ด้วยความเคารพอย่างสูงวันนี้มีคำถามมาถามอาจารย์ครับ ไม่ได้เข้ามาอ่านนานเลยครับ ถามว่า
๑. พระอภิธรรมในงานศพนั้น จะสวดทำไมครับ ไม่รู้เรื่อง พระท่านเองก็ไม่รู้เรื่อง พอท่านสวดจบ ก็เทศน์เรื่องอภิธรรมอย่างงงๆ บอกว่า เทศน์ย่อๆ เวลามีน้อย แต่ผมรู้ดีว่า ท่านยังไม่เข้าใจชัด จากการอธิบายที่ได้ฟัง
๒. การสวดมนต์ที่ไม่รู้เรื่อง รู้ความหมายนั้น จะทำให้เกิดสมาธิในหมวดสิกขาได้หรือไม่อย่างไร เพราะเห็นอ้างมากนัก ว่า สวดมนต์ ได้บุญ ได้สมาธิ
๓. การสวดมนต์ ฉบับภาษาไทยนั้น สวดอย่างไรก็ผิด ไม่ถูกสำเนียงเดิม ต่างถิ่นของไทย ก็สวดผิดไปอีกแบบหนึ่ง แตกต่างกันไป จะเห็นว่า อันไหนถูกได้ครับ
๔. ผมคิดว่า การสวดมนต์ให้ได้บุญจริงๆ นั้น ทำยากมาก เพราะถ้าทำได้จริง การสวดมนต์ จะครบทั้ง ๓ สิกขาเลยก็ว่าได้ ผมเห็นอย่างนี้ถูกต้องหรือไม่ครับ
๕. พุทธศาสนิกชนในบัดนี้ ค่อนข้างละเว้นเรื่องสมาธิอย่างมาก ชอบแต่จะทำบุญถ้าให้นั่งสมาธิจริงๆ ก็ไม่อยากนั่ง นั่งไม่เป็น ทั้งที่เป็นเรื่องจะให้เกิดปัญญาแท้ๆ อาจารย์เห็นว่าอย่างไรบ้างครับ
๖. "ความเข้าใจอย่างเดียว ไม่สามารถทำให้เกิดมรรคเกิดผลได้ หากยังต้องเจริญกุศล ละอกุศลให้ได้เสียก่อน ซึ่งการจะเจริญและละดังกล่าว ต้องอาศัยธรรมเข้ามาช่วยหลายข้ออยู่เหมือนกัน และความเข้าใจที่ได้เรียนรู้มา มันก็เหมือนจะไม่พอ ไม่เต็มไปเสียทุกที" คำพูดดังกล่าวถูกหรือไม่อย่างไรครับ
เป็นคำถามจากเรื่องที่ได้เห็นและเข้าใจมา ต้องขออภัยในคำถามบางข้อ อาจจะดูเหมือนว่า จะถามทำไม อิอิ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
๑. พระอภิธรรมในงานศพนั้น จะสวดทำไมครับ ไม่รู้เรื่อง พระท่านเองก็ไม่รู้เรื่อง พอท่านสวดจบ ก็เทศน์เรื่องอภิธรรมอย่างงงๆ บอกว่า เทศน์ย่อๆ เวลามีน้อย แต่ผมรู้ดีว่าท่านยังไม่เข้าใจชัด จากการอธิบายที่ได้ฟัง
การสวดพระอภิธรรมในงานศพของพระภิกษุ มีจุดประสงค์เพื่อให้มีการสืบทอดพระธรรมไว้ โดยการจดจำพระอภิธรรม ซึ่งเป็นพระคัมภีร์ที่ลึกซึ้งและจะอันตรธานก่อนพระสูตรและพระวินัย จึงเป็นอุบายที่จะให้คัมภีร์พระอภิธรรมสืบทอดต่อกันมา เพื่อความดำรงอยู่ของพระปริยัติธรรมครับ
เชิญคลิกอ่านที่นี่ ...
