ใน "อัคคัญญสูตร" พระสูตรที่ว่าด้วยสิ่งที่เลิศที่เป็นต้นเดิม ที่มาในคำภีร์ทีฆนิกาย ปาฏิปวรรค นั้น
จากข้อความช่วงที่แสดงว่า เมื่อพวกเราบริโภคง้วนดินเป็นอาหาร เพราะบาปอกุศลธรรมปรากฏ ง้วนดินของพวกเราจึงหายไป เกิดเป็นสะเก็ดดินปรากฏขึ้น เรานั้นบริโภคสะเก็ดดินเป็นอาหาร บาปอกุศลธรรมก็ปรากฏ สะเก็ดดินของพวกเราจึงหายไป เมื่อสะเก็ดดินหายไป เครือดินก็ปรากฏ เมื่อเรานั้นบริโภคเครือดินเป็นอาหาร เพราะบาปอกุศลธรรมปรากฏ เครือดินของพวกเราจึงหายไป เมื่อเครือดินหายไป ข้าวสาลีอันผลิผลในที่ที่ไม่ต้องไถ ไม่มีรำ ไม่มีแกลบ ก็ปรากฏ เราบริโภคข้าวสาลีไป ความพร่องไม่ปรากฏเลย แต่เพราะบาปอกุศลธรรมปรากฏ ข้าวสาลีของพวกเราจึงมีรำห่อเมล็ดบ้าง มีแกลบหุ้มเมล็ดบ้าง.......ฯ ล ฯ
อยากทราบว่า การที่ง้วนดินและสะเก็ดดินเป็นต้นนั้น ที่อันตรธานไปเพราะอกุศลธรรมที่สัตว์เหล่านั้นประพฤติแล้ว คือการดูหมิ่นเรื่องผิวพรรณของกันและกันนั้น ฯ จะอธิบายว่าเกิดจากธรรมใด เช่นปัจจัยอะไร เป็นต้น ฯ
ขอขอบคุณ และขออนุโมทนาด้วยครับ ฯ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ข้อความใน อัคคัญญสูตร แสดงว่า ง้วนดินหายไป เพราะ ความอยากของบุคคลที่ทานง้านดินด้วยความโลภ ด้วยกิเลส ไม่ใช่เพราะ การดูหมิ่นผิวพรรณกันครับ ซึ่งมีกิเลสเป็นปัจจัย ธรรมเป็นเรื่องงละเอียด เราไม่สามารถที่จะรู้ความละเอียดได้ทั้งหมดครับ ดังข้อความในพระไตรปิฎก
[๖๑] ดูกรวาเสฏฐะและภารทวาชะ ในครั้งนั้น สัตว์เหล่านั้นพากันมา
จับกลุ่ม ครั้นแล้วต่างก็มาปรับทุกข์กันว่า ดูกรท่านผู้เจริญ เดี๋ยวนี้ เกิดมีธรรม
ทั้งหลายอันเลวทรามปรากฏขึ้นในสัตว์ทั้งหลายแล้ว ด้วยว่า เมื่อก่อนพวกเราได้
เป็นผู้สำเร็จทางใจ มีปีติเป็นอาหาร มีรัศมีซ่านออกจากกายตนเอง สัญจรไปได้
ในอากาศ อยู่ในวิมานอันงาม สถิตอยู่ในวิมานนั้นสิ้นกาลยืดยาวช้านาน บาง
ครั้งบางคราวโดยระยะยืดยาวช้านาน เกิดง้วนดินลอยขึ้นบนน้ำ ทั่วไปแก่เราทุกคน
ง้วนดินนั้นถึงพร้อมด้วยสี กลิ่น รส พวกเราทุกคนพยายามปั้นง้วนดินกระทำให้เป็น
คำๆ ด้วยมือทั้งสองเพื่อจะบริโภค เมื่อพวกเราทุกคน พยายามปั้นง้วนดินกระ
ทำให้เป็นคำๆ ด้วยมือทั้งสองเพื่อจะบริโภคอยู่ รัศมีกายก็หายไป เมื่อรัศมีกาย
หายไปแล้ว ดวงจันทร์ดวงอาทิตย์ก็ปรากฏขึ้น เมื่อดวงจันทร์ดวงอาทิตย์ปรากฏขึ้น
แล้ว ดาวนักษัตรทั้งหลายก็ปรากฏขึ้น
ขออนุโมทนา
อนุโมทนาค่ะ
ขออนุโมทนาครับ
สาธุ ขออนุโมทนาในกุศลธรรมแห่งท่านทั้งหลาย ฯ