ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
การนำเสนอภาพ และ ข้อความการสนทนาธรรม ในการเดินทางไปนมัสการ สังเวชนียสถาน ที่ประเทศอินเดีย ระหว่างวันที่ ๑๕ - ๒๕ ตุลาคม ๒๕๕๔ ของคณะท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ จะจบลงในตอนนี้ ที่พุทธคยา ครับ โดยหลังการสนทนาธรรมทั้งภาคภาษาไทย และ ภาคภาษาอังกฤษ ที่โรงแรมคล๊าค เมืองพาราณสีในตอนเช้าแล้ว หลังรับประทานอาหาร ได้เดินทางโดยรถบัส สู่พุทธคยา ถึงโรงแรมที่พุทธคยาในเวลาค่ำคณะของข้าพเจ้าและท่านอาจารย์ จะพักอยู่ที่พุทธคยานี้ เป็นเวลาสามคืน สี่วันด้วยกัน ในวันรุ่งขึ้น ได้เดินทางไปยังกรุงราชคฤห์ เขาคิชกูฏ วัดเวฬุวัน นาลันทา สำหรับผู้ที่ไม่ไป ก็อยู่ร่วมการสนทนาธรรมที่โรงแรมในช่วงเช้า และ ไปนมัสการและสนทนาธรรม ที่ลานพระมหาเจดีย์พุทธคยาในช่วงเย็น
ซึ่งคณะของข้าพเจ้า เดินทางกลับจากนาลันทา มาถึงพุทธคยาในเวลาพลบค่ำแล้ว เมื่อตามหาคณะของท่านอาจารย์จนพบ แต่ก็เป็นเวลาที่เพิ่งจบการสนทนาพอดี จึงได้แต่เพียงกราบนมัสการต้นพระศรีมหาโพธิ์และพระมหาเจดีย์ถ่ายภาพที่ระลึกร่วมกัน แล้วเดินทางกลับไปพักผ่อนที่โรงแรม ด้วยความสุขใจ เป็นความสุขใจที่ยากบรรยาย ของผู้ที่ได้พำนักพักอยู่ในดินแดนพุทธภูมิ อันอบอวลไปด้วยกลิ่นอายของความศรัทธา แห่งนี้ ในยามกลางคืน ทึ่เงียบสงบ มืดมิด ไปทั่วบริเวณโดยรอบ
ในวันที่สามที่พุทธคยา เราเดินทางมากราบสักการะต้นพระศรีมหาโพธิ์และพระมหาเจดีย์ แต่เช้าตรู่ ด้วยความสดชื่นเป็นพิเศษ เมื่อมาถึงได้พบกับพี่แอ๊ว ฟองจันทร์ นันตา และคุณไอแว่น สามีของพี่แอ๊ว คุณหน่อง เสาวณี นามวิชัย และ คุณเต้ย ผเดิม ยี่สมบุญ กำลังบรรจงจัดดอกไม้ บูชาต้นพระศรีมหาโพธิ์ สถานที่สำคัญๆ โดยรอบ และที่สำคัญ ที่สุด คือ บริเวณโพธิบัลลังก์ ใต้ต้นพระศรีมหาโพธิ์ ซึ่งเป็นที่ประทับนั่งของพระโพธิสัตว์ เป็นครั้งสุดท้าย ก่อนที่จะทรงตรัสรู้ เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ณ สถานที่นี้ เป็นการสิ้นสุดของการบำเพ็ญบารมีอันยาวนานถึงสี่อสงไขยแสนกัปป์ ของพระองค์ เพื่อที่จะได้ทรงตรัสรู้ ถึงความจริงของสิ่งที่มีจริงๆ และทรงแสดงความจริงที่ทรงตรัสรู้นั้น เพื่อให้คนอื่นได้รู้ตามด้วย เป็นพระมหากรุณาคุณอันใหญ่ยิ่ง ต่อสรรพสัตว์ทั้งมวล
เมื่อได้เห็นทุกท่านที่กำลังจัดดอกไม้เป็นพุทธบูชา ด้วยความประณีตบรรจง เป็นดอกไม้ที่ท่านได้ร่วมกันจัดเตรียมมาจากกรุงเทพฯ รวมทั้งดอกไม้สด ที่สวยงาม ก็ให้ระลึกถึงกุศลศรัทธา กุศลเจตนา และ ความเพียร ในกุศลธรรมอันงาม ทั้งหลาย ที่เกิดขึ้นเป็นไปของบุคคล ก่อให้เกิดความปีติโสมนัสยิ่ง แก่ผู้พบเห็นเช่นข้าพเจ้า แม้ขณะที่กล่าวอยู่นี้ ใจก็ยังนึกกราบอนุโมทนาท่านอยู่เช่นนั้น
