1."ผู้มีปัญญาอบรมมาด้วยจิตที่ถูกต้องแม้ไม่ต้องจับพระไตรปิฎกแต่ก็น้อมเอาสิ่งต่างๆ มาเป็นธรรม เป็นยอดพระไตรปิฎกได้"
2."วินัยพระในยุคปัจจุบัน เป็นข้อปฏิบัติที่ตึงเกินไป จึงควรปรับเปลี่ยนให้เข้ากับยุคสมัย"
3."พระธรรมของพระพุทธเจ้านั้น ไม่อาจค้นพบได้ด้วยตำราต่างๆ ถ้าท่านต้องการจะรู้เห็นจริงด้วยตัวของท่านเองว่าพระพุทธเจ้าทรงตรัสสอนอะไร ท่านไม่จำเป็นต้องวุ่นวายกับตำราเลย จงเฝ้าดูจิตของท่านเอง พิจารณาให้รู้เห็นว่า ความรู้สึกต่างๆ (เวทนา) เกิดขึ้น และดับไปได้อย่างไร ความนึกคิดเกิดขึ้นและดับอย่างไร อย่าได้ผูกพันอยู่กับสิ่งใดเลย จงมีสติอยู่เสมอ เมื่อมีอะไรๆ เกิดขึ้นให้ได้รู้ได้เห็น นี่คือทางบรรลุถึงสัจธรรมของพระพุทธองค์ จงปฏิบัติธรรมดาตามธรรมชาติ ทุกสิ่งทุกอย่างที่ท่านทำขณะที่นี่ เป็นโอกาสแห่งการฝึกปฏิบัติ เป็นธรรมะทั้งหมด"
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
1."ผู้มีปัญญาอบรมมาด้วยจิตที่ถูกต้อง แม้ไม่ต้องจับพระไตรปิฎก แต่ก็น้อมเอาสิ่งต่างๆ มาเป็นธรรม เป็นยอดพระไตรปิฎกได้"
@ เป็นความเห็นที่ไม่ถูกต้องตรงตามความเป็นจริง เพราะ ผู้ที่จะไม่ต้องฟัง ไม่ต้องศึกษาพระธรรมเลย คือ ผู้ที่ไม่ใช่สาวก มี 2 บุคคลเท่านั้น คือ พระพุทธเจ้า และพระปัจเจกพุทธเจ้า ซึ่งพระปัจเจกพุทธเจ้า จะมีได้ เมื่อสิ้นพระศาสนานี้ ยุคนี้จึงไม่มี เพราะฉะนั้น ผู้ที่ไม่ใช่พระพุทธเจ้า และ พระปัจเจกพุทธเจ้า ย่อมจะต้องฟัง ศึกษาพระธรรมทั้งนั้น แม้แต่ท่านพระสารีบุตร ผู้เลิศด้วยปัญญา ก็ไม่สามารถจะคิดนึกถึงธรรมที่ถูกต้องด้วยตนเอง ต้องฟังพระธรรมจากที่พระพุทธเจ้าทรงแสดง จะกล่าวไปใย ถึงสัตว์โลก ในขณะนี้ ที่มากด้วยอวิชชา ครับ
2."วินัยพระในยุคปัจจุบัน เป็นข้อปฏิบัติที่ตึงเกินไป จึงควรปรับเปลี่ยนให้เข้ากับยุคสมัย"
@ สัจจะ ความจริงไม่เปลี่ยนแปลงไปตามยุคสมัยเลย อกุศลเป็นอกุศลไม่เปลี่ยนแปลง กุศลเป็นกุศล ไม่เปลี่ยนแปลงลักษณะ ไม่ว่าเกิดกับใคร และช่วงเวลาไหนแม้ อดีต ปัจจุบันนี้ และ อนาคต พระธรรมที่พระพุทธเจ้าทรงแสดง แม้ในส่วนสิกขาบทที่เป็นพระวินัยของพระภิกษุ ประโยชน์ คือ เพื่อไม่ให้กิเลสที่ยังไม่เกิด เกิดขึ้น และกิเลสที่เกิดขึ้นแล้ว เจริญขึ้น ดังนั้น พระบัญญัติของพระพุทธองค์เป็นสัจจะความจริง ไม่เปลี่ยนแปลงตามยุคสมัย ว่าถ้าเป็นสมัยนี้จะใช้ไม่ได้ เพราะโลกเปลี่ยนแปลงไป โลกเปลี่ยนแปลงไปตาม สมมติเรื่องราว ที่เป็นบัญญัติ ไม่ใช่สัจจะ แต่สภาพธรรมที่มีจริง คือ กุศล อกุศล ไม่เปลี่ยนไปตามโลกเรื่องราวเลย สิ่งใดมีโทษ พระองค์ตรัสว่ามีโทษ ความมีโทษที่ทำให้อกุศลเจริญ ก็ไม่เปลี่ยนแปลงไปตามยุคสมัย เช่น แม้แต่การรับและยินดีเงินทองนั้น ของพระภิกษุ พระพุทธองค์ก็ตรัสว่ามีโทษ และไม่สมควรกับพระภิกษุ ไม่ว่า กาละเวลาไหน อดีต ปัจจุบันและอนาคต เพราะก็ต้องเข้าใจความจริงที่ไม่เปลี่ยนแปลงว่าบวช บรรพชา คือ การเว้นทั่วจากกิเลส และเป็นการสละอาคาร บ้านเรือน ไม่ใช่เพศคฤหัสถ์แล้ว
