สัญญาขั้นฟังมั่นคงแล้วหรือยังว่า
ไม่มีเรา มีแต่ความประพฤติเป็นไปของขันธ์ จริงๆ
ยังไม่มั่นคงเลยครับ
แต่ว่า มีกัลยาณมิตรคอยเตือนให้ผมระลึกถึงเรื่องนี้อยู่บ่อยๆ
มิตรดีเป็นพรหมจรรย์ทั้งสิ้น
ขอพระสัทธรรม ทำให้ใจของท่านทั้งหลายเบิกบาน
อนุโมทนาค่ะ
ความมั่นคงแม้เพียงขั้นการฟัง
ก็ยังโอนเอนราวดอกไม้ไหว
ไม่มีเรา
จึงแค่เพียงท่องได้
เพราะยัง หลับ ฟัง
นานๆ ครั้ง ก็ ฟัง แบบหลับๆ ตื่นๆ
เมื่อไหร่ ตื่นขึ้นฟัง
เมื่อนั้นสัญญา (แม้ขั้นการฟัง) คงจะเริ่มมั่นคงว่า
ไม่มีเรา มีแต่ความประพฤติเป็นไปของขันธ์ จริงๆ
ยังคงต้องฟังพระธรรมไปเรื่อย พิจารณาให้เข้าใจจริงๆ ว่ามีแต่
ความประพฤติเป็นไปของขันธ์แต่ละขันธ์จริงๆ จนกว่า ...
สัญญาจะค่อยๆ จำว่าเป็นเพียงขันธ์แต่ละอย่างจริงๆ
ไม่มีเรา
จิรกาลภาวนา
ขออนุโมทนาค่ะ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ธรรมทั้งหลายทั้งปวง เป็นอนัตตา ไม่ใช่ตัวตน สัตว์ บุคคล ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใคร ชีวิตที่ดำเนินไปในแต่ละวัน (ในแต่ละภพในแต่ละชาติ) ตั้งแต่ตื่นนอนจนกระทั่งหลับไป ตั้งแต่เกิดจนกระทั่งถึงขณะที่จุติเกิดขึ้นทำกิจเคลื่อนจากความเป็นบุคคลนี้ นั้น เป็นความประพฤติเป็นไปของขันธ์ แต่ละขันธ์ จริงๆ (ขันธ์ หมายถึง ทรงไว้ซึ่งความว่างเปล่า คือ ว่างเปล่าจากความเป็นตัวตน ไม่มีเรา มีแต่ธรรม)
ถ้ายังไม่ได้ศึกษาก็ยังไม่รู้ไม่เข้าใจ แต่เมื่อได้ศึกษาแล้ว ก็จะมีความเข้าใจว่า ทุกขณะ เป็นความประพฤติเป็นไปของขันธ์ เพราะทุกขณะเป็นธรรม มีธรรมอยู่ตลอดเวลา ทั้งทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ ไม่พ้นหกทางนี้เลย
จึงต้องอดทนที่จะฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรมต่อไปอย่างไม่ท้อถอย เพื่อความเข้าใจถูกเห็นถูกในลักษณะสภาพธรรมตามความเป็นจริง ว่า เป็นเพียงสิ่งหนึ่งที่มีจริงและกำลังปรากฏ (ซึ่งเป็นความประพฤติเป็นไปของขันธ์)
...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ... ..