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็ทรัพย์คือศรัทธาเป็นไฉน ดูก่อนภิกษุทั้งหลายอริยสาวกในธรรมวินัยนี้ เป็นผู้มีศรัทธา คือ เชื่อพระปัญญาตรัสรู้ของพระตถาคตว่า แม้เพราะเหตุนี้ๆ พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้นเป็นพระอรหันต์ตรัสรู้เองโดยชอบ เป็นผู้ตื่นแล้ว เป็นผู้จำแนกธรรม นี้เรียกว่าทรัพย์คือศรัทธา
เมื่อเสร็จจากการกราบสักการะต้นพระศรีมหาโพธิ์และพระมหาเจดีย์แล้ว ก็ได้เดินทางไปยังสถานที่สำคัญต่างๆ ใกล้เคียง เช่น ถ้ำดงคสิริ สถานที่นางสุชาดา ถวายข้าวมธุปายาส บ้านของนางสุชาดา เป็นต้น และในตอนเย็น ทุกท่านก็พร้อมใจกัน เดินทางกลับไปยังลานด้านข้างพระมหาเจดีย์และต้นพระศรีมหาโพธิ์ เพื่อสนทนาธรรม
เป็นครั้งหนึ่ง ของการสนทนาธรรม และ เวียนประทักษิณ ที่มีภาพและบรรยากาศอันอบอวลไปด้วยพระธรรม เป็น ณ กาลครั้งหนึ่ง ที่แสนประทับใจ ของทุกๆ ท่าน ที่ได้มีโอกาสมากราบสักการะ สังเวชนียสถานอันสำคัญยิ่งในครั้งนี้ พร้อมทั้งโอกาสอันวิเศษในการสั่งสม ความเข้าใจพระธรรม ด้วยความเมตตาอย่างยิ่ง ของท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ โดยข้าพเจ้าขออนุญาตนำความบางตอนที่ท่านอาจารย์ได้สนทนาไว้ในวันนั้น มาเสนอให้ทุกท่านได้อ่าน และ พิจารณาร่วมกันดังนี้ครับ
นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมา สัมพุทธัสสะ
นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมา สัมพุทธัสสะ
นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมา สัมพุทธัสสะ
อ.กุลวิไล เพราะฉะนั้น พระพุทธศาสนา ก็คือ คำสอน นั่นเอง สอนอะไร? คือ สอนให้เป็นผู้ที่มีปัญญา รู้แจ้ง ในอริยสัจจธรรม ธรรมะ ที่ทำให้เป็นอริยะ ก็คือ ผู้ประเสริฐ นั่นเอง สามารถจะดับกิเลส ถึงความเป็นพระอรหันต์ หมดทุกข์ ไม่ต้องวนเวียนไป ในวัฏฏะ ซึ่งก็มีคำถามต่อมา นะคะ จะกราบเรียนท่านอาจารย์ ว่า แก่นแท้ ของพระพุทธศาสนา คืออะไรคะ? ท่านอาจารย์ แก่นแท้ ของพระพุทธศาสนา คือ การรู้ความจริง ที่กำลังปรากฏ ในขณะนี้ว่าเป็นสิ่งที่มีจริง เป็นธรรมะ ซึ่งมีปัจจัยเกิดขึ้น แล้วก็ดับไป แล้วก็ไม่กลับมาอีกเลย
อ.กุลวิไล เพราะฉะนั้น ธรรมะ ที่มีปัจจัยปรุงแต่งให้เกิดขึ้น ก็ไม่พ้น ขณะนี้เอง เพราะว่าขณะนี้ยังมีสภาพธรรมะ ที่เป็นสังขารธรรม เป็นธรรมะ ที่เกิดเพราะปัจจัยปรุงแต่ง ดังนั้น ถ้าเราไม่อบรมปัญญา ที่จะเห็นถูก ในธรรมะ ที่ปรากฏ ในขณะนี้ ก็ยังเป็นผู้ที่มีปัจจัย ทำให้เกิดขึ้นค่ะ
ท่านอาจารย์ ถ้ากล่าวว่า แก่นแท้ ของพระพุทธศาสนา คือ ทำให้เห็นถูก เข้าใจถูก ในสภาพธรรมะ ที่กำลังปรากฏ ซึ่งมีปัจจัยเกิดขึ้น แล้วก็ดับไป ตรงกับอริยสัจจะที่ ๑ หรือเปล่าคะ? ทุกขอริยสัจจะ เพราะฉะนั้น เรายังไม่ต้องกล่าวถึง ชื่อของ อริยสัจจะ แต่สัจจะเป็นความจริง ผู้ใดที่รู้ความจริงนี้ จนกระทั่งสามารถที่จะดับความไม่รู้ และ ความติดข้อง ความสงสัย ในสภาพธรรมะ ที่กำลังปรากฏได้ ไม่เกิดอีกเลย ผู้นั้นก็เป็น พระอริยบุคคล