ดังนั้น ข้อปฏิบัติที่เป็นพระวินัยบัญญัติ จึงไม่ตึงเกินไป สำหรับผู้ที่เห็นโทษที่จะละกิเลส เพราะ กิเลส มีโทษ ไม่ต่างกัน ไม่ว่ายุคสมัยไหน แต่ วินัยบัญญัติ จะดูตึงเกินไปสำหรับผู้ที่ไม่เห็นโทษของกิเลส และ ไม่น้อมไปที่จะประพฤติปฏิบัติตาม ครับ
เพราะฉะนั้น ที่ยกมา จึงเป็นคำกล่าวที่ไม่ถูกต้องตามพระธรรมวินัย
3."พระธรรมของพระพุทธเจ้านั้น ไม่อาจค้นพบได้ด้วยตำราต่างๆ ถ้าท่านต้องการจะรู้เห็นจริงด้วยตัวของท่านเองว่าพระพุทธเจ้าทรงตรัสสอนอะไร ท่านไม่จำเป็นต้องวุ่นวายกับตำราเลย จงเฝ้าดูจิตของท่านเอง พิจารณาให้รู้เห็นว่า ความรู้สึกต่างๆ (เวทนา) เกิดขึ้น และดับไปได้อย่างไร ความนึกคิดเกิดขึ้นและดับอย่างไร อย่าได้ผูกพันอยู่กับสิ่งใดเลย จงมีสติอยู่เสมอ เมื่อมีอะไรๆ เกิดขึ้นให้ได้รู้ได้เห็น นี่คือทางบรรลุถึงสัจธรรมของพระพุทธองค์ จงปฏิบัติธรรมดาตามธรรมชาติ ทุกสิ่งทุกอยางที่ท่านทำขณะที่นี่ เป็นโอกาสแห่งการฝึกปฏิบัติ เป็นธรรมะทั้งหมด"
@ หากเข้าใจความจริงที่ถูกต้อง พระธรรมที่พระพุทธเจ้าทรงแสดง ต้องเป็นไปตามลำดับ คือ ปริยัติ ปฏิบัติและปฏิเวธ หากไม่มีการเข้าใจ จากพระธรรมที่พระพุทธเจ้าทรงแสดง ก็ไม่มีทางถึง ปฏิบัติได้ เพราะ เป็นการคิดเอง เดาเอาเอง โดยที่ไม่รู้แม้แต่จิตจริงๆ คืออะไร ตามที่พระพุทธเจ้าทรงแสดง ซึ่งตามที่กล่าวแล้วว่า ผู้ที่ไม่ต้องอ่านศึกษาพระธรรม คือ พระพุทธเจ้า กับ พระปัจเจกพุทธเจ้าเท่านั้น แม้ท่านพระสารีบุตรก็ยังต้องศึกษา ฟังพระธรรม จึงจะเกิดปฏิบัติ รู้ความจริงของสภาพธรรมในขณะนี้ได้ครับ เพราะฉะนั้น ผู้ที่ปฏิเสธ ปริยัติ ปฏิเสธการศึกษาพระธรรม ก็เปรียบเหมือน ผู้ที่จะสร้างบ้านสองชั้น แต่ ขอสร้างบ้านชั้นที่สองก่อน ชั้นที่หนึ่ง โดยไม่มีเสาของชั้น 1 เลย ซึ่งเท่ากับกำลังข้ามเหตุที่ไปสู่ผล มุ่งไปสู่ผล โดยไม่มีเหตุ ครับ เพราะฉะนั้นคำกล่าวนี้ จึงไม่ตรงตามพระธรรมที่พระพุทธเจ้าทรงแสดง ครับ
[เล่มที่ 78] พระอภิธรรมปิฎก วิภังค์ เล่ม ๒ ภาค ๒ - หน้าที่ 881
แม้ผู้มีปัญญาทราม ก็จะนั่งในท่ามกลางแห่งอุปัฏฐากทั้งหลาย กล่าวอยู่ว่า เราย่อมสละปริยัติ ดังนี้เป็นต้น ด้วยคำว่า เมื่อเราตรวจดูหมวดสามแห่งธรรมอันยังสัตว์ให้เนิ่นช้าในมัชฌิมนิกายอยู่ มรรคนั่นแหละมาแล้วพร้อมด้วยฤทธิ์ ชื่อว่าปริยัติ ไม่เป็นสิ่งที่กระทำได้โดยยากสำหรับพวกเรา การสนใจในปริยัติ ย่อมไม่พ้นไปจากทุกข์ ดังนี้ ย่อมแสดงซึ่งความที่ตนเป็นคนมีปัญญามาก. ก็เมื่อภิกษุนั้นกล่าวอยู่อย่างนี้ ชื่อว่า ย่อมทำลายพระศาสนา.ชื่อว่า มหาโจรเช่นกับบุคคลนี้ ย่อมไม่มี เพราะว่า บุคคลผู้ทรงพระปริยัติ ชื่อว่า ย่อมไม่พ้นไปจากทุกข์ หามีไม่.
