การศึกษาเรื่องชาติของจิต เพื่อให้รู้ว่า “ไม่มีเรา”
โดย ใหญ่ราชบุรี  11 มิ.ย. 2557
หัวข้อหมายเลข 24971

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

ซึ่งเป็นผู้ไกลจากกิเลส ตรัสรู้ชอบได้โดยพระองค์เอง

กราบเท้าบูชาพระคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ด้วยความเคารพยิ่ง

ขอขอบพระคุณและขออนุโมทนาสำหรับกุศลทุกประการของทุกๆ ท่านค่ะ

ด้วยความเคารพ จาก ธิดารัตน์ เดื่อมขันมณี (ใหญ่ราชบุรี)

ถอดคำบรรยายธรรม

การศึกษาเรื่องชาติของจิตเพื่อให้รู้ว่าไม่มีเรา

ไม่ยึดถือสภาพธัมมะว่าเป็นเรา ในขั้นฟัง แต่จะต้อง “อบรมเจริญปัญญา” จนกว่าจะ ประจักษ์ ลักษณะนั้นจริงๆ เช่น “เหตุ” เป็นอะไร ทบทวน “เป็นปรมัตถธรรมอะไร” ก็ต้องเป็น “เจตสิก ๖” (โลภะ โทสะ โมหะ อโลภะ อโทสะ อโมหะ) เราจะเห็นได้เลย ว่า “ขณะนี้เอง” มีจิตทั้งที่ไม่ประกอบด้วยเหตุเลย และ และมีจิตที่ประกอบด้วยเหตุ เกิดสืบต่อกันอย่างเร็ว จนกระทั่งถ้าพระผู้มีพระภาคไม่ทรงแสดง ไม่มีใครสามารถที่จะรู้ได้ว่า ขณะที่กำลังเห็น ขณะนี้ ขณะที่ไม่ใช่ภวังคจิต วิถีจิตแรก ไม่มี ”เหตุ” เกิดร่วมด้วยเลย ปัญจทวาราวัชชนจิต ดับไปแล้ว ทางตา จักขุวิญาณจิตเกิด มีเหตุเกิดร่วมด้วยไหม "ไม่มี"

นี่คือ สิ่งที่เราจะต้องเข้าใจ แต่ไม่ใช่ไปจำ เมื่อจักขุวิญญาณดับ สัมปฏิจฉันนะเกิด มีเหตุเกิดร่วมด้วยไหม “ไม่มี” เมื่อสัมปฏิจฉันนะดับ สันตีระณะเกิด มีเหตุเกิดร่วมด้วยไหม "ไม่มี" เพราะฉะนั้น ไม่ว่า ปัญจทวาราวัชชนจิต หรือว่า จักขุวิญญาณ สัมปฏิจฉันนะ จะเกิดเมื่อไหร่ ที่ไหน ภพไหน กับใคร ต้องเป็น “จิตที่ไม่มีเหตุเกิดร่วมด้วย” แล้วพอถึงเมื่อสันตีรณะ ดับแล้ว โวฏฐัพพนะเกิดขึ้น มีเหตุเกิดร่วมด้วยไหม "ไม่มี" แต่เปลี่ยนชาติ ใช่ไหม

ปัญจทวาราวัชชนจิต ขณะแรกเป็นชาติกิริยา ภวังค์ เป็นชาติวิบาก แล้วก็กิริยาจิต เกิดแล้วก็ดับ พอถึงสัมปฏิจฉันนะ สันตีรณะที่เกิดต่อ ก็ยังคงเป็นวิบากอยู่ เป็นผลของกรรมที่ทำให้ จิตต้องเกิดสืบต่อจากปัญจวิญญาณ พอถึงโวฏฐัพพนะ เปลี่ยนชาติอีกแล้ว ใช่ไหม เป็นกิริยา แล้วก็ดับไป “ไม่มีเหตุเกิดร่วมด้วย” ตั้งแต่ปัญจทวาราวัชชนะ จักขุวิญญาณ สัมปฏิจฉันนะ สันตีรณะ โวฏฐัพพนะ