เพราะฉะนั้น สิ่งที่เรากำลังฟัง ในขณะนี้ ก็เป็น ทุกขอริยสัจจะ สำหรับผู้ที่รู้ความจริง ไม่ใช่เพียงแต่กล่าวว่า ขณะนี้สภาพธรรมะปรากฏ เพราะมีปัจจัยเกิดขึ้นแล้วก็ดับไป แล้วก็ไม่กลับมาอีก เป็นธรรมดามาก แต่ตราบใด ที่ยังไม่ประจักษ์ความจริงนี้ ก็ยังไม่ใช่อริยสัจจะ แต่เป็นสัจจธรรม แน่นอน
เพราะฉะนั้น ที่จะรู้ความจริงนี้ได้ ต้องเป็นการ เข้าใจขึ้น เข้าใจขึ้น อบรมความเห็นถูก ในสิ่งที่มีจริง เดี๋ยวนี้เอง ทุกขณะเป็นความจริง ที่กำลังเป็นความจริง ในขณะนี้ ที่เกิดขึ้น แล้วก็ดับไป เพราะฉะนั้น ทุกขอริยสัจจะ ไม่สามารถที่จะปรากฏ ให้รู้ได้ ถ้าไม่ใช่ "ปัญญา" ที่ "ฟังแล้วเข้าใจ" และ รู้ว่า ความจริง ในขณะนี้ เป็นอย่างนี้
มีสิ่งที่เกิดขึ้น ปรากฏ แล้วก็ดับไป ถ้าสามารถรู้ความจริง ก็จะละคลาย ความติดข้อง ซึ่งเป็น อริยสัจจะที่ ๒ คือ ทุกขสมุทัยอริยสัจจะ อะไรทำให้สภาพธรรมะเกิด ต้องมีเหตุ ใช่ไหม เหตุนั้นก็คือ อวิชชา และ โลภะ ไม่ใช่เป็นแต่เพียงว่า เกิดขึ้นมาได้เองลอยๆ แต่แม้สภาพนี้เกิด แล้วรู้ว่า เป็นสิ่งที่มีจริง ก็ยังต้องเป็น "ปัญญา" ที่สามารถละความติดข้องด้วย ตราบใดที่รู้เพียงเล็กน้อย หรือว่า รู้เพียงทุกขอริยสัจจะ แต่ว่า ยังไม่ได้ละ ความติดข้อง ก็ยังคงเป็นผู้ที่รู้แจ้งอริยสัจจธรรมไม่ได้
เพราะการรู้แจ้ง อริยสัจจธรรม ต้องครบทั้ง ๔ แต่ก็เริ่มได้ นะคะ จากการที่เป็นปัญญา ที่รู้ความจริง ที่ใช้คำว่า วิปัสสนาญาณ แต่ละขั้น จนกว่าจะถึง มรรคสัจจะ
อ.กุลวิไล ดังนั้น สภาพธรรมะ ที่เป็นทุกข์ ก็ไม่พ้น "ขณะนี้" เอง แล้วก็สิ่งเหล่านี้ นะคะ มีเหตุให้เกิดขึ้น ก็คือ อวิชชา และ ตัณหา
ท่านอาจารย์ ถ้าถามว่า ขณะนี้ สิ่งที่ปรากฏ ดับหรือยัง? ไม่เห็น แต่รู้ว่าดับ นี่คือปัญญาต่างขั้น
เพราะฉะนั้น เพียงขั้นฟัง เข้าใจว่า สิ่งที่ปรากฏขณะนี้ เกิด แล้ว ดับ แน่นอน ก็เป็นความรู้ขั้นต้น นะคะ ซึ่งจะนำไปสู่ ความรู้ที่มั่นคงขึ้น จนกระทั่งสามารถ ที่จะประจักษ์ การเกิดดับเมื่อไหร่ เมื่อนั้น จึงจะเป็น อริยสัจจะ ได้
อ.กุลวิไล ถ้าไม่ใช่ปัญญา ก็ไม่สามารถจะเห็นการเกิดและดับไปของธรรมะได้ เพราะว่า นาม รูป เป็นของเท็จ ลวงว่าเป็นของเที่ยง นะคะ
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น ขณะนี้ สภาพธรรมะ ดับหรือเปล่า? เกิดแล้วดับ หรือเปล่า?
อ.กุลวิไล ต้องดับ
ท่านอาจารย์ ดับ ก็ไม่รู้ ใช่ไหม แต่ว่า ฟัง เข้าใจว่า ต้องเกิดแน่ เพราะปรากฏ แล้วก็ดับไปแล้วด้วย
อ.กุลวิไล ท่านอาจารย์คะ ผู้ถาม ถามต่อไปว่า ที่ว่าอาจหาญ ร่าเริง ในธรรมะ คืออย่างไรคะ?
