สภาพ - ขณะ - ชีวิต
โดย ใหญ่ราชบุรี  22 ม.ค. 2557
หัวข้อหมายเลข 24362

นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมา สัมพุทธธัสสะ

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ซึ่งเป็นผู้ไกลจากกิเลส ตรัสรู้ชอบได้โดยพระองค์เอง

เรียนขอคำอธิบายรายละเอียดดังนี้ค่ะ สภาพ - ขณะ - ชีวิต

แต่ละคำนี้ คือ อะไร มีกี่ประเภท อะไรบ้าง มาจากบาลีคำใด กรุณายกตัวอย่างที่ปรากฏในพระไตรปิฎกด้วยค่ะ

ขอขอบพระคุณและขออนุโมทนากุศลทุกประการของทุกๆ ท่านค่ะ

ด้วยความเคารพยิ่ง จาก ธิดารัตน์ เดื่อมขันมณี (ใหญ่ราชบุรี)



ความคิดเห็น 1    โดย paderm  วันที่ 22 ม.ค. 2557

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

สภาพ มาจาก คำว่า สภาวะ คือ มีลักษณะของสภาพธรรมให้รู้ได้นั่นเอง ครับ

ขณะ หมายถึง การแสดงถึงสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ ที่เป็นช่วงเวลา ที่เป็นช่วงสั้นๆ คือ เป็นขณะ ครับ

ชีวิต โดยศัพท์ ที่เรียกว่า ชีวิต ได้แก่ อายุ ความเป็นอยู่ ซึ่งหมายถึงยังไม่ตาย คนที่ตายแล้วเรียกว่า สิ้นชีวิต สิ้นอายุ ไม่เป็นอยู่ โดยปรมัตถธรรม ชีวิต หมายถึง จิต เจตสิก รูป ที่เป็นไป ดังข้อความจากมหานิทเทสว่า

[เล่มที่ 65] พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย มหานิทเทส เล่ม ๕ ภาค ๑

[๔๙] คำว่า นักปราชญ์ทั้งหลายได้กล่าวชีวิตนี้ว่า เป็นของน้อย มีความว่า ชีวิต ได้แก่อายุ ความตั้งอยู่ ความดำเนินไป ความให้อัตภาพดำเนินไป ความหมุนไป ความเลี้ยง ความเป็นอยู่ ชีวิตินทรีย์


สำคัญที่สุด ไม่ได้อยู่ที่ความหมายของชีวิตคืออะไร แต่ควรเข้าใจถูกว่า มีชีวิตอยู่เพื่ออะไร ครับ ในพระพุทธศาสนา จึงได้แสดงสิ่งที่เป็นคุณค่าของการมีชีวิตอยู่ไว้ว่า สาระของชีวิตมนุษย์นั้นคือ การเจริญกุศลทุกๆ ประการ และอบรมเจริญปัญญา ตามกำลังความสามารถเท่าที่จะทำได้ครับ เพราะในความเป็นจริง เมื่อบุคคลเกิดมาเป็นมนุษย์ สิ่งที่ติดตัวมา คือ การสะสมสิ่งที่ดีหรือไม่ดีในจิต และเมื่อบุคคลนั้นจะต้องตายจากไป ทรัพย์สมบัติก็ไม่ได้ติดตัวไปด้วย ลาภ สักการะก็ไม่ได้ติดตัวไปด้วย สิ่งเหล่านี้จึงไม่ใช่สาระและเป็นคุณค่าจริงๆ กับชีวิตในการแสวงหา เพราะเป็นของชั่วคราว ไม่ได้นำมาซึ่งประโยชน์กับบุคคลนั้นได้จริง

แต่สิ่งที่จะติดตามบุคคลนั้นไปเมื่อตายแล้ว คือ กุศลกรรม และอกุศลกรรมที่ได้ทำไว้เท่านั้นครับ แต่อกุศลกรรม ไม่ใช่สิ่งที่มีคุณค่าและเป็นสาระของชีวิตที่ได้เกิดเป็นมนุษย์เพราะนำมาซึ่งโทษ นำมาซึ่งความไม่เป็นประโยชน์กับผู้ที่ประพฤติอกุศลครับ ชีวิตที่ดำเนินไปด้วยการทำอกุศลกรรม จึงไม่ใช่การมีชีวิตอยู่อย่างมีคุณค่าเลย แต่สิ่งที่มีค่า มีสาระ เพราะนำมาซึ่งประโยชน์และชำระล้างสิ่งที่ไม่ดี ไม่มีค่าออกจากจิตใจ คือ กุศลธรรมและปัญญานั่นเองครับ ดังนั้น สิ่งที่มีค่าในการดำรงชีวิตอยู่คือ การเจริญกุศลและอบรมปัญญา ที่เป็นศีลสาระ สมาธิสาระ และปัญญาสาระ และการใช้ชีวิตที่ประเสริฐอย่างมีคุณค่า คือ การมีชีวิตอยู่ด้วยปัญญา เพราะปัญญาย่อมเป็นเหมือนแสงสว่าง นำทางให้กับผู้ที่ดำรงชีวิตประจำวันในความเป็นมนุษย์ ให้ดำเนินไปในทางที่ถูกต้อง ทั้งทางกาย วาจาและใจด้วยปัญญา เป็นผู้ชี้ทาง

