ธรรมะ คือ สิ่งที่มีอยู่จริงๆ ทาง ตา หู จมูก ลิ้น กาย และใจ เป็นแต่พียงสภาพธรรม ที่เกิดขึ้น แล้วก็ดับไปอย่างรวดเร็ว ตามเหตุ ปัจจัย ไม่ใช่ สัตว์ตัวตน บุคคล ไม่ใช่เรา ไม่สามารถที่จะบังคับบัญชา ให้เกิด ให้มีได้.
จากความเข้าใจของผมข้างต้นนี้ อยากจะให้ท่านทั้งหลาย ได้ช่วยอธิบายว่า มีความถูกต้องต่อพระธรรมคำสั่งสอนของพระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า มากน้อยอย่างไร
ขอบพระคุณเป็นอย่างสูงครับ
ขออนุโมทนาในความเห็นถูกของคุณธีรวุฒครับธรรมะ คือ สิ่งที่มีอยู่จริงๆ ทาง ตา หู จมูก ลิ้น กาย และใจ เป็นแต่เพียง
สภาพธรรม ที่เกิดขึ้น แล้วก็ดับไปอย่างรวดเร็ว ตามเหตุ ปัจจัย....
สังขารทั้งหลายไม่เที่ยง สังขารทั้งหลายเป็นทุกข์ ธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา
สาธุ
ความเข้าใจขั้นต้นถูกต้อง ก็ขออนุโมทนา แต่ขอถามว่าเป็นความเข้าใจจริงๆ
หรือเปล่าหรือว่าลอกข้อความมา ถ้าเข้าใจได้จริงๆ ก็ขออนุโมทนาอีกที ครับ
ขออนุโมทนาค่ะ
ความเข้าใจขั้นการศึกษา การฟังให้เข้าใจในสิ่งที่มีอยู่จริงๆ ไม่ว่าทางตา ทางหู.......
ก็เป็นสิ่งที่ยากมาก ขออนุโมทนาในความเห็นถูกค่ะ ค่อยๆ อบรมความรู้ความเข้าใจ
ในลักษณะสภาพธรรมที่มีอยู่จริงๆ ในขณะนี้ไม่ว่าทางตา ทางหู.............. จนกว่า
สังขารขันธ์ปรุงแต่งให้สติระลึกรู้ลักษณะของสภาพธรรมตรงตามความเป็นจริง ซึ่งมี
อยู่หนทางเดียวเท่านั้น ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านค่ะ
ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย
ขออนุโมทนาครับ เป็นความเข้าใจขั้นการฟัง การศึกษาที่ถูกต้อง แต่ก็ต้องอบรมความเข้าใจต่อไปจนมั่นคง จนเป็นเหตุให้สติและปัญญาเกิดรู้ความเป็นอนัตตาที่ลักษณะ
ของสภาพธรรมที่มีในขณะนี้ว่าเป็นธรรมไม่ใช่เราครับ ขออนุโมทนาด้วยครับ อุทิศกุศลให้สรรพสัตว์
=ขออนุโมทนาในกุศลจิตและความเห็นถูกต้อง ของคุณนะคับ แท้จริงไม่มีสัตว์บุคคลเลยคับ เป็นเพียงธรรมชาตที่ ไหลไปตามเหตุ และปัจจัยเท่านั้น ชีวิตนี้เป็นเพียงแบบ
ฝึกหัดในการเข้าใจพระธรรมของเราคับ ผมฟังท่านอาจารย์ทุกวัน แล้วรู้สึกว่า เข้าใจใน
ชีวิต และธรรมะได้มากขึ้นคับ ถึงแม้ยังมีกิเลส เต็มเปี่ยมอยู่แต่ก็รู้ และ เห็นตัวกิเลส ชัด
ขึ้นมากคับ
คำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงว่าสิ่งที่มีอยู่จริงเป็นธรรมะ (ซึ่งก็คือจิต เจตสิก รูป) เป็นสภาพธรรมที่เกิดขึ้นตามเหตุตามปัจจัย ซึ่งเกิดดับสืบต่อ