ท่านอาจารย์ ขณะนี้ เป็นเรา หรือว่า เป็นธรรมะ? มีท่านที่ตอบว่า เป็นธรรมะ แน่ใจเหรอคะ? อาจหาญ ร่าเริง ที่จะสละ ความเป็นเรา ไหม?
ถามถึง ความอาจหาญ ร่าเริง ก็คือ ปัญญา ที่สามารถที่จะรู้ความจริงว่า ไม่มีเรา มีแต่ธรรมะ ที่เกิดขึ้น และ ดับไป ตั้งแต่เกิดจนตาย ทุกชาติ เป็นธรรมะทั้งหมด ไม่มีอะไรที่ไม่ใช่ธรรมะ
ท่านผู้ถาม ขอประทานโทษครับ กราบเรียนท่านอาจารย์ที่เคารพอย่างยิ่งครับ กระผม พันเอกนเรศร์ จิตรักษ์ จากจังหวัดเชียงใหม่ครับ กราบเรียนถามที่ได้ฟังธรรมะในรถมานะครับ มีธรรมะอยู่ประการหนึ่ง ที่ได้พูดถึง ธรรมะ ที่ทำให้เนิ่นช้า สามประการ คือ ตัณหา มานะ และ ทิฏฐิ ๓ ประการนี้ ทำให้เนิ่นช้าอย่างไร? โดยประการใดครับ?
ท่านอาจารย์ ขณะนี้ เป็นความเข้าใจธรรมะ หรือ เป็นความติดข้องในสิ่งที่ปรากฏ
ท่านผู้ถาม ติดข้อง ในสิ่งที่ปรากฏ
ท่านอาจารย์ ก็ "เนิ่นช้า" ไปอีก ทุกขณะที่เกิดความติดข้อง แล้วยังมีความเห็นผิด ว่าเป็นเราแน่นอน นะคะ ธรรมะทุกอย่าง "เห็น" ก็เป็นเรา "ได้ยิน" ก็เป็นเรา ขณะไหน ที่เป็นเรา ก็ "เนิ่นช้า" ไปอีก
และ ขณะไหน ที่มีความสำคัญตน นะคะ ขณะนั้น กุศลธรรมไม่เกิดเลย เพราะว่า บางคนเนี่ยค่ะ มีความสำคัญตนที่ว่า ไม่ต้องศึกษาธรรมะก็ได้ สำคัญตนหรือเปล่าคะ?
ท่านผู้ถาม สำคัญตน ครับ
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น ก็เป็นเครื่องเนิ่นช้า
ท่านผู้ถาม การศึกษาธรรมะ ที่จะให้รู้ปรากฏการณ์ สภาพธรรมะ ตามความเป็นจริง อาศัยการ "ฟัง" อย่างเดียว หรือ โดย "วิธีใด"อีกได้บ้างครับ?
ท่านอาจารย์ ลองหาวิธี ว่าไม่ใช่ฟัง แล้วจะเข้าใจได้ไหม? จะ "เข้าใจเอง" ได้ไหม?
ท่านผู้ถาม ไม่ได้ครับ?
ท่านอาจารย์ แน่ใจแล้วใช่ไม๊คะ? เพราะไม่ใช่เพียงเห็น แต่ต้องมีเสียงด้วย และ เพราะเหตุว่า เข้าใจความหมาย จากเสียงนั้น จึงสามารถที่จะเข้าใจธรรมะได้ ก็ไม่พ้นจากการฟัง จะโดยวิธีอ่าน หรือ โดยการฟัง หรือ แม้แต่การไตร่ตรอง ขณะที่ ไตร่ตรอง มี"คำ" ไม๊คะ?
ท่านผู้ถาม มีครับ
ท่านอาจารย์ มีเสียงไม๊คะ? เหมือนฟังไม๊คะ?
ท่านผู้ถาม เหมือนครับ
ท่านอาจารย์ ก็คือ การทบทวน
ท่านผู้ถาม แต่ประเด็นอยู่ที่ว่า ทำอย่างไร จึงจะให้ผู้เรียน รู้สภาพธรรมะ ที่ปรากฏ ตามความเป็นจริง ได้ฟัง ได้อ่าน จากกัลญาณมิตร ครับ
ท่านอาจารย์ ถ้าใครไม่สนใจ บอกให้ฟัง ฟังไม๊คะ?
ท่านผู้ถาม ไม่ฟังครับ
ท่านอาจารย์ เพราะอะไรคะ?
