[เล่มที่ 37] พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย สัตตก-อัฏฐก-นวกนิบาต เล่ม ๔ - หน้า 540
วรรคที่ไม่ได้สงเคราะห์เข้าในปัณณาสก์
สันธานวรรคที่ ๑
๑. โคตมีสูตร
อ่านหัวข้ออื่นๆ ... [เล่มที่ 37]
พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย สัตตก-อัฏฐก-นวกนิบาต เล่ม ๔ - หน้า 540
วรรคที่ไม่ได้สงเคราะห์เข้าในปัณณาสก์
สันธานวรรคที่ ๑
๑. โคตมีสูตร
[๑๔๑] สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ ณ นิโครธาราม ใกล้กรุงกบิลพัสดุ์ แคว้นสักกะ ครั้งนั้นแล พระนางมหาปชาบดีโคตมีเสด็จเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าถึงที่ประทับ ทรงถวายบังคมแล้ว ประทับยืน ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ครั้นแล้ว ได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ขอ ประทานวโรกาส ขอให้มาตุคามพึงได้การออกบวชเป็นบรรพชิต ในธรรมวินัยที่พระตถาคตทรงประกาศแล้วเกิด พระผู้มีพระภาคเจ้า ตรัสว่า ดูก่อนพระนางโคตมี อย่าเลย พระนางอย่าชอบใจการ ออกบวชเป็นบรรพชิตในธรรมวินัยที่ตถาคตประกาศแล้วของ มาตุคามเลย.
แม้ครั้งที่ ๒ พระนางปชาบดีโคตมีก็กราบทูลพระผู้มีพระภาคเจ้าอีกว่า ข้าแต่พระองค์เจริญ ขอประทานวโรกาส ขอให้ มาตุคามพึงได้การออกบวชเป็นบรรพชิต ในธรรมวินัยที่พระ ตถาคตทรงประกาศแล้วเถิด พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ดูก่อน พระนางโคตมี อย่าเลย พระนางอย่าชอบใจการออกบวชเป็น บรรพชิตในธรรมวินัยที่ตถาคตประกาศแล้วของมาตุคามเลย.
พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย สัตตก-อัฏฐก-นวกนิบาต เล่ม ๔ - หน้า 541
แม้ครั้งที่ ๓ พระนางปชาบดีโคตมีก็กราบทูลพระผู้มีพระภาคเจ้าอีกว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ขอประทานวโรกาส ขอให้ มาตคามพึงได้การออกบวชเป็นบรรพชิตในธรรมวินัย ที่พระตถาคต ทรงประกาศแล้วเถิด พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ดูก่อนพระนางโคตมี อย่าเลย พระนางอย่าชอบใจการออกบวชเป็นบรรพชิต ในธรรมวินัยที่ตถาคตประกาศแล้วของมาตุคามเลย.
ลำดับนั้น พระนางมหาปชาบดีโคตมีทรงพระดำริว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าไม่ทรงอนุญาตให้มาตุคามออกบวชเป็นบรรพชิต ในธรรมวินัยที่พระตถาคตทรงประกาศแล้ว เป็นผู้มีทุกข์ เสีย พระทัย มีพระพักตร์นองด้วยน้ำพระเนตร ทรงกันแสงอยู่ ถวาย บังคมพระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงกระทำประทักษิณแล้วเสด็จหลีกไป.