อยากรู้ความหมายของการสวดพระอภิธรรมในงานศพ
๒. การสวดมนต์ที่ไม่รู้เรื่อง รู้ความหมายนั้น จะทำให้เกิดสมาธิในหมวดสิกขาได้หรือไม่อย่างไร เพราะเห็นอ้างมากนัก ว่า สวดมนต์ ได้บุญ ได้สมาธิ
การสวดมนต์ จุดประสงค์คือเพื่อความเจริญขึ้นของกุศลธรรมและปัญญา จึงต้องเริ่มจากการศึกษาธรรมให้เข้าใจ และเมื่อศึกษาพระธรรมเข้าใจแล้ว ก็กล่าวคำธรรมในสูตรต่างๆ เพื่อพิจารณาตามในขณะที่กล่าวพระธรรมครับ มิใช่เพื่อจุดประสงค์เพื่อได้บุญ แต่จุดประสงค์คือเพื่อความเจริญขึ้นของกุศลธรรม โดยเฉพาะปัญญาที่เกิดขึ้นในขณะที่พิจารณาธรรม เมื่อกำลังกล่าวธรรมครับ
เชิญคลิกอ่านที่นี่ครับ ...
เวลาสวดมนต์ทำไมขนลุก
๓. การสวดมนต์ ฉบับภาษาไทยนั้น สวดอย่างไรก็ผิด ไม่ถูกสำเนียงเดิม ต่างถิ่นของไทย ก็สวดผิดไปอีกแบบหนึ่ง แตกต่างกันไป จะเห็นว่า อันไหนถูกได้ครับ
การสวดมนต์ คือ การสาธยาย กล่าวพระธรรมตามพระสูตรที่จำกันมาเพื่อพิจารณาข้อธรรมนั้น ดังนั้น ไม่จำเป็นจะต้องกล่าวสำเนียงให้ถูกต้อง แต่กล่าวธรรมให้ตรงตามพยัญชนะ ตามคำที่แปลมาแล้วอย่างถูกต้อง เพราะสำคัญที่เนื้อหาของพระธรรมนั้น โดยสำคัญที่สุดคือเมื่อผู้กล่าวธรรมแล้ว ได้ประโยชน์คือความเข้าใจพระธรรม ความเจริญขึ้นของปัญญาเป็นสำคัญครับ
๔. ผมคิดว่า การสวดมนต์ให้ได้บุญจริงๆ นั้น ทำยากมาก เพราะถ้าทำได้จริง การสวดมนต์ จะครบทัั้ง ๓ สิกขาเลยก็ว่าได้ ผมเห็นอย่างนี้ถูกต้องหรือไม่ครับ
บุญ คือ กุศลจิตที่เกิดขึ้น ขณะที่อยากได้บุญ ขณะนั้นไม่ใช่บุญ แต่เป็นอกุศล การสวดมนต์จุดประสงค์คือความเจริญขึ้นของกุศลและปัญญา โดยที่ขาดการศึกษาพระธรรมให้เข้าใจก่อนไม่ได้เลยครับ ดังนั้น การจะครบทั้งไตรสิกขา คือ ศีล สมาธิ และปัญญา ซึ่งไตรสิกขาก็คือการเจริญสติปัฏฐานระลึกลักษณะของสภาพธรรมที่มีจริงในขณะนี้ ขณะนั้นชื่อว่าเจริญไตรสิกขา จึงไม่ได้หมายความว่าจะต้องทำศีล แล้วค่อยทำสมาธิ และอบรมปัญญา แต่อาศัยการฟังเรื่องสภาพธรรม เข้าใจขั้นการฟังเรื่องสติปัฏฐาน เมื่อปัญญาเกิดก็รู้ความจริงในขณะนี้ว่าเป็นธรรม ไม่ใช่เรา เป็นไตรสิกขา โดยไม่จำเป็นจะต้องไปสวดมนต์เพื่อเจริญไตรสิกขาเลยครับ เพราะถ้าไม่เข้าใจหนทางการอบรมปัญญา จะทำอะไรก็ตามก็ไม่ใช่ไตรสิกขา ไม่ถึงการเจริญสติปัฏฐานหรือไตรสิกขาได้เลยครับ
๕. พุทธศาสนิกชนในบัดนี้ ค่อนข้างละเว้นเรื่องสมาธิอย่างมาก ชอบแต่จะทำบุญ ถ้าให้นั่งสมาธิจริงๆ ก็ไม่อยากนั่ง นั่งไม่เป็น ทั้งที่เป็นเรื่องจะให้เกิดปัญญาแท้ๆ อาจารย์เห็นว่าอย่างไรบ้างครับ
ถ้ายังไม่เข้าใจ ไม่ศึกษาพระธรรมก่อน แม้แต่คำว่าสมาธิก็ไม่เข้าใจและสำคัญผิดว่า สมาธิเป็นการปฏิบัติ ซึ่งไม่ถูกต้องครับ
เชิญคลิกอ่านที่นี่ครับ ...