ท่านผู้ถาม อวิชชา ครับ
ท่านอาจารย์ สะสมมา จนกระทั่งไม่เห็นประโยชน์ว่า สิ่งที่มีค่าที่สุดในชีวิต คือ การได้ฟังความจริง เพราะ ไม่สามารถที่จะรู้ความจริง ด้วยตัวเองได้
ท่านผู้ถาม ครับผม ทำอย่างไร จึงจะให้ท่านเหล่านั้น ได้หันกลับมาสู่ทางที่ถูกต้องครับ?
ท่านอาจารย์ ท่านเหล่านั้น หรือ ตัวเอง?
ท่านผู้ถาม ตัวเองด้วยครับ
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้นก็ไม่ต้องกังวล ถึงท่านเหล่านั้นเลย เพราะ ทำอะไรกับท่านเหล่านั้นไม่ได้
ท่านผู้ถาม เริ่มที่ตัวเองก่อนครับ
ท่านอาจารย์ กิเลสของใคร คนนั้นต้องละ เพราะฉะนั้น กิเลสของท่านเหล่านั้น เราจะไปละไม่ได้
อ.อรรณพ กราบเรียนท่านอาจารย์ ครับ เมื่อวันสองวันนี้นะครับ ท่านอาจารย์ก็กล่าวถึง ข้อความใน ภัทเทกรัตตสูตร อยู่บ่อยครั้งนะครับ คือ ไม่คำนึง ถึงสิ่งที่ล่วงมาแล้ว ไม่คำนึง ถึงสิ่งที่ยังมาไม่ถึง ควรพิจารณาใส่ใจ ในสิ่งที่กำลังมี กำลังปรากฏ
ท่านอาจารย์ แต่ถ้ามีความเข้าใจยิ่งขึ้น นะคะ ปัญญาที่รู้ความจริง ต้องรู้สิ่งที่กำลังปรากฏ ไม่ใช่สิ่งที่ดับไปแล้ว หรือ สิ่งที่ยังมาไม่ถึง เพราะฉะนั้น เป็นการเตือน ที่จะให้ มีความเข้าใจ ในสิ่งที่กำลังปรากฏ เดี๋ยวนี้ จึงทรงแสดงว่า ไม่คำนึง ถึงสิ่งที่ล่วงแล้ว และ สิ่งที่ยังมาไม่ถึง ...กำลังมีเสียง...กำลังฟัง... คิดถึงสิ่งที่ล่วงแล้ว หรือว่า ยังมาไม่ถึง ก็ไม่สามารถที่จะเข้าใจ ธรรมะ ที่กำลังฟัง ในขณะนี้ได้
อ.อรรณพ ท่านอาจารย์ครับ ภัทเทกรัตตสูตร ก็คือ สูตรที่กล่าวถึง ผู้มีราตรีหนึ่งเจริญ หรือ ผู้มีแต่ละวันเจริญ เพราะฉะนั้น ชีวิตที่เป็นอยู่ ในแต่ละวัน วันหนึ่ง คืนหนึ่งจะเจริญ ก็คือ ในขณะที่รู้ สิ่งที่กำลังมี ในขณะนี้ ไม่ใช่สิ่งที่ล่วงไปแล้ว หรือสิ่งที่ยังไม่มีมา อย่างไรครับ?
ท่านอาจารย์ เมื่อเป็นคำตรัส เป็นพระวาจา ของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า สิ่งที่ควรเจริญ คือ อะไร?
อ.อรรณพ คือ ปัญญา ครับ
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น ควรเจริญปัญญา แต่ไม่ใช่ว่า ใครจะเจริญได้ ด้วยความเป็นตัวตน ก็ต้องอาศัย ปัญญาที่เข้าใจ ทีละเล็ก ทีละน้อย เจริญขึ้น นั่นเอง
อ.อรรณพ เพราะฉะนั้น ปัญญาที่เจริญขึ้น ไม่ใช่ว่ารู้สิ่งอื่น คิดถึงสิ่งที่ล่วงไปแล้ว หรือ สิ่งที่ยังมาไม่ถึง จึงเป็นการรู้ลักษณะ ของสิ่งที่กำลังมี กำลังปรากฏ ในขณะนี้
ท่านอาจารย์ ต้องไม่ลืม สิ่งที่ดับไปแล้ว ล่วงไปแล้ว ไม่กลับมาอีกเลย แล้วจะรู้ได้อย่างไร? และ สิ่งที่ยังมาไม่ถึง ก็ยังไม่มีปัจจัย ที่จะเกิดขึ้น ปรากฏ แล้วจะรู้ได้อย่างไร? ก็ต้องเฉพาะ สิ่งที่กำลังปรากฏ ที่ อาจหาญ ร่าเริง ที่จะรู้ว่า พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงตรัสรู้ ความจริง ของสิ่งที่กำลังปรากฏ ซึ่งคนอื่นไม่รู้ ยังไม่รู้ ถ้าไม่มีการฟังพระธรรม
ต้องอบรม จนกว่าจะรู้ เหมือนอย่างที่พระองค์ ได้ทรงประจักษ์แจ้ง ว่าสิ่งที่ดับไปแล้ว ทรงแสดงว่า ไม่กลับมาอีก ไม่สามารถที่จะ รู้ความจริงได้ และ สิ่งที่ยังมาไม่ถึง ก็ยังไม่เกิดขึ้น รู้ไม่ได้แน่ ต้องสิ่งที่กำลังปรากฏ เดี๋ยวนี้ ค่อยๆ เข้าใจขึ้น
อ.อรรณพ แต่การที่จะรู้ สิ่งที่กำลังมี กำลังปรากฏ ในขณะนี้ ก็ต้องมีเหตุ ครับ ท่านอาจารย์ คือ อะไรครับ?
