เมื่อได้ยินเสียงฝนตกหนักๆ ไม่รู้สึกหงุดหงิดรำคาญ แต่เมื่อมีงานรื่นเริงข้างบ้าน มีดนตรีเสียงดังๆ กับรู้สึกหงุดหงิดรำคาญ สภาพจิตที่ต่างกันเช่นนี้ เกิดได้เพราะอะไร
ขอขอบพระคุณ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ทุกอย่างเป็นไปตามเหตุปัจจัย เป็นธรรมและอนัตตา และที่สำคัญเป็นไปตามการสะสม บางคนสะสมมาที่จะเกิดโทสะในสภาพธรรมเช่นนี้ บางคนอาจะเกิดโลภะกับสภาพธรรมเช่นนี้ ซึ่งทั้งหมดก็เป็นไปตามการะสมแต่ละคน และที่สำคัญ สภาพธรรมที่เป็นจิต เป็นสภาพธรรมที่มีจริง ไม่ใช่เรา และจะรู้ความจริงของจิตได้ ก็ต่อเมื่อสติปัฏฐานเกิด ระลึกรู้ลักษณะของสภาพธรรมนั้น เพียงเห็นฝุ่นที่พื้น ไม่คิดเลยว่าจิตที่เกิดโทสะเกิดขึ้นแล้ว เพราะเล็กน้อย เบาบาง ในสภาพธรรมที่เป็นจิตที่เป็นโทสะที่ไม่มีกำลัง แต่ไม่รู้ตัว แต่จะสำคัญรู้ว่า โทสะมีมาก เมื่อเกิดโทมนัสเวทนาและโทสะที่มีกำลังมาก เช่น หงุดหงิด เป็นต้น เพราะฉะนั้น เสียงฝนตกดัง ไม่ได้หมายความว่า จะไม่เกิดอกุศลจิตที่เป็นโทสะ เพียงแต่มีกำลังน้อยก็ได้ ดังนั้น ปัญญาที่รู้ความแตกต่าง และรู้ว่าสภาพธรรมทีเ่กิดขึ้น เป็นอะไร ก็ต้องเป็นสติปัฏฐานที่ระลึกลักษณะของสภาพธรรม ไม่ใช่เพียงแค่คิดนึก และ การเกิดของสภาพธรรมแต่ละอย่าง ชอบไม่ชอบ ก็เป็นไปตามเหตุปัจจัย ตามการะสสมของจิตที่แตกต่างกันไป ที่หลากหลาย ขออนุโมทนาครับ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ปกติในชีวิตประจำวัน แต่ละบุคคล มีอกุศลมากด้วยกันทั้งนั้น ทั้งความติดข้อง ยินดีพอใจ ความโกรธ ความขุ่นเคืองใจ ไม่พอใจ หงุดหงิด เป็นต้น เป็นความจริงที่ว่า ขณะที่หงุดหงิด เป็นสภาพธรรมที่มีจริง เป็นอนัตตา ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใครทั้งสิ้น เป็นอกุศลธรรมประเภทที่มีโทสะเป็นมูล มีความไม่สบายใจเกิดขึ้นเป็นไปในขณะนั้น ตราบใดที่ยังไม่ได้รู้แจ้งอริยสัจจธรรมดับกิเลสถึงความเป็นพระอนาคามีบุคคล อกุศลธรรมประเภทนี้ ก็ยังมี เมื่อมีเหตุที่จะทำให้ความหงุดหงิดเกิดขึ้น ความหงุดหงิดก็เกิดขึ้นเป็นปกติธรรมดา สิ่งสำคัญคือ เข้าใจในความเป็นจริงว่าเป็นธรรมไม่ใช่เรา ซึ่งจะต้องอาศัยพระธรรมแต่ละคำที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง ซึ่ง ธรรม ไม่ได้พ้นจากชีวิตประจำวันเลย ครับ.
...อนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...
ขออนุโมทนาครับ