จะนั่งสมาธิอีกแล้วครับ
นั่งสมาธิ
๖. "ความเข้าใจอย่างเดียวไม่สามารถทำให้เกิดมรรคเกิดผลได้ หากยังต้องเจริญกุศล ละอกุศลให้ได้เสียก่อน ซึ่งการจะเจริญและละดังกล่าว ต้องอาศัยธรรมเข้ามาช่วยหลายข้ออยู่เหมือนกัน และความเข้าใจที่ได้เรียนรู้มา มันก็เหมือนจะไม่พอ ไม่เต็มไปเสียทุกที" คำพูดดังกล่าวถูกหรือไม่อย่างไรครับ
ความเข้าใจ คือ ปัญญาอย่างเดียว ไม่เกิดมรรคผลได้ ถูกนัยหนึ่งครับ เพราะเพียงปัญญาอย่างเดียวแต่ไม่มีเจตสิกอื่นๆ เช่น ศรัทธา สติ หิริ ที่เป็นคุณความดีประการต่างๆ รวมทั้งบารมีต่างๆ เช่น ทาน ศีล ขันติ เมตตา เป็นต้น ก็ต้องอาศัยกุศลธรรมประการต่างๆ เกื้อหนุนกันก็ทำให้ถึงการบรรลุได้ แต่ปัญญาเป็นพื้นฐาน รากฐาน เพราะอาศัยปัญญาก็ทำให้กุศลธรรมประการต่างๆ เกิดขึ้นครับ และการอบรมปัญญาเป็นเรื่องระยะเวลายาวนาน เพราะสะสมปัญญามาน้อยมาก ดังนั้น ยังไม่เต็มซักที เพราะปัญญายังน้อยอยู่ แต่ค่อยๆ อบรม คือ ฟังพระธรรมต่อไปทีละน้อย ก็จะเต็มได้ เต็มด้วยปัญญาในอนาคต ดังเช่นพระอริยสาวกได้อบรมปัญญาจนบรรลุธรรม เพราะได้อบรมปัญญามาทีละน้อยจนเต็มนั่นเองครับ โดยอาศัยการฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรมครับ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
พระอภิธรรม ไม่ได้มีเฉพาะในงานศพ ทุกขณะเป็นธรรมและเป็นอภิธรรมด้วย สิ่งที่มีจริงในขณะนี้เป็นธรรม เป็นสภาพธรรมที่มีจริง เกิดขึ้นเป็นไปตามเหตุตามปัจจัยไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใครทั้งสิ้น เป็นธรรมที่ละเอียด (อภิธรรม) โดยความเป็นอนัตตาที่หาความเป็นสัตว์เป็นบุคคลตัวตนในสภาพธรรมแต่ละอย่างๆ ไม่ได้เลยซึ่งถ้าไม่ได้ฟัง ไม่ได้ศึกษา ย่อมไม่มีทางที่จะเข้าใจได้เลย จะเห็นได้ว่าในสมัยพุทธกาล ไม่มีการนำพระอภิธรรมมาสวดในงานศพ แต่มีการแสดงพระอภิธรรม แสดงธรรมให้ผู้ฟังผู้ศึกษาได้เข้าใจ พร้อมทั้งมีการศึกษาพระอภิธรรมเพื่อความเข้าใจสภาพธรรมที่มีจริงอย่างถูกต้องตามความเป็นจริง ดังนั้น การนำพระอภิธรรมมาสวดในงานศพ เป็นประเพณีที่มีขึ้นในภายหลัง มีประโยชน์ ไม่ใช่ว่าจะไม่มีประโยชน์ แต่จะเป็นประโยชน์ก็ต่อเมื่อใครก็ตามที่มีโอกาสได้ฟังแล้ว