ท่านอาจารย์ ถ้าไม่มี พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า รู้ได้ไม๊?
อ.อรรณพ ไม่ได้ครับ
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น "เหตุ" คือ อะไร?
อ.อรรณพ เหตุ คือ การตรัสรู้ ของพระองค์ท่าน การแสดงธรรม ของพระองค์ท่าน แล้วก็ การใส่ใจ "ฟัง" ของผู้ที่สะสมมา ครับ
ท่านอาจารย์ คือ การฟังพระธรรม ด้วยความเข้าใจถูก ว่า เป็นสิ่งที่ประเสริฐสุด ในสังสารวัฏฏ์ เพราะบางกาล ก็ไม่มี พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ถึงมี บุคคลนั้น ไม่ได้เกิดเป็นมนุษย์ ที่มีปัญญา แต่เป็นคน บ้า ใบ้ บอด หนวก ไม่สามารถที่จะมี ปัญญา เห็นคุณค่า ของการ "ฟัง" ผู้นั้น ก็ไม่ฟัง
อ.อรรณพ แต่ถึงแม้จะพอมีศรัทธา แล้วเข้าใจบ้าง แต่ก็แล้วแต่ กำลังของความเข้าใจ ครับท่านอาจารย์ ว่าจะเข้าใจได้ ในระดับไหน? แค่ไหน? เท่านั้นเอง
ท่านอาจารย์ จากไม่เคยเข้าใจเลย ทุกคนนะคะ ไม่เคยเข้าใจมาก่อนเลย แล้วเข้าใจขึ้น เมื่อฟังบ่อยขึ้น ถูกต้องไม๊คะ? ก็ต้องอาศัยกาลเวลา
อ.อรรณพ เพราะฉะนั้น ก็เป็นการสะสม อบรม ที่ใช้เวลานาน จิรกาลภาวนา ก็คือ ขณะที่ค่อยๆ สะสม ความเข้าใจ ไปทีละนิด ทีละอณู อย่างที่ท่านอาจารย์ ได้กล่าวเมื่อวาน ใช่ไม๊ครับ?
...บุญใด อันข้าพเจ้า ได้ประกอบแล้ว ในทวีปนี้
ขอเดชะ บุญนั้น
ขออันตราย คือ ความเห็นผิด ในพระรัตนตรัย
จงอย่าได้มี แก่ข้าพเจ้า
กรรมอันน่าติเตียนอันใด ที่ข้าพเจ้าได้ล่วงเกินแล้ว
ต่อพระพุทธเจ้า พระธรรม และ พระสงฆ์
ด้วกายก็ดี ด้วยวาจาก็ดี ด้วยใจก็ดี
ขอพระพุทธเจ้า พระธรรม และ พระสงฆ์
ได้โปรดอดโทษ แก่ข้าพเจ้า
เพื่อข้าพเจ้า จักได้สำรวม ระวัง ในพระรัตนตรัย
ในกาลต่อไป...