อนุโมทนาสาธุขอรับ
ผมเข้าใจว่า
ที่เป็นตัวตนของเรานั้นเป็นสมมติสัจจะ เช่นเดียวกับชื่อของเราก็เป็นชื่อสมมติ จะเปลี่ยนชื่อเมื่อไรก็ได้ แต่โดยปรมัตถสัจจะ ไม่ใช่ของเรา เพราะเราไม่มีอำนาจควบคุมให้ได้ดังใจเราที่ปรารถนา ทั้งสารพัดโรคที่เกิดขึ้น ความชรา และความตาย ความหมายนั้นอยู่ตรงนี้
พระโสดาบันขึ้นไปเท่านั้นที่จะมีสัญญาที่มั่นคง และไม่คลอนแคลนว่า "ทุกๆ ขณะไม่มีเรา มีแต่ความประพฤติเป็นไปของขันธ์จริงๆ "
สำหรับกัลยาณปุถุชน ยังต้องอบรมปัญญา และเจริญกุศลทุกประการเพื่อให้เกิดความเข้าใจมั่นคงในความเป็นธรรมะต่อไปด้วยความอาจหาญ ร่าเริง ไม่ย่อท้อ และไม่เหนื่อยหน่ายเพราะเริ่มที่จะรู้บ้าง (นิดๆ ) แล้วว่า ความประพฤติเป็นไปของขันธ์ทั้งหลายนั้น ไม่ใช่สิ่งที่ไกลตัว แต่มีในขณะที่สภาพธรรมะกำลังปรากฏเป็นปัจจุบันนี้นี่เอง (เพียงแต่อวิชชายังปิดบังไว้ และกิเลสตัณหาก็ยังฉาบทาหนาทึบมากไปหน่อย)
...ขออนุโมทนาครับ...
ไม่มีเราค่ะ ...
แต่สักกายทิฏฐิ ท่วมท้น ...
จึงเป็นไปได้ยากจริงๆ ที่จะเห็นว่าไม่มีเรา
นอกจากปัญญาเกิดขึ้นระลึก
ยากมากค่ะ ... ที่
ไม่มีเรา มีแต่ความประพฤติเป็นไปของขันธ์จริงๆ
จึงต้องอดทนที่จะฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรมต่อไปอย่างไม่ท้อถอย เพื่อความเข้าใจถูก เห็นถูก ในลักษณะสภาพธรรมตามความเป็นจริง
ขออนุโมทนาค่ะ
ประจักษ์ความไม่มีเรา เมื่อเป็นสติปัฏฐานมั่นคง ไม่เปลี่ยนแปลงว่าไม่มีเรา เมื่อเป็นพระโสดาบัน?
โดนใจกับวิธีพูดของท่านอาจารย์ของเรา (... ของเรา อีกแล้ว) ที่ว่า ถ้ากล่าวว่า เราหรือของเรา ก็เครียด ขอเปลี่ยนเป็นพูดว่า การทำงานของจิด จะหายเครียดไหมคะ หายเครียด และได้ใจมากเลยค่ะ
กราบแทบเท้าท่านอาจารย์เจ้าค่ะ
ไม่ใช่เรา ต้องประจักษ์สภาวะไม่ใช่เรา
พระสูตรที่เราศีกษาในวันเสาร์วันหนึ่ง เราศึกษาเรื่อง ความประพฤติเป็นไปของขันธ์
มีผู้ถามพระพุทธเจ้าถึงความแตกต่างของความประพฤติของพระอริยะและพระอรหันต์ พวกเราที่ศึกษาธรรมะก็มีความประพฤติเป็นไปของขันธ์ที่แตกต่างจากพระอริยะ การฟังธรรมแล้วเข้าใจอย่างเดียว จึงจะช่วยให้รู้จักความประพฤติเป็นไปของขันธ์และเทียบเท่าพระอริยะจนถึงพระอรหันต์ได้ ครับ
ก็ไม่เคยคิดมาก่อนว่า เราแท้ๆ แล้วจะไม่มีเราได้อย่างไร
แต่บัดนี้ก็พอจะคลายสงสัยไปได้บ้างหลังจากที่ได้ฟังธรรมจากท่านอาจารย์มา ๑๕ ปี คือ ไม่มีเราเมื่อ ... สติเกิดระลึกรู้ในรูปนามขันธ์ ๕ จากการฟังจนเข้าใจ (บ้าง)
ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ
ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