ไม่รู้เรื่อง แต่มีความประสงค์ที่จะรู้เรื่องในสิ่งที่พระท่านสวดนั้น ก็เป็นเหตุให้ตนเองได้มาฟัง ได้มาศึกษา เพื่อความเข้าใจที่ถูกต้องยิ่งขึ้น ไม่ใช่เพียงแค่ฟังคำบาลีเท่านั้น แล้วก็ผ่านไปโดยไม่ได้ฉุกคิดว่าที่ท่านนำมากล่าวนำมาแสดงนั้น คือ อะไร มีความละเอียดลึกซึ้งมากน้อยแค่ไหน ซึ่งเมื่อยังไม่รู้ ยังไม่เข้าใจ ก็ต้องฟัง ต้องศึกษาด้วยความละเอียดรอบคอบ เป็นการสะสมปัญญาความเข้าใจถูกเห็นถูกไปทีละเล็กทีละน้อย ขณะที่ความเข้าใจเกิดขึ้นนั้น สภาพธรรมที่ดีงามต่างๆ ก็เกิดพร้อมกับปัญญาด้วย โดยไม่ต้องไปทำไปบังคับเลย แต่เกิดขึ้นเป็นไปตามเหตุตามปัจจัย สิ่งสำคัญ คือ ฟัง ศึกษาพระธรรม เพื่อความเข้าใจถูกเห็นถูกยิ่งขึ้นต่อไป ครับ
... ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ ...
ขอบคุณอาจารย์ทุกท่านมากครับ ผมคิดเห็นว่าตอนนี้ไม่ค่อยมีใครสนใจเรื่องการศึกษาธรรมแล้ว อาจเพราะเห็นว่าเป็นเรื่องล้าสมัย หรือสนใจก็ไม่ตั้งใจศึกษาเท่าไร เพราะเห็นว่าเอาไปทำมาหากินไม่ได้ ไม่ต้องพูดว่าจะไปปฏิบัติอะไรอย่างไรเลยครับ น่าเศร้าใจจริงๆ ครับ อาจเพราะเห็นว่าเข้าใจยากเกินไป อีกนัยหนึ่ง คนเป็นอันมากในสมัยนี้ ทำไปเพียงแต่เห็นว่าเคยทำตามๆ กันมาอย่างนี้ จนน่าตกใจว่าไม่ได้พยายามตั้งคำถามหรือสนใจที่จะเข้าถึงสาระแก่นสารที่แท้จริง พระก็ไม่ได้อธิบายหรือเทศน์บอกอะไรมากนัก หรืออาจเป็นเพราะท่านก็ไม่ได้ใส่ใจเหมือนกัน เพราะพระท่านก็ไม่เดือดร้อนอะไร ทำเสร็จก็จบ จบก็ได้ไทยยธรรม อะไรอย่างนี้ เป็นต้น ถูกใจคำตอบนี้ครับ ... "บุญ คือ กุศลจิตที่เกิดขึ้น ขณะที่อยากได้บุญ ขณะนั้นไม่ใช่บุญ แต่เป็นอกุศล การสวดมนต์จุดประสงค์คือความเจริญขึ้นของกุศลและปัญญา" สมัยนี้ทำบุญเกือบทุกที่ มีเจตนาแฝง เป็นการทำบุญที่ไม่บริสุทธิ์เลย เท่าที่ได้เห็นมาจริง คนทำก็อยากได้บุญ พระที่นำก็อยากให้คนเขาเลื่อมใส เป็นที่รู้จักนับถือของคน เมื่อเป็นเช่นนี้ ลาภสักการะก็จะเกิดมีขึ้นแก่ตนฯ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านค่ะ
... สาธุ ...
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ
ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ
ขออนุโมทนาครับ