ครั้งนั้นแล พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับ อยู่ในกรุงกบิลพัสดุ์ ตามพระประสงค์แล้วเสด็จจาริกไปทางพรพะนครเวสาลี เมื่อเสด็จ จาริกไปโดยลำดับ เสด็จไปถึงพระนครเวสาลี ได้ยินว่า ณ ที่นั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ที่กูฏาคารศาลา ป่ามหาวัน ใกล้ พระนครเวสาลี ครั้งนั้น พระนางปชาบดีโคตมีทรงปลงพระเกสา แล้ว ทรงครองผ้ากาสาวพัสตร์ เสด็จไปทางพระนครเวสาลี พร้อม กับเจ้าหญิงสากิยะหลายพระองค์ เสด็จเข้าไปยังกูฏาคารศาลา ป่ามหาวัน ใกล้พระนครเวสาลีโดยลำดับ พระนางปชาบดีโคตมี ทรงมีพระบาทระบม มีพระกายเต็มด้วยละออง มีทุกข์ เสียพระทัย พระพักตร์นองด้วยน้ำพระเนตร ทรงกันแสงอยู่ ประทับยืนอยู่ ณ ซุ้มประตูด้านนอก ท่านพระอานนท์ได้แลเห็นพระนางปชาบดี-
พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย สัตตก-อัฏฐก-นวกนิบาต เล่ม ๔ - หน้า 542
โคตมีทรงมีพระบาทระบม มีพระกายเต็มด้วยละออง มีทุกข์ เสีย พระทัย มีพระพักตร์นองด้วยน้ำพระเนตร ทรงกันแสง ประทับยืน อยู่ ณ ซุ้มประตูด้านนอก ครั้นเห็นแล้ว จึงกล่าวความข้อนี้กะ พระนางว่า ดูก่อนพระนางโคตมี เพราะเหตุอะไรหนอ พระนาง จึงมีพระบาทระบม มีพระกายเต็มด้วยละออง มีทุกข์ เสียพระทัย มีพระพักตร์นองด้วยน้ำพระเนตร ทรงกันแสง ประทับยืนอยู่ ณ ซุ้มประตูด้านนอก พระนางมหาปชาบดีโคตมีตรัสตอบว่า ข้าแต่ ท่านพระอานนท์ ความจริงก็เป็นเช่นนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าไม่ ทรงอนุญาตให้มาตุคามออกบวชเป็นบรรพชิต ในธรรมวินัยที่ พระตถาคตทรงประกาศแล้ว ท่านพระอานนท์ก็กล่าวว่า ถ้าอย่างนั้น ขอเชิญพระนางรออยู่ที่นี้แหละ ตราบเท่าที่อาตมภาพทูลขอพระผู้- มีพระภาคเจ้าให้มาตุคามออกบวชเป็นบรรพชิตในธรรมวินัยนี้.
ครั้งนั้นแล ท่านพระอานนท์เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า ถึงที่ประทับ ถวายบังคมแล้วนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ครั้นแล้ว ได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ พระนางมหาปชาบดีโคตมีนี้ ทรงมีพระบาทระบม มีพระกายเต็มด้วยละออง มีทุกข์ เสียพระทัย มีพระพักตร์นองด้วยน้ำพระเนตร ทรงกันแสง ประทับยืนอยู่ ณ ซุ้มประตูด้านนอก เพราะพระผู้มีพระภาคเจ้า ไม่ทรงอนุญาตให้มาตุคามออกบวชเป็นบรรพชิต ในธรรมวินัย ที่พระตถาคตทรงประกาศแล้ว ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ขอประทาน วโรกาส ขอให้มาตุคามพึงได้ออกบวชเป็นบรรพชิต ในธรรมวินัย ที่พระตถาคตทรงประกาศแล้วเถิด พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า
พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย สัตตก-อัฏฐก-นวกนิบาต เล่ม ๔ - หน้า 543
ดูก่อนอานนท์ อย่าเลย เธออย่าชอบใจให้มาตุคามออกบวชเป็น บรรพชิตในธรรมวินัยที่ตถาคตประกาศแล้วเลย.
แม้ครั้งที่ ๒ ฯลฯ
แม้ครั้งที่ ๓ ท่านพระอานนท์ได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคเจ้า ว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ขอประทานวโรกาส ขอให้มาตุคาม พึงออกบวชเป็น บรรพชิต ในธรรมวินัยที่พระตถาคตทรงประกาศ แล้วเถิด พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ดูก่อนอานนท์ อย่าเลย เธอ อย่าชอบใจให้มาตุคามออกบวชเป็นบรรพชิต ในธรรมวินัยที่ ตถาคตประกาศแล้วเลย.
ลำดับนั้น ท่านพระอานนท์ได้มีความคิดดังนี้ว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าไม่ทรงอนุญาตให้มาตุคามออกบวชเป็นบรรพชิต ใน ธรรมวินัยที่พระตถาคตทรงประกาศแล้ว ผิฉะนั้น เราพึงทูลขอ พระผู้มีพระภาคเจ้าให้มาตุคามออกบวชเป็นบรรพชิต ในธรรม วินัยที่พระตถาคตทรงประกาศแล้วโดยปริยายแม้อื่น ลำดับนั้น ท่านพระอานนท์ตรัสทูลถามพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า ข้าแต่พระองค์ ผู้เจริญ มาตุคามออกบวชเป็นบรรพชิต ในธรรมวินัยที่พระตถาคต ทรงประกาศแล้ว ควรจะทำให้แจ้งซึ่งโสดาปัตติผล สกทาคามิผล อนาคามิผล หรืออรหัตตผลได้หรือไม่ พระเจ้าข้า พระผู้มีพระภาคเจ้า ตรัสว่า ดูก่อนอานนท์ มาตุคามออกบวชเป็นบรรพชิตในธรรมวินัย ที่ตถาคตประกาศแล้ว ควรทำให้แจ้งแม้โสดาปัตติผล สกทาคามิผล อนาคามิผล อรหัตตผลได้.
พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย สัตตก-อัฏฐก-นวกนิบาต เล่ม ๔ - หน้า 544
อ. ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ถ้ามาตุคามออกบวชเป็นบรรพชิต ในธรรมวินัยที่พระตถาคตทรงประกาศแล้ว ทำให้แจ้งแม้โสดาปัตติผล สกทาคามิผล อนาคามิผล อรหัตตผลได้ ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ พระนางปชาบดีโคตมีทรงมีอุปการะมาก เป็นพระมาตุจฉาของ พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงทะนุถนอมเลี้ยงดูให้พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงดื่มน้ำนม ในเมื่อพระชนนีทิวงคตแล้ว ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ขอประทานวโรกาส ขอให้มาตุคามพึงได้ออกบวชเป็นบรรพชิต ในธรรมวินัยที่พระตถาคตทรงประกาศแล้วเถิด.
พ. ดูก่อนอานนท์ ถ้าพระนางมหาปชาบดีโคตมี ทรงรับ ครุธรรม ๘ ประการ นั่นแหละ เป็นอุปสมบทของพระนาง คือ ภิกษุณี แม้อุปสมบทแล้ว ๑๐๐ ปี พึงทำการกราบไหว้ ลุกรับ ทำอัญชลีกรรม สามีจิกรรม แก่ภิกษุแม้อุปสมบทในวันนั้น แม้ ธรรมข้อนี้ภิกษุณีต้องสักการะ เคารพ นับถือ บูชา ไม่พึงก้าวล่วง ตลอดชีวิต.
ภิกษุณีไม่พึงเข้าจำพรรษาในอาวาสที่ไม่มีภิกษุ แม้ธรรม ข้อนี้ ภิกษุณี ต้องสักการะ เคารพ นับถือ บูชา ไม่พึงก้าวล่วง ตลอดชีวิต.
ภิกษุณีต้องแสวงหาภิกษุถามถึงการทำอุโบสถ และการ เข้าไปรับโอวาทจากภิกษุสงฆ์ทุกกึ่งเดือน แม้ธรรมข้อนี้ ภิกษุณี ต้องสักการะ เคารพนับถือ บูชา ไม่พึงก้าวล่วงตลอดชีวิต.
พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย สัตตก-อัฏฐก-นวกนิบาต เล่ม ๔ - หน้า 545
ภิกษุณีอยู่จำพรรษาแล้ว ต้องปวารณาในอุภโตสงฆ์ด้วย ฐานะ ๓ ประการ คือ ด้วยได้เห็น ได้ฟัง และรังเกียจ แม้ธรรม ข้อนี้ ภิกษุณีต้องสักการะ เคารพ นับถือ บูชา ไม่พึงก้าวล่วง ตลอดชีวิต.
ภิกษุณีต้องครุธรรมแล้ว พึงประพฤติมานัตปักษ์หนึ่ง ใน อุภโตสงฆ์ แม้ธรรมข้อนี้ ภิกษุณีต้องสักการะ เคารพ นับถือ ไม่พึงก้าวล่วงตลอดชีวิต.
ภิกษุณีต้องแสวงหาอุปสัมปทาในอุภโตสงฆ์ เพื่อนางสิกขมานา ผู้มีสิกขาอันศึกษาแล้วในธรรม ๖ ประการ ครบ ๒ ปี แม้ธรรม ข้อนี้ ภิกษุณีต้องสักการะ เคารพ นับถือ บูชา ไม่พึงก้าวล่วง ตลอดชีวิต.
ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ห้ามภิกษุณีว่ากล่าวตักเตือนภิกษุ ไม่ห้ามภิกษุว่ากล่าวตักเตือนภิกษุณี แม้ธรรมข้อนี้ ภิกษุณีต้อง สักการะ เคารพ นับถือ บูชา ไม่พึงก้าวล่วงตลอดชีวิต.
ดูก่อนอานนท์ ถ้าพระนางมหาปชาบดีโคตมีรับครุธรรม ๘ ประการนี้ได้นั้นแลเป็นอุปสัมปทาของพระนาง.
