[เล่มที่ 48] พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย วิมานวัตถุ เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้า 492
๒. ปุริสวิมานวัตถุ
มหารถวรรคที่ ๕
๑๒. ตติยนาควิมาน
ว่าด้วยตติยนาควิมาน
อ่านหัวข้ออื่นๆ ... [เล่มที่ 48]
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย วิมานวัตถุ เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้า 492
๑๒. ตติยนาควิมาน
ว่าด้วยตติยนาควิมาน
บุรุษผู้เป็นบัณฑิตถามเทพบุตรองค์หนึ่งว่า
[๖๒] ใครหนอมีช้างเผือกปลอดเป็นยานทิพย์ มีดนตรีประโคมกึกก้อง เขาฉลองกันอยู่ในอากาศ ท่านเป็นเทวดาหรือคนธรรพ์ หรือเป็นท้าวสักกะผู้ให้ทานในกาลก่อน พวกเราไม่รู้ ขอถามท่าน พวกเราจะรู้จักท่านได้อย่างไร.
เทพบุตรกล่าวว่า
เราไม่ใช่เทวดา ไม่ใช่คนธรรพ์ ไม่ใช่ท้าวสักกะผู้ให้ทานในกาลก่อน ข้าพเจ้าเป็นเทพองค์หนึ่ง ในบรรดาเหล่าเทพที่ชื่อสุธัมมา.
บุรุษผู้เป็นบัณฑิตถามว่า
เราทั้งหลายกระทำอัญชลีกรรมอย่างใหญ่ ขอถามเทพพวกสุธัมมา คนทำกรรมอะไรในมนุษยโลก จึงจะเข้าถึงเทพพวกสุธัมมา.
เทพบุตรกล่าวว่า
ผู้ใดถวายอาคารอ้อย อาคารหญ้า และอาคาร
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย วิมานวัตถุ เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้า 493
ผ้า หรือถวายอย่างใดอย่างหนึ่งในสามอย่างนั้น ผู้นั้นย่อมเข้าถึงเทพพวกสุธัมมา.
จบตติยนาควิมาน
อรรถกถาตติยานาควิมาน
ตติยนาควิมาน มีคาถาว่า โก นุ ทิพฺเพน ยาเนน เป็นต้น. ตติยนาควิมานเกิดขึ้นอย่างไร?
พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ ณ พระวิหารเวฬุวัน กรุงราชคฤห์ สมัยนั้น พระเถระขีณาสพ ๓ องค์ เข้าจำพรรษาในอาวาสใกล้หมู่บ้าน ครั้นออกพรรษาปวารณาแล้ว พระเถระเหล่านั้นประสงค์จักถวายบังคม พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงเดินทางมุ่งกรุงราชคฤห์ ในระหว่างทาง ถึงที่ใกล้ไร่อ้อยของพราหมณ์มิจฉาทิฏฐิในหมู่บ้านแห่งหนึ่งในเวลาเย็น ถามคนเฝ้าอ้อยว่า พ่อคุณ วันนี้อาจถึงกรุงราชคฤห์ไหม คนเฝ้าอ้อยกล่าวว่า ไม่อาจดอก ขอรับ กรุงราชคฤห์อยู่ห่างจากที่นี้กึ่งโยชน์ นิมนต์ ท่านทั้งหลายอยู่ในที่นี้แหละ พรุ่งนี้ค่อยไป พระเถระถามว่า พ่อคุณ ที่นี้มีอะไรๆ ที่พอจะทำเป็นที่อยู่ได้บ้างเล่า. ไม่มี ขอรับ แต่กระผมจักจัดที่อยู่ถวายพวกท่าน พระเถระทั้งสามรับนิมนต์.
คนเฝ้าอ้อยนั้นผูกท่อนไม้เป็นมณฑปกิ่งไม้ ในไร่อ้อยที่ยืนต้นอยู่อย่างเดิมนั่นแหละ ใช้ใบอ้อยมุงข้างบน ลาดฟางข้างล่าง ถวายแด่พระเถระองค์หนึ่ง เอาอ้อยสามลำผูกเป็นสังเขปว่าไม้สามเส้า แล้วมุงด้วยหญ้า
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย วิมานวัตถุ เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้า 494
ลาดพื้นด้วยหญ้า ถวายแด่พระเถระองค์ที่สอง นำไม้สองสามท่อนในกระท่อมของตนและกิ่งไม้ทั้งหลายแล้วคลุมด้วยจีวร ทำกลดถวายแด่พระเถระอีกองค์หนึ่ง พระเถระเหล่านั้นอยู่ในที่นั้น.