ณ กาลครั้งหนึ่ง ของทุกบุคคล ที่ได้มีโอกาสฟังพระธรรม และ เวียนประทักษิณ โดยสามรอบ ณ สถานที่ตรัสรู้อนุตรสัมมาสัมโพธิญาณ อันประเสริฐยิ่งแห่งนี้ พร้อมด้วยกัลญาณมิตร ผู้เปี่ยมไปด้วยเมตตาอันยิ่ง
ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ได้จบไปแล้ว หมดไป ไม่มีวันหวลกลับมาได้อีก เป็นแต่เพียง การสั่งสมของกุศลธรรม ความดีทั้งหลาย ที่ได้กระทำไว้ดีแล้วนั้น จักเป็นประโยชน์ เกื้อกูล แก่บุคคล ตลอดกาลนานในสังสารวัฏฏ์
ภายหลังจากการเวียนประทักษิณ เสร็จแล้ว ท่านอาจารย์ และ คณะฯ ได้เดินทางไปยังสมาคมมหาโพธิ์ เพื่อถวายโคมประทีป ที่ทุกท่านได้นำไปในคราวนี้ ไว้เพื่อประโยชน์ของชนเหล่าอื่น ต่อไป
รวมถึง การถวายเครื่องสักการะบูชาพระบรมสารีริกธาตุ และ พระธาตุของพระอัครสาวก ที่มีความสวยงาม วิจิตรบรรจง ที่คุณฟองจันทร์ นันตา (พี่แอ๊ว) และ สหายธรรมที่มูลนิธิฯ ร่วมกันนำไปถวาย
[เล่มที่ 13] พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค เล่ม ๒ ภาค ๑ - หน้าที่ 455
จริงอยู่ สรีระของพระพุทธเจ้าผู้มีพระชนมายุยืนทั้งหลาย ย่อมติดกันเป็นพืดเช่นกับ แท่งทองคำ. ส่วนพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงอธิษฐานพระธาตุให้กระจายว่า เราอยู่ได้ไม่ นานก็จะปรินิพพาน ศาสนาของเรายังไม่แพร่หลายไปในที่ทั้งปวงก่อน เพราะฉะนั้น เมื่อเราแม้ปรินิพพานแล้ว มหาชนถือเอาพระธาตุแม้ขนาดเท่าเมล็ดพันธุ์ผักกาด ทำเจดีย์ ในที่อยู่ของตนๆ ปรนนิบัติ จงมีสวรรค์เป็นที่ไปในเบื้องหน้า
ช่วงเวลาแห่งความปลื้มปีติในกุศลธรรมทั้งหลาย เป็น ณ กาลครั้งหนึ่ง ที่บุคคล ได้มีโอกาสอันวิเศษ ได้สะสม อบรม เจริญเหตุ คือ ปัญญา และ กุศลธรรมทั้งหลาย ณ ดินแดนพุทธภูมิ สถานที่ๆ เต็มไปด้วยรอยพระบาท รอยเท้า ของพระอรหันตสาวก และ พระอริยบุคคล มากมาย ในอดีต ณ กาลนี้ แม้รอยเท้าของปุถุชนเช่นเรา ในสถานที่นี้ จักได้ลบเลือนไปแล้วก็ตาม
แต่รอยของกุศลกรรม อันบุคคลกระทำไว้ดีแล้วนั้น ย่อมไม่ลบเลือนไปเป็นแน่ แต่จักสั่งสมไว้ เป็นที่พึ่งอันอุดม แก่สังสารวัฏฏ์ยาวนาน อันจักพึงสิ้นสุดได้ ในวันหนึ่ง แม้แสนไกล
กราบเท้าบูชาคุณ ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง
ขออนุโมทนาท่านวิทยากรทุกท่าน
และขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
อ.อรรณพ : แต่การที่จะรู้สิ่งที่กำลังมี กำลังปรากฏ ในขณะนี้ ก็ต้องมีเหตุ ครับท่าน-อาจารย์ คือ อะไรครับ?
ท่านอาจารย์ : ถ้าไม่มี พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า รู้ได้ไม๊?
อ.อรรณพ : ไม่ได้ครับ
ท่านอาจารย์ : เพราะฉะนั้น "เหตุ" คือ อะไร?
อ.อรรณพ : เหตุ คือ การตรัสรู้ ของพระองค์ท่าน การแสดงธรรมของพระองค์ท่าน แล้วก็การใส่ใจ "ฟัง" ของผู้ที่สะสมมา ครับ
กราบเท้าบูชาคุณ ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง
ขออนุโมทนาท่านวิทยากรทุกท่าน
และขออนุโมทนาในกุศลจิตของพี่วันชัย ภู่งาม[และครอบครัว] และ ทุกๆ ท่านครับ
กราบเท้าบูชาท่านอาจารย์สุจินต์ด้วยความเคารพเป็นอย่างยิ่ง
ขอบพระคุณและขออนุโมทนาคุณวันชัย ณ กาลครั้งนี้ ในวิริยะและศรัทธากุศลจิต
จากการจัดทำกระทู้ที่งดงามนี้
ขออนุโมทนาทุกๆ ท่านที่ร่วมในกุศลกรรมครั้งนี้
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
กราบเท้าบูชาคุณ ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง
ขออนุโมทนาท่านวิทยากรทุกท่าน
และขออนุโมทนาในกุศลจิตของพี่วันชัย ภู่งาม[และครอบครัว] และ ทุกๆ ท่านครับ
กราบเท้าบูชาคุณ ท่านอาจารย์ สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง
ขอบพระคุณและขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านค่ะ
ท่านอาจารย์ ต้องไม่ลืม สิ่งที่ดับไปแล้ว ล่วงไปแล้ว ไม่กลับมาอีกเลย แล้วจะรู้ได้อย่างไร? และ สิ่งที่ยังมาไม่ถึง ก็ยังไม่มีปัจจัย ที่จะเกิดขึ้น ปรากฏ แล้วจะรู้ได้อย่างไร? ก็ต้องเฉพาะ สิ่งที่กำลังปรากฏ ที่ อาจหาญ ร่าเริง ที่จะรู้ว่า พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงตรัสรู้ ความจริง ของสิ่งที่กำลังปรากฏ ซึ่งคนอื่นไม่รู้ ยังไม่รู้ ถ้าไม่มีการฟังพระธรรม
...กราบเท้าบูชาคุณ ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง...