ลำดับนั้น ท่านพระอานนท์เรียนครุธรรม ๘ ประการนี้ ในสำนักพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้ว เข้าไปหาพระนางปชาบดีโคตมี แล้วกล่าวข้อด้วยความนี้กะพระนางว่า ดูก่อนพระนางโคตมี ถ้าแล พระนางพึงยอมรับครุธรรม ๘ ประการได้นั้นแลเป็นอุปสัมปทา ของพระนาง คือ ภิกษุณีแม้อุปสมบทแล้ว ๑๐๐ ปี ต้องกระทำ การกราบไหว้ ลุกรับ อัญชลีกรรม สามีจิกรรม แก่ภิกษุแม้
พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย สัตตก-อัฏฐก-นวกนิบาต เล่ม ๔ - หน้า 546
อุปสมบทในวันนั้น แม้ธรรมข้อนี้ ภิกษุณีต้องสักการะ เคารพ นับถือ บูชา ไม่พึงก้าวล่วงตลอดชีวิต ฯลฯ ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ห้ามภิกษุณีว่ากล่าวตักเตือนภิกษุ ไม่ห้ามภิกษุว่ากล่าวตักเตือน ภิกษุณี แม้ธรรมข้อนี้ ภิกษุณีต้องสักการะ เคารพ นับถือ บูชา ไม่พึงก้าวล่วงตลอดชีวิต ดูก่อนพระนางโคตมี ถ้าแลพระนาง พึงยอมรับธรรม ๘ ประการนี้ได้ นั้นแลจักเป็นอุปสัมปทา ของพระนาง.
พระนางมหาปชาบดีโคตมีกล่าวว่า ข้าแต่ท่านพระอานนท์ หญิงหรือชายแรกรุ่นหนุ่มสาว ชอบประดับ ตกแต่ง อาบน้ำชำระ ร่างกายแล้ว ได้พวงดอกอุบล พวงมะลิ หรือพวงลำดวนแล้ว เอามือทั้งสองประคองวางไว้บนศีรษะ ฉันใด ดิฉันก็ยอมรับครุธรรม ๘ ประการนี้ ไม่ก้าวล่วงตลอดชีวิต ฉันนั้นเหมือนกัน.
ครั้งนั้นแล ท่านพระอานนท์เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า ถึงที่ประทับ ถวายบังคมแล้วนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ครั้นแล้ว ได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ พระนาง มหาปชาบดีโคตมีทรงยอมรับครุธรรม ๘ ประการ ไม่ก้าวล่วง จนตลอดชีวิต.
พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ดูก่อนอานนท์ หากมาตุคาม จักไม่ได้ออกบวชเป็นบรรพชิต ในธรรมวินัยที่ตถาคตประกาศแล้ว พรหมจรรย์ก็ยังจะตั้งอยู่ได้นาน สัทธรรมพึงดำรงอยู่ได้ ๑,๐๐๐ ปี แต่เพราะมาตุคามออกบวชเป็นบรรพชิต ในธรรมวินัยที่ตถาคต ประกาศแล้ว พรหมจรรย์จะไม่ตั้งอยู่นาน ทั้งสัทธรรมก็จักดำรง
พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย สัตตก-อัฏฐก-นวกนิบาต เล่ม ๔ - หน้า 547
อยู่เพียง ๕๐๐ ปี ดูก่อนอานนท์ ตระกูลใดตระกูลหนึ่ง ที่มีหญิงมาก ชายน้อย ตระกูลนั้นถูกพวกโจรกำจัดได้ง่าย แม้ฉันใด มาตุคาม ได้ออกบวชเป็นบรรพชิตในธรรมวินัยใด พรหมจรรย์ในธรรมวินัย นั้นจักไม่ตั้งอยู่นาน ฉันนั้นเหมือนกัน อนึ่ง ขยอกลงในนาข้าวที่ สมบูรณ์ นาข้าวนั้นก็ย่อมไม่ตั้งอยู่นาน แม้ฉันใด... เพลี้ยลงใน ไร่อ้อยนั้นก็ย่อมไม่ตั้งอยู่นาน แม้ฉันใด มาตุคามได้ออกบวชเป็น บรรพชิตในธรรมวินัยใด พรหมจรรย์ในธรรมวินัยนั้น ย่อมไม่ตั้ง อยู่นาน ฉันนั้นเหมือนกัน อนึ่ง บุรุษกั้นคันสระใหญ่ไว้ก่อน เพื่อ ไม่ให้น้ำไหลออก ฉันใด เราบัญญัติ ครุธรรม ๘ ประการ ไม่ให้ภิกษุณีก้าวล่วงตลอดชีวิตเสียก่อน ฉันนั้นเหมือนกัน.
จบ โคตมีสูตรที่ ๑
พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย สัตตก-อัฏฐก-นวกนิบาต เล่ม ๔ - หน้า 548
วรรคที่ไม่จัดเข้าในปัณณาสก์
สันธานวรรคที่ ๑
อรรถกถาโคตมีสูตรที่ ๑
วรรคที่ ๖ โคตมีสูตรที่ ๑ มีวินิจฉัยดังต่อไปนี้.
