ทำไมฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า_สนทนาธรรม ไทย - ฮินดี วันเสาร์ที่ ๕ มิถุนายน ๒๕๖๔
โดย khampan.a  5 มิ.ย. 2564
หัวข้อหมายเลข 34356

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

"ทำไมฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า"

ถอดจากคำสนทนาของท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์

สนทนาธรรม ไทย - ฮินดี

วันเสาร์ที่ ๕ มิถุนายน ๒๕๖๔



~ การสนทนาธรรม เป็นเรื่องสบายๆ ไม่ต้องหนักใจเรื่องคำ เรื่องจำนวน เรื่องอะไรต่ออะไรที่เราไม่เคยได้ยินมาก่อน แต่เป็นเรื่องที่จะให้เข้าใจสิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้
~ เราเรียนวิชาต่างๆ มากมาย ทั้งในบ้าน วิธีทำอาหาร ทุกสิ่งทุกอย่าง นอกบ้าน เรื่องโลก เรื่องอะไร แต่ไม่เคยรู้ว่า ไม่ได้รู้ความจริงของสิ่งที่มี แต่ละหนึ่ง แต่ละขณะนี้เลย
~ สิ่งที่ไม่เคยคิดมาก่อน ควรคิด อะไรเป็นสิ่งที่ควรรู้ที่สุดในชีวิต? มิฉะนั้นแล้ว เกิดมาแล้วก็ตายไป ว่างเปล่า ไม่มีความรู้ความเข้าใจในสิ่งที่มีแล้วไม่มี ทุกขณะ
~ ขณะนี้ ทำไมฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่ใช่ทำอย่างอื่น ถ้าคำตอบไม่ตรง จะไม่ตรงตั้งแต่ต้น
~ ฟังธรรม เพื่อรู้ความจริงของสิ่งซึ่งไม่เคยรู้มาเลย ไม่เคยรู้มาก่อน ไม่เคยคิดมาก่อน ซึ่งสิ่งนั้นกำลังมีทุกขณะ
~ ต้องไม่ลืมว่า เรากำลังฟัง(คำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า) เพื่อเข้าใจความจริงของสิ่งที่มีเดี๋ยวนี้
~ คำที่กล่าวถึงความจริงของสิ่งที่มีจริงทุกคำ จะค่อยๆ นำไปสู่การรู้แจ้งความจริงของสิ่งที่มีจริงๆ เดี๋ยวนี้
~ ต้องฟังทีละคำ คิดถึงสิ่งที่มีจริงแต่ละหนึ่งแล้วจึงสามารถจะเข้าใจการตรัสรู้ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้
~ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า เมื่อครั้งที่เป็นพระโพธิสัตว์ บำเพ็ญความดีทุกอย่าง เพื่อที่เข้าใจธรรมแต่ละหนึ่ง เข้าใจเห็นจริงๆ เข้าใจได้ยินจริงๆ เข้าใจทุกสิ่งทุกอย่างที่มีแต่ละหนึ่งจริงๆ
~ ต้องฟังทุกคำอย่างละเอียด เห็นมีจริงๆ เป็นหนึ่งสิ่งที่มีจริง เพราะฉะนั้น เห็นเกิดขึ้นเห็นเท่านั้น เพราะฉะนั้น เห็นไม่ใช่ได้ยิน เห็นไม่ใช่คิด เห็นทำอะไรไม่ได้ เห็นเกิดขึ้นเป็นเห็นแล้วดับ เห็นเกิดขึ้นแล้วดับ เห็นต่อไปอีกไม่ได้ เพราะไม่มี เข้าใจจริงๆ อย่างนี้หรือเปล่า?  เห็นเดี๋ยวนี้ จริงๆ เห็นเกิดแล้วเห็นดับ แล้วการดับไปของสิ่งที่มีเมื่อกี้นี้เป็นปัจจัยให้สิ่งอื่นเกิดต่อ
~ เริ่มรู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์ตรัสรู้จริงๆ ประจักษ์แจ้งจริงๆ ทรงแสดงหนทางให้เราเริ่มเข้าใจถูกจริงๆ
~ ทุกอย่างที่มีเดี๋ยวนี้ ความจริง ก็คือ สิ่งนั้นต้องเกิดแล้วก็ดับแล้วก็ไม่กลับมาอีกเลย
~ ต้องมั่นคง พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ความจริง ทรงแสดงธรรมให้เราฟัง ไตร่ตรอง คิด ว่า เป็นความจริงไหม และค่อยๆ เข้าใจถูกต้อง
~ การเข้าใจความจริงที่ถูกต้องเท่านั้น ที่จะทำให้ค่อยๆ เข้าใจสิ่งที่มีทีละหนึ่งๆ ได้
~ ถ้าไม่มีความเข้าใจจริงๆ จะตอบอะไรไม่ได้เลย แต่ถ้าเข้าใจจริงๆ จะค่อยๆ เริ่มเข้าใจ และตอบความสงสัยใดๆ ที่เคยมีได้