ขอกราบอนุโมทนาท่านอาจารย์วิทยากรทุกๆ ท่าน
ขอขอบพระคุณ และขออนุโมทนาในกุศลจิตของคุณวันชัย ภู่งาม ที่ทำให้ได้มีโอกาสได้พิจารณาธรรมอันลึกซึ้ง เป็นกระทู้ที่มีคุณค่ายิ่ง
"ณ กาลนี้ แม้รอยเท้าของปุถุชนเช่นเรา ในสถานที่นี้ จักได้ลบเลือนไปแล้วก็ตาม แต่รอยของกุศลกรรม อันบุคคลกระทำไว้ดีแล้วนั้น ย่อมไม่ลบเลือนไปเป็นแน่ แต่จักสั่งสมไว้ เป็นที่พึ่งอันอุดม แก่สังสารวัฏฏ์ยาวนาน อันจักพึงสิ้นสุดได้ ในวันหนึ่ง แม้แสนไกล"
ขอบพระคุณและขออนุโมทนา คุณวันชัยที่แบ่งปันเรื่องราวที่น่าประทับใจและเป็น ประโยชน์ ตลอดจนกราบขอบพระคุณท่านอาจารย์สุจินต์ ที่เคารพยิ่ง ท่านวิทยากร และ สหายธรรมทุกท่าน ผู้เห็นประโยชน์ของพระธรรม และ เกื้อกูล ดำรงพระพุทธศาสนา ตลอดมา และ สืบต่อไป ค่ะ
ขอกราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง และขอกราบ อนุโมทนา ในกุศลจิตของทุกท่าน ขอกราบอนุโมทนาท่านเจ้าของกระทู้ที่กรุณาแบ่งปันธรรม และกุศลให้ได้ร่วมอนุโมทนายินดีไปด้วยครับ
ขออนุโมทนาพี่วันชัยครับ ที่นำเสนอ พระธรรมอันถูกต้อง เพื่อให้สหายธรรมทั้งหลาย ได้เกิดความเข้าใจ เพิ่มขึ้น และเกิดกุศลจิต มีศรัทธาและปัญญา เป็นต้น การมาที่นี่ ดี แล้วหนอ การมาของเราไม่สูญเปล่า คือ สังเวชนียสถาน นับเป็นโอกาสดีของเราทั้งหลาย และก็หวังว่าโอกาสต่อไป พี่คงได้ร่วมเดินทาง เป็นสหายธรรมร่วมกันไปตลอดนะครับ
ขออนุโมทนาในกุศลของพี่ครับ
พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงตรัสรู้ ความจริง ของสิ่งที่กำลังปรากฏ ซึ่งคนอื่นไม่รู้ ยังไม่รู้ ถ้าไม่มีการฟังพระธรรม
ขอบพระคุณมาก ขออนุโมทนาค่ะ
ขอขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
ขออนุโมทนาในกุศลจิตของคุณวันชัย ภู่งาม เป็นอย่างยิ่งที่มีความเพียรเจริญกุศลทุก ประการ ทั้งขวนขวายช่วยกระทำกิจของผู้อื่น ด้วยการเดินสายช่วยเหลือผู้ประสบภัย น้ำท่วมตามบ้านต่างๆ หลายแห่ง แล้วยังหาเวลาถ่ายทอดพระธรรมที่ได้ยินได้ฟังมา ให้สหายธรรมที่ไม่ได้อยู่ร่วมสนทนาธรมด้วย พร้อมกับภาพถ่ายที่งดงาม แสดงถึงกุศล ที่ประณีตอย่างยิ่ง
ขอบคุณและอนุโมทนาอีกครั้งค่ะ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
กราบเท้าบูชาคุณ ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง
ขออนุโมทนาท่านวิทยากรทุกท่าน
และขออนุโมทนาในกุศลจิตของคุณวันชัย ภู่งาม[และครอบครัว] และ ทุกๆ ท่านค่ะ
ขอบพระคุณและขออนุโมทนาค่ะ
ขอบพระคุณ และขอกราบอนุโมทนาครับ
สาธุ สาธุ สาธุ อนุโมทามิ
ขออนุโมทนาครับ