ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
พระเจ้ามิลินท์ ตรัสถามว่า ดูก่อน พระนาคเสนคำที่พระคุณเจ้าว่า ผู้ที่กระทำบาปกรรมเรื่อยมา แม้ตั้ง ๑๐๐ ปี แต่ถ้าขณะก่อนตายเกิดสติ ระลึกถึงคุณของพระพุทธเจ้าได้ ก็ย่อมไปสู่สุคติ ส่วนผู้ที่ก่อนตาย เผลอระลึกถึงบาปที่ตนได้กระทำแล้วในอดีต แม้เพียงครั้งเดียวในชีวิต ก็ย่อมไปเกิดในนรกได้นั้น ดูไม่สมเหตุสมผล ข้าพเจ้าไม่เห็นด้วย
พระนาคเสน ทูลตอบว่าขอถวายพระพร ศิลา แม้ก้อนเล็ก โดยลำพังแล้ว จะลอยน้ำได้หรือไม่
ม. ไม่ได้
น. ถ้าหากศิลา ๑๐๐ เล่มเกวียน แต่อยู่ในเรือ ศิลานั้น จะลอยน้ำได้หรือไม่
ม. ย่อมได้สิ
น. ขอถวายพระพร เปรียบ "บุญกุศล" เสมือน "เรือ" เปรียบ "บาปกรรม" เสมือน "ศิลา" บุคคลผู้กระทำบาปอยู่เสมอมาตลอดชีวิต เมื่อใกล้ตาย มิได้มี "ปัจจัย" ให้จิตระลึกถึงบาปกรรม ที่ตนได้กระทำแล้ว แต่ มี "ปัจจัย" ให้จิตระลึกถึงกุศลธรรม อย่างใดอย่างหนึ่ง เช่น จิต แน่วแน่อยู่ในการระลึกถึงพระพุทธคุณ เป็นต้น ถ้าบุคคลนั้น ตายลงในขณะจิตที่เป็นกุศลนั้น ก็เป็นอันหวังสุคติได้ เปรียบเหมือน ศิลา ซึ่งมี เรือ ทานน้ำหนักไว้ มิให้จม
ส่วนบุคคลผู้กระทำบาป ที่สุด แม้เพียงครั้งเดียวในชาตินั้น เมื่อใกล้ตาย เพียงแต่จิตหวนระลึกถึงบาปกรรมที่ตนได้กระทำแล้วในอดีต แม้เพียงครั้งเดียวนั้น ถ้าบุคคลนั้นตายลงในขณะจิตที่เป็นอกุศลนั้น ก็หนักพอที่จะถ่วงให้ไปเกิดในนรกได้ เปรียบเหมือน ศิลา ที่โยนลงน้ำแม้ก้อนเล็ก ก็ต้องจมลงเช่นเดียวกัน
ม. ฟังสมเหตุสมผล
(วัสสปัญหา) ข้อความบางตอนจาก มิลินทปัญหา : ปัญญาพระนาคเสน
ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ
ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ
เรียนถามค่ะ
อะไรเป็นเหตุให้บุคคล ผู้กระทำบาปแม้เพียงครั้งเดียวในชาตินั้นๆ เมื่อใกล้ตายกลับหวนคิดถึงบาปนั้น
ขอบพระคุณค่ะ
ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
ขออนุญาตสนทนากับคุณวิริยะความคิดเห็นที่ ๓ ครับ
ขณะนี้เราหวนคิดถึงการกระทำอย่างใดอย่างหนึ่งอยู่หรือไม่ครับ อะไรเป็นเหตุให้เราคิดถึงเรื่องเหล่านั้น และหากความตายมาถึงในขณะนี้ ความคิดอันนี้จะนำเราไปสู่สุขติภูมิหรือทุขติภูมิ ผมคิดว่าหากเราเข้าใจชีวิตในขณะนี้ ก็จะช่วยให้เข้าใจขณะก่อนที่ความตายจะมาถึงได้ (ซึ่งไม่มีใครรู้ว่าจะเป็นเมื่อไร)