อย่างรวดเร็วมาก ชั่วลัดนิ้วมือเดียวจิตเกิดดับแสนโกฎขณะ จิตแต่ละขณะเกิดแล้ว
ดับทันทีไม่หวนกลับมาอีกเลย จึงไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตน เป็นเพียงลักษณะ
สภาพธรรมเท่านั้นที่เป็นไปแต่ละอย่างไม่สามารถบังคับบัญชาได้ ไม่มีตัวตนที่จะไปทำอะไรได้ทั้งสิ้น จึงเป็นอนัตตาค่ะ
ขออนุโมทนาค่ะ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ธรรม เป็นสิ่งที่มีจริง เมื่อกล่าวถึงธรรมแล้ว มีทั้งธรรมที่เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย แล้วก็ดับไป ไม่ยั่งยืน เป็นสังขารธรรม คือ จิต เจตสิก รูป ซึ่งไม่พ้นไปจากชีวิตประจำวันเพราะในชีวิตประจำวัน มีสภาพธรรมเหล่านี้เกิดขึ้นเป็นไปอยู่ตลอดเวลา และมีธรรมอีกอย่างหนึ่ง ซึ่งเป็นสภาพธรรมที่มีจริง แต่ไม่เกิดไม่ดับคือ พระนิพพาน ผู้ที่จะประจักษ์แจ้งพระนิพพานได้นั้นต้องเป็นพระอริยบุคคล เมื่อกล่าวโดยสรุปแล้ว ธรรมทั้งหลายทั้งปวง ไม่มีเว้นอะไรเลย เป็นอนัตตา คือ ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตน ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใคร การศึกษาพระธรรม ฟังพระธรรม ย่อมเป็นไปเพื่อความเจริญขึ้นของปัญญาซึ่งเป็นความเข้าใจถูก เห็นถูก จากที่ไม่เคยรู้มาก่อน ก็จะค่อย ๆ รู้ขึ้นไปตามลำดับ ครับ ..
...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...
กราบอนุโมทนา สาธุครับที่เมตตาช่วยชี้แนะธรรมให้
สาธุ
"ธรรมะ คือ สิ่งที่มีอยู่จริงๆ ทาง ตา หู จมูก ลิ้น กาย และใจ เป็นแต่พียงสภาพธรรม ที่เกิดขึ้น แล้วก็ดับไปอย่างรวดเร็ว ตามเหตุ ปัจจัย ไม่ใช่ สัตว์ตัวตน บุคคล ไม่ใช่เรา ไม่สามารถที่จะบังคับบัญชา ให้เกิด ให้มีได้."
อย่าให้เป็นแต่เพียงความเข้าใจในตำรา
ต้องพิจารณาสภาพธรรม.....ในขณะนี้ด้วยนะคะ
ขออนุโมทนา
ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกท่านค่ะ
พระพุทธองค์ท่านไม่ได้กล่าวเป็นประโยคอย่างที่คุณธีรวุฒิเขียนมา ตามที่ดิฉันเข้าใจแต่ในความหมายของความเป็นอนัตตา เราต้องศึกษาจากพระไตรปิฏกเอาเอง และขณะนี้เรามีผู้รู้ ซึ่งได้ถ่ายทอดความรู้ให้อย่างละเอียด แต่อยู่ที่ว่าผู้รับฟังจะสามารถเก็บเอาความรู้นี้มาไตร่ตรอง หรือไม่เกียจคร้านที่จะศึกษาอบรมให้เกิดความเข้าใจด้วยตัวของตัวเอง จึงจะเห็นความเป็นอนัตตา คงไม่ใช่ชั่วข้ามคืน ต้องศึกษาอบรมต่อไปอีกค่ะ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นัน
ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