ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
[เล่มที่ 37] พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย สัตตก-อัฏฐก-นวกนิบาต เล่ม ๔ หน้า ๒๐๖
“คนผู้โกรธ ย่อมก่อกรรมที่ทำได้ยาก เหมือนทำได้ง่าย ภายหลังเมื่อหายโกรธแล้ว เขาย่อมเดือดร้อน เหมือนถูกไฟไหม้ ในกาลใด ความโกรธเกิดขึ้น คน ย่อมโกรธ ในกาลนั้น คนนั้น ไม่มีหิริ (ความละอายต่อบาป) ไม่มีโอตตัปปะ (ความเกรงกลัวต่อบาป) และไม่มีความเคารพ, คนโกรธ ฆ่าบิดาของตนก็ได้ ฆ่ามารดาของตนก็ได้ ฆ่าพระขีณาสพ (พระอรหันต์) ก็ได้ ฆ่าปุถุชนก็ได้ ลูกที่มารดาเลี้ยงไว้จนได้ลืมตาดูโลกนี้ ลูกเช่นนั้น มีกิเลสหยาบช้า โกรธขึ้นมา ย่อมฆ่าแม้มารดานั้นผู้ให้ชีวิตความเป็นอยู่ ก็ได้”
(พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย สัตตกนิบาต โกธนาสูตร)
สิ่งที่มีจริงๆ เป็นธรรม ไม่ว่าจะกล่าวถึงเรื่องใด ล้วนแล้วย่อมไม่พ้นไปจากธรรม แม้แต่ในเรื่องของความโกรธ ก็เป็นธรรม เพราะมีจริงๆ เกิดขึ้นเป็นไปตามเหตุปัจจัยลักษณะของความโกรธ ก็คือ ขุ่นเคือง ดุร้าย กระสับกระส่าย ไม่สงบ เกิดขึ้นเมื่อใด ไม่สบายใจเมื่อนั้น เนื่องจากเวทนา (ความรู้สึก) ที่เกิดร่วมกับความโกรธ มีเพียงหนึ่งเดียว คือ โทมนัสเวทนา เท่านั้น
ปกติในชีวิตประจำวัน แต่ละบุคคล ล้วนมีอกุศลมากด้วยกันทั้งนั้น ทั้งความติดข้องยินดีพอใจ ความโกรธ ความขุ่นเคืองใจ ความไม่พอใจ ความริษยา เป็นต้น แต่ถ้าถึงกับที่จะต้องล่วงออกมาเป็นทุจริตกรรมประการต่างๆ ก่อให้เกิดความเดือดร้อนแก่ผู้อื่นนั้น ขณะนั้นแสดงให้เห็นถึงกำลังของกิเลสว่ามีมากอย่างยิ่ง
การที่บุคคลมีความประพฤติไม่ดี สร้างความเดือดร้อนให้เกิดแก่ผู้อื่น นั้น แท้ที่จริง ไม่มีสัตว์ ไม่มีบุคคล ไม่มีตัวตนเลย แต่เป็นเพราะกิเลสที่มีกำลังเกิดขึ้นทำกิจหน้าที่เท่านั้น จึงเรียกว่าเป็นบุคคลผู้มีความประพฤติไม่ดี เมื่อพบเห็นหรือได้ทราบถึงความเป็นไปของบุคคลผู้ประพฤติไม่ดีเช่นนี้ จึงไม่ควรที่จะเพิ่มกิเลสให้กับตนเองด้วยการไปโกรธหรือผูกโกรธเขา เพราะขณะที่เราโกรธเขา ก็เป็นอกุศลของเราเอง และที่สำคัญ ไม่ควรมองข้าม คือ เคยโกรธใคร เคยเกลียดใคร คนนั้นไม่ติดตามเราไปในภพหน้า แต่ความโกรธของเราติดตามไป
ตามความเป็นจริงแล้ว บุคคล ผู้ควรโกรธ ไม่มี จะเห็นได้ว่า ไม่มีคำสอนในทางพระพุทธศาสนาแม้แต่บทเดียวที่สอนให้โกรธ สอนให้โกรธตอบ หรือ สอนให้เป็นอกุศลแม้จะเล็กน้อย ไม่มีเลย มีแต่คำสอนที่เป็นไปเพื่อความเจริญขึ้นของกุศลธรรมประการต่างๆ ขัดเกลากิเลสซึ่งเป็นความไม่ดีทั้งหลาย จนกว่าจะสามารถดับได้จนหมดสิ้น