บทว่า สกฺเกสุ วิหรติ ความว่า พระผู้มีพระภาคเจ้า เสด็จ ไปประทับอยู่โดยการเสด็จครั้งแรก. บทว่า มหาปชาปตี ได้แก่ ผู้ได้พระนามอย่างนี้ เพราะเป็นใหญ่ ประชาคือพระโอรสและใน ประชาคือพระธิดา. บทว่า เยน ภควา เตนุปสงฺกมิ ความว่า พระผู้มีพระภาคเจ้า เสด็จไปยังกรุงกบิลพัสดุ์ให้นันทกุมารบวชก่อน ทีเดียว ในวันที่ ๗ จึงให้ราหุลกุมารบวช. เมื่อชาวพระนครทั้ง ๒ ฝ่ายออกไปเพื่อเตรียมรบในเพราะเหตุทะเลาะกันเรื่องมงกุฎ พระศาสดาเสด็จไปทำพระเจ้าเหล่านั้นให้เข้าใจกันแล้วตรัสอัตตทัณทสูตร. เจ้าทั้งหลายทรงเลื่อมใสแล้วได้มอบถวายพระกุมารฝ่ายละ ๒๕๐ องค์. พระกุมาร ๕๐๐ องค์เหล่านั้นบวชในสำนักพระศาสดา. ลำดับนั้นพระชายาของท่านเหล่านั้นส่งข่าวไป ทำให้เกิดความ ไม่ยินดี (ในการบวช). พระศาสดาทรงทราบว่า ภิกษุเหล่านั้น เกิดความไม่ยินดี จึงนำภิกษุหนุ่ม ๕๐๐ รูปเหล่านั้นไปสู่สระชื่อว่า กุณาละ ประทับนั่งบนแผ่นหินที่ทรงเคยประทับนั่งในครั้งที่พระองค์ เสวยพระชาติเป็นนกดุเหว่า. บรรเทาความไม่ยินดีของภิกษุเหล่านั้น ด้วยเรื่องกุณาชาดก แล้วให้ท่านทั้งหมดนั้นดำรงอยู่ในโสดา-
พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย สัตตก-อัฏฐก-นวกนิบาต เล่ม ๔ - หน้า 549
ปัตติผล แล้วนำกลับมาสู่ป่ามหาวันอีกครั้งหนึ่ง ให้ดำรงอยู่ใน พระอรหัตตผลแล. เพื่อจะทราบจิตของภิกษุเหล่านั้น พระชายา ทั้งหลายจึงส่งข่าวไปอีกครั้ง. ภิกษุเหล่านั้นส่งสานตอบไปว่า พวกเราไม่ควรอยู่ครองเรือน พระนางเหล่านั้นทรงดำริว่า บัดนี้ ไม่ควรที่พวกเราจะกลับไปยังเรือน เราจะไปสำนักพระนางมหาปชาบดีขออนุญาตบรรพชาแล้วจักบวช. ทั้ง ๕๐๐ เข้าไปเฝ้า พระนางมหาปชาบดีทูลว่า ข้าแต่พระแม่เจ้า ขอพระแม่เจ้าโปรด อนุญาตให้หม่อมฉันทั้งหลายบวชเถิด. พระนางมหาปชาบดี พา สตรีเหล่านั้นไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า. อาจารย์บางพวกกล่าวว่า เข้าไปเฝ้าในเวลาที่พระราชาปรินิพพานภายในเศวตฉัตร ดังนี้ ก็มี. ถามว่า เพราะเหตุไรพระผู้มีพระภาคเจ้าจึงห้ามว่า อย่าเลย โคตมี ท่านอย่าชอบใจไปเลย พระพุทธเจ้าทุกพระองค์ ย่อมมีบริษัท ๔ มิใช่หรือ มีก็จริง แต่พระองค์มีพระประสงค์จะทำให้หนักแน่น แล้วค่อยอนุญาตจึงทรงห้ามเสีย ด้วยทรงพระดำริว่า สตรีเหล่านี้ จักรักษาไว้โดยชอบซึ่งบรรพชาที่เราถูกอ้อนวอนหลายครั้งอนุญาต ให้ยากๆ ด้วยคิดว่า เราได้บรรพชามาด้วยความลำบาก. บทว่า ปกฺกามิ ความว่า เสด็จเข้าไปยังกรุงกบิลพัสดุ์นั้นแหละอีกครั้งหนึ่ง บทว่า ยถาภิรนฺตํ วิหริตฺวา ความว่า ทรงตรวจดูอุปนิสัยแห่งสัตว์ ผู้จะตรัสรู้ จึงประทับอยู่ตามพระอัธยาศัย. บทว่า จาริกํ ปกฺกามิ ความว่า เมื่อจะทรงกระทำการสงเคราะห์มหาชน จึงเสด็จจาริก แบบไม่รีบด่วนด้วยพุทธศิริอันสูงสุด ด้วยพุทธวิลาสอันหาที่เปรียบ มิได้.
พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย สัตตก-อัฏฐก-นวกนิบาต เล่ม ๔ - หน้า 550
บทว่า สมฺพหุลาหิ สากิยานีหิ สทฺธึ ความว่า พระนาง มหาปชาบดี ทรงถือเพศบรรพชาอุทิศพระทศพลภายในพระนิเวศน์ นั่นเอง แล้วให้นางศากิยานีทั้ง ๕๐ นั้น ถือเพศบรรพชาเหมือนกัน แล้วเสด็จหลีกไปพร้อมกับนางศากิยานีเป็นอันมากแม้ทั้งหมดนั้น. บทว่า ปกฺกามิ ได้แก่ทรงพระดำเนินไป. ในเวลาที่นางมหาปชาบดี นั้นทรงดำเนินไป เจ้าหญิงทั้งหลาย ผู้สุขุมาลชาติจักไม่สามารถ เดินไปด้วยพระบาทได้ เพราะเหตุนั้น เจ้าศากยะและเจ้าโกลิยะ จึงได้จัดวอทองส่งไป. ก็นางศากิยาณีเหล่านั้นคิดว่า เราเมื่อขึ้นยาน ไป เป็นอันชื่อว่าไม่กระทำความเคารพในพระศาสดา ดังนี้แล้ว จึงได้ใช้พระบาทดำเนินไปตลอดทาง ๕๑ โยชน์. ฝ่ายเจ้าทั้งหลาย ให้จัดอารักขาทั้งข้างหน้าข้างหลัง บรรทุกข้าวสาร เนยใส และ น้ำมันเป็นต้นเต็มเกวียน แล้วส่งบุรุษทั้งหลายไปด้วยสั่งว่า พวก ท่านจงตระเตรียมอาหารในที่ที่นางศากิยานีเหล่านั้นไปๆ กัน. บทว่า สูเนหิ ปาเทหิ ความว่า เพราะนางศากิยานีเหล่านั้นเป็น สุขุมาลชาติ ตุ่มพองเม็ดหนึ่งผุดขึ้นที่พระบาททั้งสอง เม็ดหนึ่ง แตกไป พระบาททั้งสองพองขึ้นเป็นประหนึ่งเมล็ดผลตุ่มกา. เพราะเหตุนั้น ท่านพระอานนท์จึงกราบทูลว่า สูเนหิ ปาเทหิ ดังนี้. บทว่า พหิทฺวารโกฏฺเก ได้แก่ ภายนอกซุ้มประตู. ถามว่า ก็เพราะ เหตุไร พระนางมหาปชาบดีจึงยืนอยู่อย่างนั้น? ตอบว่า ได้ยินว่า พระนางมหาปชาดีได้มีความคิดอย่างนี้ว่า เราพระตถาคตไม่ ทรงอนุญาตแล้ว ก็ถือเพศบรรพชาด้วยตนเองทีเดียว ก็แลความ ที่เราถือเพศบรรพชาอย่างนี้ เกิดปรากฏไปทั่วชมพูทวีป ถ้าพระ-
พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย สัตตก-อัฏฐก-นวกนิบาต เล่ม ๔ - หน้า 551
ศาสดาทรงอนุญาตบรรพชาไซร้ ข้อนั้นเป็นการดี แต่ถ้าพระองค์ จักไม่ทรงอนุญาตไซร้ จักมีความครหาอย่างใหญ่หลวง จึงไม่ อาจจะเข้าไปยังวิหาร ได้ยินทรงกรรแสงอยู่.
บทว่า กึ นุ ตวํ โคตมิ ความว่า ความวิบัติแห่งราชตระกูล เกิดขึ้นแล้วหรือหนอ เพราะเหตุไรหนอ พระองค์ทรงภาวะ แปลกไปอย่างนี้ คือมีเท้าบวม ฯลฯ ประทับยืนอยู่แล้ว ฯลฯ บทว่า อญฺเนปิ ปริยาเยน ได้แก่ แม้โดยเหตุอื่น. พระอานนท์กล่าว พระคุณของพระนางมหาปชาบดีนั้นด้วยคำมีอาทิว่า พระนางมหาปชาบดีนั้นด้วยคำมีอาทิว่า พระนางมหาปชาบดีมีอุปการะมาก พระเจ้าข้า ดังนี้ เมื่อจะทูลขอบรรพชาอีกครั้ง จึงได้ทูลอย่างนั้น.
