลัน ไดรเวอร์ (Alan Driver) ในหนังสือ E-book เรื่อง ท่านอาจารย์ สนทนาธรรมกับชาวต่างชาติ คุณ Alan Driver ชาวออสเตรเลีย ที่เคยบวชเป็นพระภิกษุที่เมืองไทย ชื่อ ท่านพระธัมมธโร เป็นผู้แตกฉานในพระธรรมและมีปฏิภาณดีมาก ท่านเป็นพิธีกรที่เฉียบแหลมของมูลนิธิฯ อยู่ระยะหนึ่งก่อนที่จะเสียชีวิต ในอุบัติเหตุทางรถยนต์ที่จังหวัดสุพรรณบุรี เมื่อ ๒๕ ม.ค. พ.ศ. ๒๕๓๑ ขณะมีอายุได้ ๔๒ ปี

ขอนำความการสนทนาของคุณอลัน มาให้ทุกท่านได้พิจารณา ซึ่งนอกจากจะเป็นการแนะนำให้ทุกๆ ท่าน ได้รู้จักกับเมนู E-book ที่พี่แดงและคณะฯ ได้จัดทำขึ้นอย่างทันสมัย เพื่อประโยชน์แก่ทุกๆ ท่านแล้ว ยังเป็นการแนะนำให้ท่านได้รู้จักและซาบซึ้ง ในคุณค่าและความหมายของการสะสมความเข้าใจ ซึ่งเป็นธรรมะ ที่บุคคลสะสมมาในสังสารวัฏฏ์ เป็นเพียงสมมติว่า คุณอลันไดรเวอร์ ซึ่งในความเป็นจริงแล้ว หาใช่คนชาติฝรั่ง ชาติจีน ชาติเวียดนาม หรือ ชาติไทยไม่ แต่เป็นธรรมะที่ ไม่ว่าจะได้มีโอกาสเกิดในที่ไหนๆ ก็เป็นผู้ที่ได้พบพระธรรมที่ถูกต้อง จากการที่ได้เคยสะสมมา ทำให้เป็นผู้ไม่สูญเปล่าจากการได้เกิดมา เป็นผู้ที่ไม่สูญเปล่าแม้จากไปแล้ว เพราะเหตุที่ได้พบพระธรรมได้มีโอกาสสะสม อบรมเจริญปัญญา เพราะเหตุแห่งบุญที่ได้กระทำแล้วแต่ปางก่อน โดยแท้

เมื่อได้เห็นภาพของสหายธรรมชาวเวียดนาม ที่กราบเรียนเชิญท่านอาจารย์ไปสนทนาธรรมที่บ้าน ประกอบกับความการสนทนาของคุณอลัน ไดรเวอร์ คงพอที่จะทำให้ทุกท่านได้พิจารณาถึงความจริงที่ว่า ความเข้าใจธรรม ความจริงของสิ่งที่มีอยู่จริงๆ ในขณะนี้ เป็นสิ่งที่มีค่ายิ่งแก่ทุกบุคคล ไม่มีชาติ ไม่มีภาษา ไม่มีพรมแดน ใดๆ ทั้งสิ้น นอกจากความเข้าใจความจริงของสิ่งที่มีจริงๆ ตามที่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้และทรงมีพระมหากรุณาแสดงไว้ เท่านั้น

ข้อความบางตอนจากการบรรยายธรรมของคุณอลัน ไดรเวอร์ จากหนังสือ E-book เส้นทางสายธรรม เรื่อง ท่านอาจารย์ สนทนาธรรมกับชาวต่างชาติ มีตัวอย่างดังต่อไปนี้ครับ

Lovingkindness isn’t just a word. It’s a reality which has to be known through practice in our daily life. ความเมตตาไม่ใช่เป็นเพียงคําพูด เป็นสภาพธรรมซึ่งรู้ได้ จากการกระทําในชีวิตประจําวันของเราเอง

Everybody loses when we don’t have metta. ทุกคนพ่ายแพ้ เมื่อไม่มีเมตตา

We have to be kind instead of wishing everyone else was kind. Thinking that everyone else should be kind or wondering why they are not kind. เราต้องเมตตา แทนที่จะหวังให้คนอื่นเมตตา การคิดว่าคนอื่นๆ ควรจะเมตตา หรือคิดว่า ทําไมเขาถึงจะไม่เมตตา

It’s lovingkindness that helps us present Dhamma in a gentle way without being pushy…and that’s hard. การแสดงธรรมด้วยเมตตา ด้วยความอ่อนโยน ไม่เร่งรัด...ซึ่งยากมาก