เชิญคลิกอ่านเพิ่มเติมที่นี่ ครับ
ปริยัติ ปฏิบัติ ปฏิเวธ ที่ถูกต้องคืออย่างไร
การอบรมเจริญปัญญาขาดปริยัติไม่ได้ ไม่ใช่จะไปปฏิบัติเลย
ปัญญาต้องมาจากปริยัติธรรม - บ้านธัมมะ
การศึกษาปริยัติเกื้อกูลการปฏิบัติอย่างไร - บ้านธัมมะ
ขออนุโมทนา
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
-ต้องได้ฟังได้ศึกษาพระธรรม จริงๆ จึงจะมีความเข้าใจถูกเห็นถูกได้ แม้ผู้ที่สะสมเหตุที่ดีมาแล้ว ปัญญาจะเจริญขึ้นได้ ก็ต้องได้ฟังได้ศึกษาต่อไปอีก ไม่สามารถคิดธรรมเอาเองได้ และที่สำคัญที่ กล่าวว่าพระไตรปิฎก ก็คือพระธรรมคำสอนที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง ทุกคำในพระไตรปิฎก ก็คือขณะนี้ที่แสดงให้เข้าใจสิ่งที่มีจริงๆ ในขณะนี้ตามความเป็นจริง ดังนั้น เป็นไปไม่ได้ที่ความเข้าใจถูกจะเกิดขึ้น โดยไม่ได้ฟังไม่ได้ศึกษาพระธรรมตามที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง
-ถ้าไม่ศึกษาพระวินัยให้เข้าใจถูกต้องจริงๆ ย่อมทำให้ผิดพระวินัยข้อต่างๆ มีโทษกับตนเองโดยส่วนเดียว และที่สำคัญ พระวินัยแต่ละข้อแต่ละสิกขาบท พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงบัญญัติด้วยพระองค์เอง พระสาวกท่านอื่นๆ ไม่สามารถบัญญัติได้ และ แต่ละข้อก็ล้วนแล้วแต่เป็นไปเพื่อการขัดเกลากิเลส เหมาะควรแก่เพศบรรพชิตอย่างแท้จริง ผู้ที่มีความจริงใจที่จะศึกษาพระธรรมอบรมเจริญปัญญาในเพศบรรพชิตด้วยความจริงใจ จะไม่มีความเดือดร้อนเลยเพราะเป็นไปเพื่อขัดเกลา และที่คัญ พระวินัย ใครๆ ก็เปลี่ยนไม่ได้ ผู้คิดที่จะเปลี่ยนแปลงพระธรรมวินัยคือ ผู้ไม่มีความจริงใจที่จะขัดเกลากิเลสของตนเอง เป็นอันตรายอย่างยิ่ง
-ต้องตั้งต้นที่เริ่มฟังเริ่มศึกษาพระธรรมให้เข้าใจ เพราะคำพูดที่ไม่ได้ทำให้เข้าใจความจริงของสภาพธรรมที่มีจริงๆ นั่นไม่ใช่คำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่เป็นคำของคนอื่น ไม่ควรที่จะใส่ใจ แต่ควรที่จะได้มีการฟังพระธรรมศึกษาพระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง ด้วยความละเอีดยรอบคอบ เพราะเป็นหนทางเดียวที่จะทำให้มีความเข้าใจถูกต้อง เกื้อกูลต่อการปฏิบัติที่ถูกต้องด้วย ไม่ให้ตกไปในฝ่ายผิด และความเข้าใจของเรา ยังสามารถเกื้อกูลให้ผู้อื่นได้เข้าใจอย่างถูกต้อง ตามไปด้วย ครับ
...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...
ต้องศึกษา ปริยัติ จึงถึงปฏิบัติและเข้าถึงปฏิเวธ ค่ะ
ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ
อนุโมทนา