และประการที่สำคัญ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงว่า ผู้มีปัญญาเท่านั้น ย่อมเป็นผู้อดทนต่อความเสียหายที่ผู้อื่นกระทำกับตน ได้ ไม่ว่าจะเป็นในลักษณะใด น้อยหรือมากเพียงใดก็ตาม แต่ในทางตรงกันข้าม ผู้ไม่มีปัญญา ย่อมไม่อดทนต่อความเสียหายที่ผู้อื่นกระทำให้กับตน แต่จะโกรธตอบ ทำร้ายตอบด้วยวิธีการต่างๆ , ความเสียหายที่ผู้อื่นกระทำกับผู้มีปัญญา ย่อมทำให้ท่านเป็นผู้มีความอดทนมากขึ้น แต่คนที่ไม่มีปัญญา เมื่อผู้อื่นทำความเสียหายให้ ย่อมเพิ่มความโกรธมากขึ้น สะสมอกุศลเพิ่มขึ้นซึ่งไม่เป็นประโยชน์เลยแม้แต่น้อย นี่ก็เป็นความต่างกันที่เห็นได้ชัดระหว่างผู้ที่มีปัญญา กับ ผู้ที่ไม่มีปัญญา เพราะฉะนั้น ปัญญา จึงเป็นสภาพธรรมที่ประเสริฐที่สุดในชีวิต ประเสริฐกว่าทรัพย์ภายนอกอย่างเทียบกันไม่ได้ เพราะทรัพย์ภายนอก เช่น แก้ว แหวน เงิน ทอง บางครั้งบางคราวก็ทำให้เกิดทุกข์ เดือดร้อน นำมาซึ่งภัยอันตรายมากมาย แต่ปัญญา นำมาซึ่งคุณประโยชน์แก่ชีวิตอย่างเดียว ไม่นำความทุกข์ความเดือดร้อนใดๆ มาให้เลย แล้วปัญญาจะเกิดขึ้นได้อย่างไร ก็ต้องมีเหตุที่จะทำให้ปัญญาเกิดขึ้น เมื่อเป็นเช่นนี้ จึงควรฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม สะสมความเข้าใจไปตามลำดับ ซึ่งจะเป็นไปเพื่อความเจริญขึ้นแห่งปัญญาอย่างแท้จริง และกุศลธรรมประการอื่นๆ ก็จะเจริญขึ้นคล้อยตามปัญญาที่เจริญขึ้น ด้วย ขณะที่กุศลเกิดขึ้น อกุศลใดๆ ก็เกิดไม่ได้ ความโกรธ ตลอดจนถึงอกุศลประการอื่นๆ ก็เกิดไม่ได้ ในขณะที่กุศลเกิดขึ้น เพราะฉะนั้นแล้ว ชีวิตที่เหลืออยู่ นี้ ก็ควรที่จะเป็นไปเพื่อการอบรมเจริญปัญญา ไม่ขาดการฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรมเป็นปกติในชีวิตประจำวัน พร้อมกับสะสมความดีประการต่างๆ ในชีวิตประจำวัน ครับ
...อนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...
กราบอนุโมทนาขอบพระคุณท่านอาจารย์ด้วยความเคารพยิ่ง
กราบอนุโมทนาขอบพระคุณท่านวิทยากรทุกๆ ท่าน
กราบขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่า
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ
กราบขอบพระคุณท่านอาจารย์ และขออนุโมทนาค่ะ
กราบขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ
ขออนุโมทนาครับ
ขออนุโมทนาครับ