It’s kindness when we develop satipaììåna, we are being kind to ourselves and kind to everybody else. We’re doing the whole world to favour. We’re removing a little bit of ignorance from the world that makes us behave act the way we do. การอบรมเจริญสติปัฏฐานเป็นเมตตา เราเมตตากับตนเองและสิ่งมีชีวิตทั้งหลาย เราทําประโยชน์กับโลกทั้งหมด เรากําลังขัดเกลาความไม่รู้ ออกจากโลกทีละนิดๆ และทําให้ ประพฤติปฏิบัติได้ถูกต้อง

The way to develop more understanding is exactly the same for every livingbeing that was ever born. To be aware of the reality which appears now in your life whatever that reality may be. หนทางอบรมเจริญความเข้าใจถูกให้เกิดเพิ่มขึ้นนั้น มีหนทางเดียว ซึ่งเหมือนกันสําหรับทุกคนที่ได้เกิดมาแล้ว นั่นคือ ระลึกรู้ ลักษณะของสภาพธรรมที่กําลังปรากฏในขณะนี้ ในชีวิตนี้ ไม่ว่าสภาพธรรมนั้น จะเป็นอะไรก็ตาม

The practice of satipaììåna is the most subtle thing. การอบรมเจริญสติปัฏฐาน เป็นสิ่งที่ยากและละเอียดลึกซึ้งท่ีสุด

All moments are moments for awareness. ทุกขณะ สามารถระลึกรู้ได้

What is kusala without Right Understanding, it’s just self, self, self. กุศลที่ไม่ประกอบด้วยความเข้าใจถูก เป็นเพียงตัวตน

A moment of satipaììåna that is aware of akusala is so much more valuable than any kusala without sati. ขณะที่สติปัฏฐานเกิดระลึกรู้ ลักษณะของอกุศล มีประโยชน์มากกว่า ขณะที่มีกุศล แต่ไม่มีสติ

At moments of desire for awareness, at moments of trying to be aware of a particular object, to try and force, to try and be aware here, here, here. It’s all wrong, it’s not natural. ขณะที่ต้องการให้ระลึกรู้ ขณะที่พยายามระลึกที่อารมณ์หนึ่งอารมณ์ใดโดยเฉพาะ พยายามและบังคับให้ระลึก พยายามที่จะระลึกที่นี่ ที่นั่น ทั้งหมดนั้นผิด ไม่ใช่ปกติ

If we think that the way to be happy is to get what you want and to have nice things to look at, to hear, taste and smell. We’ll make lobha our God and devote our lives to serving lobha…and that’s the path to pain. ถ้าเราคิดว่า วิธีที่จะทําให้เป็ นสุขนั่น คือ ได้สิ่งที่เราต้องการ ได้สิ่งดีๆ เพื่อเห็น ได้ยิน ลิ้ม รส และดมกลิ่น แต่เราทําให้โลภะเป็นพระเจ้า และอุทิศชีวิตของเราเพื่อทําให้โลภะ พอใจ...และนั่นคือหนทางแห่งความทุกข์

There is really nothing better in life to do than to find out what lifeis all about. จริงๆ แล้ว ไม่มีสิ่งใดในชีวิตที่ควรกระทํายิ่งกว่า การค้นหาว่าชีวิตคืออะไร?

Who can say what will happen next. ใครสามารถบอกได้ว่า ต่อไปอะไรจะเกิดขึ้น

It’s conditioned, it is unavoidable, uncontrollable. ทุกอย่างเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย หลีกเลี่ยงไม่ได้ บังคับบัญชาไม่ได้

We have the illusion of control all our life except at the moment of sati. It helps to eradicate that illusion. เรามีความเห็นผิดที่คิดว่าจะบังคับทุกสิ่งในชีวิตได้ นอกจากขณะที่สติเกิด ซึ่งช่วยขัดเกลาความเห็นผิดนั้นได้

The condition for the development of sati is Right Understanding of it. ปัจจัยของการอบรมเจริญสติ ก็คือ ความเข้าใจถูกในเรื่องการเจริญสตินั่นเอง

กราบเท้าบูชาคุณ ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง

ขออนุโมทนาในกุศลศรัทธาของสมาชิกชมรม บ้านธัมมะเวียดนาม ทุกท่าน ขอบพระคุณและขออนุโมทนาพี่แดง (พลอากาศตรีหญิง กาญจนา เชื้อทอง) สำหรับข้อความการสนทนาธรรม ที่ถอดความสดขณะฟัง มาให้ประกอบเรื่อง และขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่าน ครับ

(ขอเชิญคลิกชมคลิปวีดีโอ จำนวน ๘ คลิป โดยต่อเนื่องอัตโนมัติ และเนื่องจากเป็นการบันทึกนอกสถานที่ และไม่มีเครื่องมืออื่นช่วย คุณภาพของเสียงจึงไม่ค่อยดีนัก ครับ)


ท่านสามารถคลิกอ่านกระทู้ทั้งหมดในครั้งนี้ ตามลิงก์แต่ละหัวข้อด้านล่าง :