พอราตรีสว่าง ได้เวลาเขาหุงข้าว ถวายไม้สีฟันและน้ำล้างหน้า แล้วถวายภัตตาหารกับน้ำอ้อย เมื่อพระเถระเหล่านั้นฉันแล้วอนุโมทนาแล้ว กำลังจะไป เขาได้ถวายอ้อยองค์ละลำ ด้วยกล่าวว่า จักเป็นส่วนของกระผม เขาไปส่งพระเถระสิ้นระยะทางหน่อยหนึ่งแล้วก็กลับ เสวยปีติโสมนัสอย่างโอฬาร ปรารภการช่วยขวนขวายและทานของตนกลับบ้าน.
ฝ่ายเจ้าของไร่เดินมาสวนทางกับภิกษุที่กำลังเดินไป ถามภิกษุ ทั้งหลายว่า ได้อ้อยมาแต่ไหน ภิกษุทั้งหลายตอบว่า คนเฝ้าอ้อยถวาย พราหมณ์ได้ฟังดังนั้นก็โกรธ ไม่พอใจ ฮึดฮัดอยู่ ถูกความโกรธครอบงำ วิ่งตามไปข้างหลังคนเฝ้าอ้อย เอาไม้ค้อนตีเขา ปลงชีพเขาด้วยการตีทีเดียวเท่านั้น คนเฝ้าอ้อยระลึกถึงบุญกรรมที่ตนทำไว้นั่นแหละ ตายไปบังเกิดในสุธัมมาเทวสภา ช้างพลายทิพย์ตัวประเสริฐ ใหญ่ เผือกปลอด บังเกิดด้วยบุญญานุภาพของเขา.
บิดามารดาและญาติมิตรของเขาได้ข่าวตายของคนเฝ้าอ้อยแล้ว น้ำตาอาบหน้าร้องไห้พากันไปยังที่นั้น และชาวบ้านทั้งหมดได้ประชุมกัน บิดามารดาของเขาปรารภจะการทำฌาปนกิจตรงที่นั้น ในขณะนั้นเทพบุตรนั้นขี่ช้างทิพย์ตัวนั้น แวดล้อมไปด้วยเทพผู้ชำนาญฉิ่งทั้งหมด มีดนตรีเครื่อง ๕ บรรเลงอยู่ มาจากเทวโลกด้วยบริวารเป็นอันมาก ด้วยเทพฤทธิ์ยิ่งใหญ่ ลอยอยู่ในอากาศปรากฏกายให้ที่ประชุมนั้นเห็น ครั้งนั้นบุรุษผู้
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย วิมานวัตถุ เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้า 495
เป็นบัณฑิตในที่นั้น ได้ถามเทพบุตรนั้นถึงบุญกรรมที่เขาทำไว้ ด้วยคาถาเหล่านี้
ใครหนอมีช้างเผือกปลอดเป็นยานทิพย์ มีดนตรีประโคมกึกก้อง เขาฉลองกันอยู่ในอากาศ ท่านเป็นเทวดาหรือคนธรรพ์ หรือเป็นท้าวสักกะผู้ให้ทานในกาลก่อน พวกเราไม่รู้ ขอถามท่าน พวกเราจะรู้จักท่านได้อย่างไร.
เทพบุตรแม้นั้นได้พยากรณ์ความนั้นแก่เขา ด้วยคาถาเหล่านี้ว่า
เราไม่ใช่เทวดา ไม่ใช่คนธรรพ์ ไม่ใช่ท้าวสักกะผู้ให้ทานในกาลก่อน ข้าพเจ้าเป็นเทพองค์หนึ่งในบรรดาเหล่าเทพที่ชื่อสุธัมมา.
คนเป็นบัณฑิตถามแม้อีกว่า
เราทั้งหลายกระทำอัญชลีอย่างใหญ่ ขอถามเทพพวกสุธัมมา คนทำกรรมอะไรในมนุษยโลก จึงจะเข้าถึงเทพพวกสุธัมมา.
เทพบุตรได้พยากรณ์อีกว่า
ผู้ใดถวายอาคารอ้อย อาคารหญ้า และอาคารผ้า หรือถวายอย่างใดอย่างหนึ่งในสามอย่างนั้น ผู้นั้นย่อมเข้าถึงเทพพวกสุธมมา.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย วิมานวัตถุ เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้า 496
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ตุริยตาฬิตนิคฺโฆโส ได้แก่ กึกก้องด้วยทิพยดนตรีเครื่อง ๕ ที่ประโคมแล้ว คือเสียงทิพยดนตรีที่บรรเลงสำหรับตน. บทว่า อนฺตลิกฺเข มหิยฺยติ ความว่า ลอยอยู่ในอากาศ มีบริวารมากที่อยู่ในอากาศนั่นแหละบูชาอยู่.