ดังนั้น การมีชีวิตอยู่อย่างมีคุณค่าและประเสริฐในพระพุทธศาสนา คือ การมีชีวิตอยู่ด้วยปัญญาครับ ซึ่งปัญญาจะมีได้ก็ด้วยการฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม เพราะฉะนั้น ชีวิตที่มีคุณค่า คือการเจริญกุศลทุกประการและอบรมปัญญา มีคุณค่าเพราะมีสิ่งที่มีคุณค่าเกิดที่ใจ คือ คุณความดีและปัญญาครับ

ขออนุโมทนา


ความคิดเห็น 2    โดย khampan.a  วันที่ 22 ม.ค. 2557

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

-สภาพ (มีจริงๆ มีภาวะลักษณะจริงๆ) กล่าวหมายถึงสิ่งที่มีจริงทั้งหมด

-ขณะ (ช่วงเวลา) สภาพธรรมที่เกิดขึ้นเป็นไป ไม่สามารถดำรงอยู่นาน เมื่อเกิดขึ้นแล้วก็มีความดับไปเป็นธรรมดา

ถ้าจะว่าไปแล้ว ขณะที่ประเสริฐ คือ ขณะไหน ก็ไม่พ้นไปจากขณะที่มีโอกาสได้ฟังพระธรรมศึกษาพระธรรมสะสมความเข้าใจถูกเห็นถูก ซึ่งเป็นขณะที่หาได้ยากในชีวิต เพราะการที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จอุบัติขึ้นในโลก การทรงแสดงพระธรรม และ การที่บุคคลนั้น ได้เกิดมาเป็นมนุษย์ จะพร้อมเข้าด้วยกัน หาได้ยาก ขณะนี้ พระธรรมยังดำรงอยู่ และแต่ละคนก็ได้เกิดมาเป็นมนุษย์แล้ว ก็ย่อมจะเป็นขณะที่ประเสริฐที่จะได้สะสมความเข้าใจถูกเห็นถูกต่อไป ด้วยการฟังพระธรรมศึกษาพระธรรมตามที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง

-ชีวิต โดยศัพท์ แปลว่า ความเป็นอยู่ เมื่อกล่าวโดยประมวลแล้วไม่พ้นไปจากความเกิดขึ้นเป็นไปของสภาพธรรมที่มีจริงในขณะนี้ แต่ละขณะๆ ที่จิตเกิดขึ้นเป็นไป เรียกว่า ชีวิต คำว่า ชีวิต มีความหมายหลายอย่าง ดังข้อความจากขุททกนิกาย มหานิทเทส ว่า

“คำว่า ชีวิต ได้แก่ อายุ ความดำรงอยู่ ความดำเนินไป ความให้อัตภาพดำเนินไป ความเป็นไป ความหมุนไป ความบำรุงเลี้ยงรักษา ความเป็นอยู่ ชีวิตินทรีย์ (ชีวิตินทรีย์ มี ๒ อย่าง คือ ชีวิตินทริยรูป รูปที่ทรงชีวิต เกิดจากกรรม มีลักษณะรักษารูปที่เกิดขึ้นพร้อมกัน ให้มีชีวิตดำรงอยู่ได้ ทำให้รูปของสัตว์ที่มีชีวิตแตกต่างจากรูปของสิ่งที่ไม่มีชีวิตหรือสัตว์ที่ตายแล้ว และ ชีวิตินทริยเจตสิก เป็นเจตสิกธรรมที่เกิดขึ้นอนุบาลรักษาธรรมที่เกิดร่วมกันให้ดำรงอยู่ชั่วขณะก่อนที่จะดับไป) "

พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงแสดงว่าสังขารทั้งหลาย (สภาพธรรมที่เกิดขึ้นเพราะปัจจัยปรุงแต่ง อันได้แก่ จิต (สภาพธรรมที่เป็นใหญ่เป็นประธานในการรู้แจ้งอารมณ์) เจตสิก (สภาพธรรมที่เกิดร่วมกับจิต) และรูป ไม่เที่ยง ไม่ยั่งยืน ไม่น่าชื่นใจ สังขารแม้อย่างหนึ่งที่เที่ยงนั้น ไม่มีเลย ชีวิตของแต่ละบุคคลก็ไม่พ้นจากสังขาร ทุกขณะของชีวิตเป็นสังขาร เนื่องจากว่ามีจิต เจตสิก รูป เกิดขึ้นเป็นไปอยู่ตลอดเวลา ชีวิต จึงเป็นความเกิดขึ้นเป็นไปของสภาพธรรมที่เป็นนามธรรม และ รูปธรรม ซึ่งไม่มีใครจะสามารถยับยั้งได้เลย ครับ

ขอเชิญคลิกอ่านข้อความเพิ่มเติมได้ที่นี่ครับ

ความเข้าใจพระธรรมเป็นสาระสำคัญที่สุดในชีวิต

...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...


ความคิดเห็น 3    โดย wannee.s  วันที่ 22 ม.ค. 2557

ชีวิต คือ จิต เจตสิกที่เกิดขึ้น เป็นนามธรรมที่รู้อารมณ์ ค่ะ


ความคิดเห็น 4    โดย mon-pat  วันที่ 23 ม.ค. 2557

กราบอนุโมทนาครับ


ความคิดเห็น 5    โดย ใหญ่ราชบุรี  วันที่ 24 ม.ค. 2557

สาธุ สาธุ สาธุ อนุโมทามิ

ขอบพระคุณเป็นอย่างยิ่งค่ะ


ความคิดเห็น 6    โดย ธนฤทธิ์  วันที่ 26 ม.ค. 2557

ขอบคุณและขออนุโมทนาครับ


ความคิดเห็น 7    โดย chatchai.k  วันที่ 4 ม.ค. 2564

ขออนุโมทนาครับ