- ณ กาลครั้งหนึ่ง (สด) จากประเทศเวียดนาม ๑๐ พฤษภาคม ๒๕๕๘ [วันที่ ๑]

- ณ กาลครั้งหนึ่ง (สด) จากประเทศเวียดนาม ๑๑ พฤษภาคม ๒๕๕๘ [วันที่ ๒]

- ณ กาลครั้งหนึ่ง (สด) จากประเทศเวียดนาม ๑๒ พฤษภาคม ๒๕๕๘ [วันที่ ๓]

- ณ กาลครั้งหนึ่ง (สด) จากประเทศเวียดนาม ๑๓ พฤษภาคม ๒๕๕๘ [วันที่ ๔]

- ณ กาลครั้งหนึ่ง ที่ ประเทศเวียดนาม ๑๔ พฤษภาคม ๒๕๕๘ [วันที่ ๕ ดาลัด]

- ณ กาลครั้งหนึ่ง ที่ ประเทศเวียดนาม ๑๕ พฤษภาคม ๒๕๕๘ [วันที่ ๖ ดาลัด]

- ณ กาลครั้งหนึ่ง ที่ ประเทศเวียดนาม ๑๖ พฤษภาคม ๒๕๕๘ [วันที่ ๗ ดาลัด]

- ท่านอาจารย์ สุจินต์ บริหารวนเขตต์ เยี่ยมไข้ผู้ป่วยหนักชาวเวียดนาม ๑๔ พฤษภาคม ๒๕๕๘

- อันเนื่องมาจากการเดินทางไปเยี่ยมไข้ผู้ป่วยหนักชาวเวียดนาม ของท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์

- ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ เดินทางไปร่วมในพิธีศพสมาชิกชมรมบ้านธัมมะเวียดนาม

- ณ กาลครั้งหนึ่ง ที่ ประเทศเวียดนาม ๑๗ พฤษภาคม ๒๕๕๘ [วันที่ ๘ ดาลัด-ญาจาง]

- ณ กาลครั้งหนึ่ง ที่ ประเทศเวียดนาม ๑๘ พฤษภาคม ๒๕๕๘ [วันที่ ๙ ญาจาง]

- ณ กาลครั้งหนึ่ง ที่ ประเทศเวียดนาม ๑๙ พฤษภาคม ๒๕๕๘ [วันที่ ๑๐ ญาจาง]

- ณ กาลครั้งหนึ่ง ที่ ประเทศเวียดนาม ๒๐ พฤษภาคม ๒๕๕๘ [วันที่ ๑๑ ญาจาง]

- ณ กาลครั้งหนึ่ง ที่ ประเทศเวียดนาม ๒๑ พฤษภาคม ๒๕๕๘ [วันที่ ๑๒ ญาจาง]

- ณ กาลครั้งหนึ่ง ที่ ประเทศเวียดนาม ๒๒ พฤษภาคม ๒๕๕๘ [วันที่ ๑๓ ญาจาง พักผ่อนและสนทนาธรรมก่อนกลับ]



ความคิดเห็น 1    โดย khampan.a  วันที่ 4 ก.ค. 2558

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง
อนุโมทนาในกุศลวิริยะของพี่วันชัย ภู่งามเป็นอย่างยิ่ง
และอนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ


ความคิดเห็น 2    โดย chatchai.k  วันที่ 4 ก.ค. 2558

ขออนุโมทนาครับ


ความคิดเห็น 3    โดย สิริพรรณ  วันที่ 4 ก.ค. 2558

ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัยด้วยเศียรเกล้า
กราบแทบเท้าบูชาพระคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ เคารพยิ่ง
อนุโมทนาในกุศลวิริยะของคุณวันชัย ภู่งาม

และทุกท่านที่มีส่วนร่วมในการถ่ายทอดข้อความ

ซึ่งอ่านแล้วมีประโยชน์ในการ

อบรมเจริญปัญญาทุกขณะที่เข้าใจ


ความคิดเห็น 4    โดย ปวีร์  วันที่ 4 ก.ค. 2558

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ


ความคิดเห็น 5    โดย nvrath  วันที่ 5 ก.ค. 2558

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ขอกราบขอบพระคุณและอนุโมทนาในกุศลจิตของท่านอาจารย์สุจินต์ฯ เป็นอย่างสูงที่เมตตา เผยแพร่ และแบ่งปันธรรมะ ให้ผู้ที่มากด้วยอวิชชา การฟังธรรมะ ออนไลน์ อ่านกระดานสนทนาธรรม ทำให้เกิดความเข้าใจได้ยิ่งขึ้นเป็นลำดับค่ะอนุโมทนาในกุศลวิริยะของคุณวันชัยฯ และผู้มีส่วนเกี่ยวข้องทุกท่าน ที่สื่อสาร สาระธรรม ที่มีคุณค่ายิ่ง ให้แก่สมาชิก

อนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านนะคะ