บทว่า เทวตานุสิ แปลว่า เป็นเทวดาหนอ ความว่า ท่านเป็นเทวดาหรือหนอ. บทว่า คนฺธพฺโพ ความว่า เป็นเทพเป็นไปในพวกคนธรรพ์เทพนักดนตรี. บทว่า อาทู สกฺโก ปุรินฺทโท ความว่า หรือว่าเป็นท้าวสักกะ ที่ปรากฏว่า ปุรินททะ เพราะอรรถว่า ให้ทานในกาลก่อน อธิบายว่า หรือว่าเป็นท้าวสักกเทวราช อนึ่ง เมื่อความที่ ท้าวสักกะและคนธรรพ์ทั้งหลายเป็นเทวะแม้มีอยู่ ก็พึงทราบเทวศัพท์ในที่นี้ว่า กล่าวถึงเทวะอื่นจากนั้น โดยโคพลิพัททนัย [นัยอย่างสูง] เพราะเทวะเหล่านั้นท่านกำหนดไว้แผนกหนึ่ง.
ครั้งนั้น เทพบุตรคิดว่า ธรรมดาคำตอบจำต้องเข้ากันได้กับคำถาม เมื่อปฏิเสธความที่ตนเป็นเทวดา คนธรรพ์หรือท้าวสักกะ ที่พวกเขาถามแล้ว จึงกล่าวว่า ข้าพเจ้าไม่ใช่เทวดา ไม่ใช่คนธรรพ์ ไม่ใช่ท้าวสักกะผู้ให้ทานในก่อน ข้าพเจ้าเป็นเทวดาองค์หนึ่งในบรรดาเทวดาที่ชื่อสุธัมมา [ประจำสุธัมมาเทวสภา].
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า นามฺหิ เทโว ความว่า ข้าพเจ้าไม่ใช่เทวดา ไม่ใช่คนธรรพ์ ไม่ใช่ท้าวสักกะองค์ใดองค์หนึ่งที่ท่านสงสัย ข้าพเจ้าเป็นเทวดาองค์หนึ่งในบรรดาเทวดาที่ชื่อสุธัมมา คือเป็นเทพหมู่หนึ่งของทวยเทพชั้นดาวดึงส์ ชื่อว่าเทวดาสุธัมมา โดยแท้แล อาจารย์บางพวกกล่าวว่า ได้ยินว่า คนเฝ้าอ้อยนั้นได้ฟังสมบัติของเทวดาเหล่านั้น
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย วิมานวัตถุ เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้า 497
มาแล้ว จึงตั้งจิตมั่นอยู่ในสมบัติเหล่านั้นก่อน.
บทว่า ปุถุํ แปลว่า ใหญ่ อธิบายว่า ทำให้บริบูรณ์ ก็คำนี้ ท่านกล่าวเพื่อแสดงกิริยาเคารพ.
เทพบุตรถูกถามถึงหมู่เทพสุธัมมา เมื่อบอกบุญที่ตนทำไว้ โดยกำหนดสมบัติเท่าที่เห็นเท่านั้น เหมือนบอกนิมิตกิ้งก่า จึงกล่าวคาถาว่า อุจฺฉาคารํ เป็นต้น. บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ติณฺณมญฺตรํ ทตฺวา ความว่า เทพบุตรกล่าวอย่างนี้ โดยถือเอานัยว่า แม้ถ้าข้าพเจ้าถวายอาคารสามหลังไซร้ ก็จะสำเร็จเนื้อความนี้ว่า หลังใดหลังหนึ่งในสามหลัง คำที่เหลือเข้าใจง่ายทั้งนั้น.
เทพบุตรนั้นตอบเนื้อความที่บุรุษบัณฑิตนั้นถามอย่างนี้แล้ว เมื่อประกาศคุณพระรัตนตรัย ชื่นชมกับบิดามารดาแล้ว ก็กลับไปยังเทวโลก มนุษย์ทั้งหลายฟังคำของเทพบุตรแล้ว เกิดความเลื่อมใสเป็นอันมากในพระผู้มีพระภาคเจ้าและภิกษุสงฆ์ ตระเตรียมเครื่องอุปกรณ์ให้ทานมากมาย บรรทุกเต็มหลายเล่มเกวียนพากันไปพระวิหารเวฬุวัน ถวายมหาทานแด่ภิกษุสงฆ์ มีพระพุทธเจ้าเป็นประมุข กราบทูลเรื่องที่เป็นไปนั้นถวายพระศาสดา พระศาสดาตรัสเรื่องนั้นเป็นคำถามและคำตอบเหมือนอย่างนั้นนั่นแหละ ทรงทำข้อความนั้นให้เป็นอัตถุปปัตติเหตุเกิดเรื่อง ทรงแสดงธรรมโดยพิสดาร ให้มนุษย์เหล่านั้นตั้งอยู่ในสรณะและศีลทั้งหลาย คนเหล่านั้นมีศรัทธาตั้งมั่น ถวายบังคมพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้วกลับไปบ้านของตนแล้ว ช่วยกันสร้างวิหาร ตรงที่ที่คนเฝ้าอ้อยตายแล.
จบอรรถกถาตติยนาควิมาน