แม้พระศาสดาก็ทรงพระดำริว่า ธรรมดาว่าสตรีทั้งหลาย มีปัญญาน้อย เมื่อเราอนุญาตการบรรพชาด้วยเหตุเพียงถูกขอ ครั้งเดียวเท่านั้น ก็จะไม่ถือเอาคำสั่งสอนของเราให้หนักแน่น ดังนี้แล้ว จึงทรงห้าม ๓ ครั้ง บัดนี้ เพราะเหตุที่เธอประสงค์จะ ถือเอาคำสอนของเราให้หนักแน่น จึงตรัสคำมีอาทิว่า ดูก่อนอานนท์ ถ้ามหาปชาบดีโคตมีจะยอมรับครุธรรม ๘ ประการไซร้ การรับ ครุธรรมนั้นแหละ จงเป็นอุปสมบทของเธอ. บรรดาเหล่านั้น บทว่า สาวสฺสา ความว่า การรับครุธรรมนั้นแหละเป็นทั้งบรรพชา เป็นทั้งอุปสมบทของเธอ.
บทว่า ตทหุปสมฺปนฺนสฺส แปลว่าผู้อุปสมบทในวันนั้น. บทว่า อภิวาทนํ ปจฺจุฏฺานํ อญฺชลิกมฺมํ สามีจิกมฺมํ กาตพฺพํ ความ ภิกษุณีไม่กระทำการดูถูกตนเองและดูหมิ่นผู้อื่น กระทำการกราบ
พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย สัตตก-อัฏฐก-นวกนิบาต เล่ม ๔ - หน้า 552
ด้วยเบญจางคประดิษฐ์ กระทำการลุกขึ้นด้วยอำนาจลุกขึ้นจาก อาสนะออกไปต้อนรับ รวมนิ้วทั้ง ๑๐ แล้วไหว้. การกระทำสามีจิกรรม กล่าวคือกรรมอันสมควร มีการปูอาสนะ และการพัดวี เป็นต้น ๑. บทว่า อภิกฺขเก อาวาเส ความว่า ไม่มีอาจารย์ให้ โอวาท โดยไม่มีอันตราย สำหรับนางภิกษุณีผู้อยู่ในอาวาสใด อาวาสนะชื่อว่าอาวาสไม่มีภิกษุ. ภิกษุณีไม่ควรเข้าจำพรรษา ในอาวาสเห็นปานนี้. บทว่า อนฺวฑฺฒมาสํ แปลว่า ทุกอุโบสถ. บทว่า โอวาทูปสงฺกมน แปลว่า เข้าไปเพื่อต้องการโอวาท. บทว่า ทิฏฺเน แปลว่า โดยเห็นด้วยตา. บทว่า สุเตน แปลว่า โดยได้ฟัง ด้วยหู. บทว่า ปริสงฺกาย แปลว่า โดยรังเกียจด้วยการเห็นและ การฟัง. บทว่า ครุธมฺมํ ได้แก่ อาบัติหนัก คือ อาบัติสังฆาทิเลส บทว่า ปกฺขมานตฺตํ ได้แก่ ภิกษุณีพึงประพฤติมานัต ๑๕ วันเต็ม. บทว่า ฉสุ ธมฺเมสุ ได้แก่ ในสิกขาบททั้งหลาย มีวิกาลโภชนสิกขาบทเป็นที่ ๖. บทว่า สิกฺขิตสิกฺขาย ได้แก่ บำเพ็ญสิกขาโดย ไม่ให้ขาดแม้สิกขาบทเดียว. บทว่า อกฺโกสิตพฺโพ ปริภาสิตพฺโพ ความว่า ภิกษุณีไม่พึงด่าภิกษุด้วยอักโกสวัตถุ ๑๐ ประการ อย่างใดอย่างหนึ่ง ไม่พึงบริภาษด้วยการบริภาษอย่างใดอย่างหนึ่ง อันอ้างถึงสิ่งที่น่ากลัว. บทว่า โอวโฏ ภิกฺขุนีนํ ภิกขูสุ วจนปโถ ความว่า คลองแห่งถ้อยคำกล่าวคือ โอวาทิ อนุศาสนี และธรรมกถา อันภิกษุณี ห้ามปิดในภิกษุทั้งหลาย คือภิกษุณีไม่ควรโอวาท ไม่ควรอนุศาสน์ภิกษุไรๆ แต่ภิกษุณีควรจะกล่าวตามประเพณี อย่างนี้ว่า ท่านเจ้าข้า พระเถระในปางก่อนได้บำเพ็ญวัตรเช่นนี้ๆ มา.
พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย สัตตก-อัฏฐก-นวกนิบาต เล่ม ๔ - หน้า 553
บทว่า อโนวโฏ ภิกฺขูนํ ภิกฺขุนีส วจนปโถ ความว่า ภิกษุทั้งหลาย ไม่ห้ามคำอันเป็นคลองในภิกษุณีทั้งหลายคือ ภิกษุทั้งหลายจง โอวาท จงอนุศาสน์ จงกล่าวธรรมกถาตามชอบใจ ความสังเขป ในข้อนี้มีดังว่ามานี้. แต่เมื่อว่าโดยพิสดาร กถาว่าด้วยครุธรรมนี้ พึงทราบโดยนัยที่กล่าวแล้วในอรรถกถาพระวินัย ชื่อว่าสมันตปาสาทิกานั้นแล.