แต่หลังจากนั้นแล้ว “มีเหตุเกิดร่วมด้วย” นี่แสดง ความรวดเร็ว ว่า จิตที่เราไม่เคยรู้เลย แล้วก็เคย “เป็นเรา” มาตลอด ทั้งๆ ที่ไม่รู้ ก็ "เป็นเรา" นี่ ด้วยความไม่รู้ จริงๆ แล้ว ผู้ที่ได้ทรงประจักษ์แจ้ง สภาพธัมมะ ก็ทรงแสดงโดยละเอียด เพื่อให้เราเห็น “ความเป็นอนัตตา” ว่า ไม่มีใครสามารถที่จะไปบังคับบัญชา ได้เลยสักขณะเดียว แม้แต่จะเปลี่ยนชาติของจิต ก็เปลื่ยนไม่ได้ จะให้มีเหตุเกิดร่วมด้วย ก็ไม่ได้

ถ้าจิตนั้นไม่มีปัจจัยที่เป็นเหตุเกิดร่วมด้วย อันนี้ เราก็จะเข้าใจว่า วันหนึ่งๆ เกิดมา ก็เป็นผล ตั้งแต่ปฏิสนธิ แล้วเวลาที่เกิดมาแล้วก็ยังมีผลของกรรม ที่ได้รับทาง ตา หู จมูก ลิ้น กาย หลังจากนั้นแล้ว กุศล หรือ อกุศล นี่เป็น สิ่งที่เราจะรู้จากตัวเราขึ้น ว่า ขณะไหนเป็นผลของกรรม แล้วก็ขณะไหนเป็นเหตุใหม่ ที่จะทำให้สะสม เป็นกรรม ที่จะทำให้ผลที่เป็นวิบากเกิดขึ้น

“ไม่มีเราเลย” สักขณะเดียว เพราะฉะนั้น การศึกษาเรื่องชาติ (ของจิต) ก็เพื่อให้เข้าใจว่า “ไม่มีเรา” แต่ว่าจิตชาติต่างๆ ก็เกิดสลับกัน จากวิบากเป็นภวังค์ ก็เป็นกิริยาจิตที่เป็นปัญจทวาราวัชชนะ แล้วก็เป็นวิบากที่เป็นจักขุวิญญาณ สัมปฏิจฉันนะ สันตีรณะ พอถึงโวฏฐัพพนะ ก็เป็นกิริยาอีกแล้วหลังจากนั้นก็เป็นกุศลและอกุศล ยับยั้งไม่ได้เลย นี่คือ “ชีวิต” ในสังสารวัฏฏ์ฎ์

เพราะฉะนั้น ทุกสิ่งทุกอย่าง ที่จะเกิดขึ้น ก็มีปัจจัยที่ทำให้เกิด แล้วเราก็เข้าใจว่า เป็นเรา เป็นเขา เป็นบุคคลต่างๆ แต่ความจริง ก็คือ “จิตประเภทต่างๆ ” นั่นเอง



ความคิดเห็น 1    โดย paderm  วันที่ 12 มิ.ย. 2557

ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ


ความคิดเห็น 2    โดย khampan.a  วันที่ 12 มิ.ย. 2557

ขอบพระคุณและขออนุโมทนาในกุศลวิริยะของคุณใหญ่ราชบุรี ด้วยนะครับ


ความคิดเห็น 3    โดย papon  วันที่ 12 มิ.ย. 2557

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ


ความคิดเห็น 4    โดย ประสาน  วันที่ 13 มิ.ย. 2557

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ


ความคิดเห็น 5    โดย nong  วันที่ 13 มิ.ย. 2557

ขออนุโมทนาค่ะ


ความคิดเห็น 6    โดย peem  วันที่ 15 มิ.ย. 2557

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ


ความคิดเห็น 7    โดย ผู้มาใหม่  วันที่ 16 มิ.ย. 2557

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ


ความคิดเห็น 8    โดย วันชัย๒๕๐๔  วันที่ 17 มิ.ย. 2557

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ


ความคิดเห็น 9    โดย chatchai.k  วันที่ 14 ก.พ. 2564

ขออนุโมทนาครับ