~ แข็ง เป็นแข็ง แข็งเป็นของใคร? เกิดแล้วดับไปจะเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดได้ไหม? (ไม่ได้) นี่คือ การเข้าใจธรรม ไม่ใช่การจำชื่อนามธรรมรูปธรรม แต่ว่าไม่ได้เข้าใจจริงๆ ว่า เดี๋ยวนี้สิ่งที่มี ทำไมจริง เข้าใจว่าเป็นสิ่งนั้นสิ่งนี้และเป็นเรา เพราะไม่รู้ความจริงถึงที่สุดของสิ่งนั้น
~ คำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกคำ ไม่ใช่ให้จำ แต่ทุกคำต้องไตร่ตรอง ต้องเข้าใจต้องรู้ความจริงว่าสิ่งนั้นกำลังมีเดี๋ยวนี้ ให้เข้าใจตรงความจริงว่าสิ่งนั้นเป็นอย่างที่พระองค์ได้ตรัสรู้ เพราะฉะนั้น เวลาที่ฟังพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัส พระองค์ไม่ได้ตรัสให้เราจำ แต่ให้เข้าใจสิ่งที่กำลังมี
~ เห็นเกิด เห็นเฉพาะสิ่งที่กระทบตาเท่านั้น
~ ไม่ว่าเห็นขณะใด ก็รู้ว่าขณะนั้นสิ่งที่ปรากฏเป็นนิมิตของการเห็นมากมายนับไม่ถ้วนที่ทำให้ปรากฏเป็นรูปร่างสัณฐาน
~ ความเห็นผิดที่เป็นอัตตา (ตัวตน,สิ่งหนึ่งสิ่งใด) มีสองอย่าง (คือ สักกายทิฏฐิและอัตตานุทิฏฐิ) ถ้าเห็นผิดที่ตัวเอง ไม่ใช่คนอื่น คิดว่านี่เป็นตัวเราจริงๆ เป็นสักกายทิฏฐิ, ยังไม่รู้ความจริงว่าเห็นอะไร เข้าใจว่าเห็นนก เห็นคน เห็นจาน เห็นแก้ว ทั้งหมด เป็นอัตตานุทิฏฐิ เพราะคิดว่ามีจริงๆ
~ ตั้งแต่เกิดจนตาย ไม่รู้ความจริง อยู่ในโลกของนิมิตและความจำว่าเป็นเรา เป็นอัตตานุทิฏฐิ สักกายทิฏฐิ ซึ่งถ้ายังคงมีอยู่ จะไม่รู้แจ้งอริยสัจจธรรม
~ ความเข้าใจต้องเริ่มต้นจากความเข้าใจในการฟังว่ากำลังฟังอะไร มีจริงๆ สิ่งนั้นเป็นอะไร เข้าใจถูกตามความเป็นจริงของสิ่งนั้นอย่างมั่นคง
~ ความจริงเป็นความจริงของสิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้ เพราะฉะนั้น เริ่มค่อยๆ เข้าใจความจริงของสิ่งที่มีเดี๋ยวนี้จนกระทั่งสามารถรู้ความจริงคือประจักษ์ความจริงได้ เพราะพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงธรรม ๔๕ พรรษา ละเอียด ครบถ้วน เพื่อที่จะให้ค่อยๆ เข้าใจขึ้น
~ รูปเกิดดับเร็ว แต่ยังช้ากว่าจิต เพราะฉะนั้น รูปที่เกิดดับช้ากว่าจิตยังปรากฏเป็นนิมิตต่างๆ มากมาย แล้วจิตที่เกิดดับเร็วกว่านั้นจะไม่ปรากฏเป็นเรา เป็นเรื่องต่างๆ หรือ?
~ เป็นเราลึกมาก นานมาแล้วในสังสารวัฏฏ์ แล้วเพิ่มขึ้นอีกเรื่อยๆ เพราะฉะนั้น ต้องเป็นการเห็นประโยชน์จริงๆ เห็นพระคุณจริงๆ ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ทำให้เราเกิดความเข้าใจอย่างนี้ได้
~ สิ่งที่ประเสริฐที่สุดในสังสารวัฏฏ์คือความเห็นถูกต้องในสิ่งที่กำลังมีเดี๋ยวนี้
~ ทุกอย่างเป็นธรรม บังคับบัญชาไม่ได้ เป็นอนัตตา (ไม่ใช่ตัวตน ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใคร) ใช่ไหม? เพราะฉะนั้น ไม่ใช่จำชื่ออนัตตา ไม่ใช่จำชื่อสุญญตา (สภาพที่ว่างเปล่าจากความเป็นตัวตน) แต่เข้าใจขึ้นในสิ่งที่ไม่ใช่เรา เป็นธรรมแต่ละหนึ่ง เมื่อได้ฟังพระธรรมละเอียดขึ้น
~ วันนี้ต้องเข้าใจมั่นคงขึ้นอีก ว่าไม่มีเรา ๑ เป็นธรรม ๑ เป็นอนัตตา ๑ เป็นสุญญตาด้วย ๑
~ ไม่ว่าจะพูดเรื่องอะไรก็เข้าใจว่าสิ่งนั้นกำลังมีเดี๋ยวนี้ซึ่งไม่เคยรู้มาก่อน
~ ถ้าไม่ได้ฟังธรรมเลยจะรู้ไหมว่าเดี๋ยวนี้ธรรมเท่านั้นที่มี ที่ปรากฏ แต่กำลังฟังเรื่องธรรม และยังเป็นเราที่ฟังเรื่องธรรม ยังเป็นเราที่จำเรื่องธรรม ยังเป็นเราที่คิดเรื่องธรรม จนกว่าจะค่อยๆ ละความเป็นเรา



...กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง

และยินดีในความดีของทุกๆ ท่านครับ...



ความคิดเห็น 1    โดย petsin.90  วันที่ 5 มิ.ย. 2564

ขออนุโมทนาคะ


ความคิดเห็น 2    โดย mammam929  วันที่ 5 มิ.ย. 2564

กราบนอบน้อมบูชาคุณพระรัตนตรัย

กราบบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ผู้แสดงคำจริงเพื่อความเข้าใจถูกเห็นถูกตามเป็นจริง

กราบอนุโมทนาในกุศลจิตค่ะ


ความคิดเห็น 3    โดย tim7755tim  วันที่ 5 มิ.ย. 2564

กราบอนุโมทนาสาธุค่ะท่านอาจารย์และกัลยาณมิตรทุกท่าน


ความคิดเห็น 6    โดย chatchai.k  วันที่ 5 มิ.ย. 2564

ขออนุโมทนาครับ 


ความคิดเห็น 7    โดย ธนฤทธิ์  วันที่ 5 มิ.ย. 2564

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ 


ความคิดเห็น 8    โดย swanjariya  วันที่ 5 มิ.ย. 2564

กราบเท้าท่านอาจารย์ด้วยความเคารพยิ่ง

กราบอนุโมทนากับคุณสุคินและผู้ร่วมสนทนาธรรมทุกท่าน


ความคิดเห็น 9    โดย siraya  วันที่ 6 มิ.ย. 2564

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