ผมเข้าใจว่า การคิดถึงสิ่งใด คิดมากหรือน้อยเพียงใด ขึ้นอยู่กับการได้สะสมเหตุที่จะทำให้คิดอย่างนั้นมาแล้ว ผู้ที่สะสมกุศลเหตุไว้มาก ก็มีโอกาสที่จะระลึกถึงกุศลกรรมได้มาก ในทางตรงกันข้าม ผู้ที่สะสมอกุศลเหตุไว้มากก็มีโอกาสที่จะระลึกถึงอกุศลกรรมได้มาก แต่อย่างไรก็ดี ธรรมทั้งหลายเป็นอนัตตา ซึ่งเป็นไปตามเหตุปัจจัย ในบางกรณีที่แม้ทำดีไว้มาก แต่ได้เคยทำกรรมหนัก หรือเคยทำอนันตริยกรรม กรรมเหล่านั้น ย่อมเป็นปัจจัยที่มีกำลัง ทำให้จิตก่อนตายระลึกเป็นไปในอกุศลกรรมนั้นได้ แม้เคยทำเพียงครั้งเดียว และผมเข้าใจว่าหากผู้ใดทำกรรมหนัก หรือทำอนันตริยกรรม แม้เพียงครั้งเดียว ก่อนจะตาย ก็มักหวนคิดถึงกรรมนั้นบ่อยๆ อยู่แล้วครับ
อะไรเป็นเหตุให้เราคิดถึงเรื่องเหล่านั้น และหากความตายมาถึงในขณะนี้ ความคิดอันนี้จะนำเราไปสู่สุขติภูมิหรือทุขติภูมิ ผมคิดว่าหากเราเข้าใจชีวิตในขณะนี้ ก็จะช่วยให้เข้าใจขณะก่อนที่ความตายจะมาถึงได้ (ซึ่งไม่มีใครรู้ว่าจะเป็นเมื่อไร)
ขออนุโมทนาค่ะ
ขออนุญาตเรียนเสริมความเห็นที่ ๕
แม้ความตายของปุถุชนมีคติไม่แน่นอน แต่มีข้อยกเว้น ซึ่งศึกษารายละเอียดได้จากกระทู้นี้ค่ะ...
อนันตริยกรรม
เรียน ความเห็นที่ 5
เมื่ออ่านข้อความตามกระทู้เกี่ยวกับเรื่องของการให้ผลของบุญและบาปแล้ว ความคิดแรกที่มีคือ รู้สึกว่าไม่ยุติธรรมแลย ดิฉันนึกถึงคนที่ทำดี หรือพยายามทำดีมาตลอด เค้าจะรู้สึกอย่างไร ตัวดิฉันเองเมื่อตอนเด็กๆ อาจมีบ้างที่ทำปาณาติบาต พอหวนคิดถึงทีไรก็ไม่สบายใจ และตัวเองก็หาคำตอบไม่ได้ว่า ทำไมอยู่ดีๆ จึงนึกถึงเรื่องนั้นขึ้นมา โดยเฉพาะอย่างยิ่ง มานึกถึง หลังจากที่หันมาสนใจศึกษาพระธรรม
ดิฉันเข้าใจว่า ดิฉันควรจะให้ความใส่ใจกับช่วงเวลาในขณะนี้มากกว่า แต่ในเมื่อจิตเค้าจะนึกถึงอดีตที่ทำผิดมาบ้าง บางครั้งก็ยังอดที่จะหวั่นไหวไม่ได้ พูดง่ายๆ คือ กลัวบาป กลัวกรรมน่ะค่ะ กลัวว่าตอนตายจะคิดเรื่องที่ไม่ดี
ดิฉันขอขอบคุณ คุณ K ที่ได้กรุณาร่วมสนทนา ดิฉันเองยังต้องพึงพาอาศัย ผู้รู้ในเว็บไซค์แห่งนี้ และยินดีมากที่จะรับฟังความคิดเห็นและคำแนะนำของทุกๆ ท่าน
ขออนุโมทนาในกุศลจิตค่ะ
โดยส่วนตัวแล้ว แม้ได้มีโอกาสศึกษาพระธรรมแล้ว ข้าพเจ้าก็ยังหวั่นไหวและกลัวอบายภูมิอยู่เลยเพราะ บาปที่กระทำแล้วไม่ได้มีในชาตินี้เท่านั้น แต่บาปในอดีตชาติ ในสังสารวัฏฏ์ก็ยังมี ไม่ได้สูญหายไปไหนและสามารถที่จะให้ผลได้เสมอ เมื่อมีเหตุปัจจัยที่ถึงพร้อมซึ่งไม่มีใครที่มีอำนาจเหนือเหตุปัจจัยเสียด้วย