โทมนัสอย่างใหญ่หลวงของพระนางปชาบดี สงบลงทันที เพราะได้ฟังครุธรรม ๘ ประการนี้ที่พระเถระเรียนในสำนัก พระศาสดาแล้วมาทูลแก่พระนาง พระนางปราศจากความกระวน กระวาย มีใจชื่นชมยินดี ประหนึ่งว่าโสรจสรงลงบนกระหม่อม ด้วยน้ำเย็น ๑๐๐ หม้อ ที่นำมาจากสระอโนดาด เมื่อจะทำให้แจ้ง ซึ่งปิติและปราโมทย์ที่เกิดขึ้นเพราะรับครุธรรม จึงได้เปล่งอุทาน มีอาทิว่า เสยฺยถาปิ ภนฺเต ดังนี้
บทว่า กุมฺภตฺเถนเภหิ ความว่า อันโจรผู้จุดไฟในหม้อแล้ว เลือกเอาสิ่งของในเรือนของผู้ชื่นด้วยแสงสว่างนั้นขโมยไป. บทว่า เสตฏฐิกา นาม โรคชาติ ความว่า รวงข้าวแม้ออกจากต้นข้าว ที่ถูกหนอนตัวเล็กๆ เจาะถึงกลางก้านก็ไม่อาจถือเอาน้ำนม (คือ ให้น้ำนม) ได้. บทว่า มญฺเชฏฺกา นามโรคชาติ ได้แก่ ภายใน ลำต้นอ้อยมีสีแดง.
ก็ด้วยบทว่า มหโต ตฬากสฺส ปฏิกจฺเจว ปาลึ นี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงความนี้ไว้ว่า เหมือนอย่างว่า เมื่อเขาไม่ พูนคันกั้นสระใหญ่ น้ำสักหน่อยหนึ่งก็ไม่ขังอยู่เลย แต่เมื่อเขา
พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย สัตตก-อัฏฐก-นวกนิบาต เล่ม ๔ - หน้า 554
ปิดไว้ครั้งแรกนั่นแหละ น้ำใดที่ไม่ขังอยู่ เพราะไม่ปิดกั้นเป็นปัจจัย น้ำแม้นั้นก็พึงขังอยู่ได้ฉันใด. ครุธรรมเหล่านี้ก็ฉันนั้นเหมือนกัน เราบัญญัติเสียก่อน เพื่อประโยชน์จะไม่ให้นางภิกษุณีจงใจล่วง ละเมิดในเมื่อเรื่องยังไม่เกิดขึ้น เพราะเมื่อเราไม่บัญญัติครุธรรม เหล่านั้น เพราะมาตุคามบวช พระสัทธรรมจักดำรงอยู่ได้ ๕๐๐ ปี แต่ครุธรรมที่เราบัญญัติไว้เสียก่อน พระสัทธรรมจักดำรงอยู่ได้ อีก ๕๐๐ ปี รวมความว่าพระสัทธรรมจักดำรงอยู่ได้เพียง ๑,๐๐๐ ปี ซึ่งได้ตรัสไว้ก่อนดังกล่าวมาฉะนี้.
ก็คำว่า วสฺสสหสฺสํ นี้ ตรัสโดยมุ่งถึงพระขีณาสพผู้บรรลุ ปฏิสัมภิทาเท่านั้น แต่เมื่อกล่าวให้ยิ่งไปกว่านั้น ๑,๐๐๐ ปี โดยมุ่ง ถึงพระขีณาสพผู้สุกขวิปัสสก ๑,๐๐๐ ปี โดยมุ่งถึงพระอนาคามี ๑,๐๐๐ โดยมุ่งถึงพระสกทาคามี ๑,๐๐๐ ปี โดยมุ่งถึงพระโสดาบัน ปฏิเวธสัทธรรมถูกดำรงอยู่ได้ ๕,๐๐๐ ปี โดยอาการดังกล่าวมานี้ แม้พระปริยัติธรรมก็ดำรงอยู่ได้ ๕,๐๐๐ ปีนั้นเหมือนกัน. เพราะ เมื่อปริยัติธรรมไม่มี ปฏิเวธธรรมก็มีไม่ได้ แม้เมื่อปริยัติธรรม ไม่มี ปฏิเวธธรรมไม่มี ก็เมื่อปริยัติธรรมแม้อันตรธานไปแล้ว เพศ (แห่งบรรพชิต) ก็จักแปรเป็นอย่างอื่นไปแล.
จบ อรรถกถาโคตมีสูตรที่ ๑