"ดูกรทีนขะ
มนุษย์เรานี้เมื่อมีความสุขก็จะลืมความทุกข์ไปเสียสิ้น
และเมื่อได้รับความทุกข์ก็มักมองมิเห็นสุขใดๆ คนส่วนมากเมื่อทุกข์ก็คิดว่าตัวเองต้องทุกข์ไปตลอด
หรือเมื่อสุขก็คิดว่าความสุขนั้นต้องเป็นนิรันดร์หารู้ไม่ว่าทั้งสุขและทุกข์นั้นมิใช่ของจริง
เหมือนดั่งเห็นเงาจันทร์ในขันน้ำ
เงานั้นมิใช่ดวจันทร์ที่แท้จริงสุขและทุกข์เป็นของไม่เที่ยง เมื่อเห็นดังนั้นแล้วผู้มีสติย่อมเบื่อหน่ายทั้งสุขและทุกข์
ย่อมหลุดพ้นจากความยึดมั่นถือมั่น....."
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
จากข้อความที่กล่าวมานั้น ไม่มีในพระไตรปิฎก ครับ
ซึ่ง ทีฆนขปริพาชก เป็นหลานชายของท่านพระสารีบุตร ในวันมาฆบูชา ณ เขาคิชฌกูฏ พระสารีบุตร ถวายงานพัด อยู่ที่ถ้ำสูกรขาตา ให้กับพระพุทธเจ้า หลานชายของท่าน คือ ทีฆนขะ มาทูลถามปัญหา พระพุทธเจ้าทรงแสดง พระสูตร ชื่อว่า เวทนาปริคคหสูตร หรือ ทีฆนขสูตร เนื้อหาว่าด้วย ความเห็นที่เป็นเหตุให้มีการทะเลาะวิวาท และ เรื่อง เวทนา ความรู้สึก ๓ ประการ
พระสารีบุตร ขณะที่ถวายงานพัดอยู่ ฟังพระสูตรนี้จบ บรรลุเป็นพระอรหันต์ ส่วน หลานชาย ทีฆนขะ บรรลุเป็นพระโสดาบัน แต่ไม่มีข้อความที่แสดงถึง ความรู้สึก สุข ทุกข์ หรือ การเห็นเงาของพระจันทร์เลย ครับ
ขออนุโมทนา ครับ
อนุโมทนาด้วยนะครับ ที่ทำให้กระจ่างแจ้ง
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
พระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง แสดงถึงสิ่งที่มีจริงทุกอย่าง ไม่ว่าจะทรงแสดงโดยนัยใด เรื่องอะไร ก็ไม่พ้นไปจาก ให้เข้าใจถึงสิ่งที่มีจริง ตามความเป็นจริง แม้แต่พระธรรมเทศนาที่ทรงแสดงแก่ทีฆนขปริพาชก แสดงถึงสภาพธรรมที่มีจริง โดยเฉพาะในส่วนของเวทนา เป็นประโยชน์แก่ผู้ที่มีโอกาสได้ฟังเป็นอย่างยิ่ง ซึ่งทำให้ได้เข้าใจสิ่งที่มีจริงตามความเป็นจริง ได้รับประโยชน์จากพระธรรมที่ได้ยินได้ฟัง ตามกำลังปัญญาของตนเอง ครับ
...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...
ในพระไตรปิฎกมีแสดงไว้ว่า
ธรรมจักษุปราศจากธุลี ปราศจากมลทิน ได้เกิดขึ้นแล้วแก่ทีฆนขปริพาชก ว่า สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งนั้นทั้งหมดมีความดับไปเป็นธรรมดา. ฯลฯ ค่ะ