จากการศึกษาพระธรรม ท่านสอนว่า ตราบใดที่ยังไม่บรรลุคุณธรรม เป็นพระโสดาบัน ทุคติเป็นอันหวังได้
แต่ การศึกษาพระธรรม สะสม อบรมเจริญปัญญา และความไม่ประมาทในการกระทำกุศลทุกประการ และ ละคลายอกุศลทุกประการเท่าที่จะกระทำได้ นั้น เป็นที่พึ่ง เป็นสรณะที่แท้จริงซึ่งบุญก็สะสมได้ เช่นเดียวกับบาป และ ไม่สูญหายไปไหน แม้จะต้องเกิดอีกกี่ภพกี่ชาติก็ตาม
ขออนุโมทนาค่ะ
ขออนุโมทนาทุกท่านค่ะ
ดิฉันก็ได้กระทำอกุศลกรรมหลายอย่าง และคิดว่าเป็นเรื่องเล็กน้อย สมัยก่อนที่จะศึกษาธรรม ดิฉันไม่คิดว่าอกุศลกรรมเหล่านั้นจะมีนรกรออยู่ข้างหน้า คิดไปเอง ว่าเป็นเรื่องเล็กๆ น้อยๆ คงให้ผลในปวัติกาลในภพมนุษย์
พอมาได้ศึกษาธรรมะ ได้อ่านพระไตรปิฎก ก็เข้าใจว่า ดิฉันคิดผิดเห็นผิดมาตลอด มีภพมากมายในอบายภูมิที่ไว้รองรับการให้ผลของอกุศลกรรมแม้จะเล็กๆ น้อยๆ ถึงอย่างไรก็ตาม แม้ชาติหน้าจะต้องไปเกิดในภพเหล่านั้น อย่างน้อยชาตินี้ได้พบพระธรรมแล้ว ขณะที่สำคัญที่สุดที่ต้องใส่ใจคือ ขณะนี้ เป็นขณะที่ได้ฟังธรรม ระลึกศึกษาธรรม ที่กำลังปรากฏ ตามความเป็นจริง ขณะที่ล่วงไปแล้วกลับไปแก้ไขไม่ได้ ยืดอกรับผลที่ตนกระทำอย่างแกล้วกล้า ไม่ให้เป็นอกุศลวิตกใน ขณะนี้
ขออนุโมทนาครับ
"เมื่ออ่านข้อความตามกระทู้เกี่ยวกับเรื่องของการให้ผลของบุญและบาปแล้ว ความคิดแรกที่มีคือ รู้สึกว่าไม่ยุติธรรมแลย ดิฉันนึกถึงคนที่ทำดี หรือพยายามทำดีมาตลอด เค้าจะรู้สึกอย่างไร"
ธรรมะเป็นเรื่องละเอียดและลึกซึ้ง หากไม่ได้ศึกษาให้เข้าใจจริงๆ ก็จะเกิดความคิด ดังเช่นประโยคข้างต้นนี้ได้ครับ คนที่ทำดีหรือพยายามทำดีมาตลอด (เป็นตัวเราที่ทำดี แต่ไม่ได้ศึกษาพระธรรมให้เข้าใจ ก็จะเป็นการทำดีด้วยตัวตน ไม่มีความเห็นถูกว่าขณะนั้นเป็นกุศลจิต ซึ่งเป็นสภาพธรรมไม่ใช่เรา เกิดขึ้นทำกิจ) ด้วยความหวัง (โลภะ) เช่น ได้เกิดสวรรค์ หรือเกิดเป็นผู้มั่งมีศรีสุข เป็นต้น ก็เป็นการเกิดกุศลด้วยอกุศลจิต ซึ่งตามความเข้าใจของกระผม ว่าจะเป็นกุศลที่แม้เกิดขึ้นแล้ว แต่ก็มีกำลังน้อยที่จะเป็นเหตุปัจจัยให้กุศลเกิดขึ้นอีก และอย่างไรก็ตามก็เป็นกุศลในสังสารวัฏฏ์ ไม่สามารถหลุดพ้นการเวียนว่ายตายเกิดได้ จึงควรศึกษาพระธรรมให้เข้าใจ กุศลที่ประกอบด้วยปัญญาจึงจะเจริญขึ้นได้ ครับ
ขออนุโมทนา
ขออนุโมทนาครับ