การอยู่ที่เดิมนานๆ ไม่ดีใช่ไหมครับ
โดย ละอองธรรม  30 ต.ค. 2554
หัวข้อหมายเลข 19940

ผมสังเกตุเวลาผมอยู่พักอาศัย หรือทำอะไรที่เดิม จนรู้สึกว่าผมชิน และรักจะอยู่ตรงนี้

แต่เมื่อวันต้องย้ายสถานที่อาศัย ไปอยู่ในสภาพแวดล้อมไหม่ ใจมักไม่ค่อยสดชื่นเท่าไหร่ คิดถึงบ้านช่องเดิมของเรา บ้านคนผู้คน ไร่ นา ที่ร้านค้า วัดวาอาราม ที่เราคุ้นเคย

แบบนี้การที่เราอยู่ หรือ พำนักในที่เดิมจนเกิดความเคยชิน ทำให้เราเกิดการยึดติดต่างๆ เข้าไปในหัวจิตหัวใจเราใช่ไหมครับ

แบบนี้ทำให้เกิดกิเลสโดยที่เราไม่รู้ตัวหรือเปล่าครับ

แบบนี้จะแก้ได้เวลาเราไปอยู่ในที่ใหนที่มันเคยชิน เราควรย้ายสถานที่พำนักหรือเปล่าครับ จะได้แก้อาการไม่ยึดติด ไม่หลง โดยที่เราไม่รู้ตัว

สำหรับผู้ที่ยังไม่พ้นข้ามกิเลสไปไหน



ความคิดเห็น 1    โดย khampan.a  วันที่ 30 ต.ค. 2554

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ชีวิตประจำวันที่ดำเนินไป สำหรับผู้ที่ยังมีกิเลสอยู่ อกุศลจิตก็ย่อมเกิดขึ้น เป็นไปตามเหตุตามปัจจัย และทุกครั้งที่อกุศลจิตเกิดขึ้น ก็มีกิเลสเกิดร่วมด้วยแล้วตามประเภทของอกุศลจิต นั้นๆ เช่น อกุศลจิตประเภท โลภมูลจิต ก็มีโลภะ (ความติดข้องต้องการ) อหิริกะ (ความไม่ละอาย) อโนตตัปปะ (ความไม่เกรงกลัว) อุทธัจจะ (ความฟุ้งซ่าน ความไม่สงบแห่งจิต) โมหะ (ความหลง,ความไม่รู้) เป็นต้น เกิดร่วมกับอกุศลจิตในขณะนั้น แสดงให้เห็นว่า อกุศลจิต มีจริง กิเลส มีจริง ความติดข้อง ไม่ว่าจะเป็นในที่อยู่อาศัย ญาติสนิทมิตรสหาย วัตถุสิ่งของต่างๆ เป็นต้น เป็นอกุศล แสดงให้เห็นเลยว่า ยากที่จะพ้นไปจากอกุศลได้ เพราะถ้าขณะใดที่กุศลจิตไม่เกิด ขณะนั้นต้องเป็นอกุศล (ถ้าไม่กล่าวถึงขณะที่เป็นวิบาก และ กิริยา) สำหรับผู้ที่ยังมีกิเลส อยู่ที่ไหน ก็มีกิเลส ซึ่งไม่ใชเฉพาะโลภะเท่านั้น มีมากกว่านี้อีก แต่ถ้าเป็นผู้ที่ดับกิเลสได้หมดแล้ว อยู่ที่ไหน ก็ไม่มีกิเลสเกิดขึ้น การติดข้องในที่อยู่อาศัย เป็นอกุศล อย่างไรๆ อกุศลก็เกิดอยู่แล้ว มีมากเป็นอย่างยิ่ง ไหลไปอย่างรวดเร็วทั้งทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย และทางใจ การแก้ปัญหา ไม่ใช่อยู่ที่การย้ายที่อยู่ เพราะถ้าเป็นอย่างนี้ก็จะเป็นผู้อยู่ที่ไหนไม่ได้ตามความเป็นจริงแล้ว อันดับแรกไม่ใช่ให้ไปละโลภะ ไม่ใช่ให้ไปละกิเลส แต่ต้องเข้าใจว่าโลภะ และสภาพธรรมอื่นๆ เป็นธรรมที่มีจริง เกิดขึ้นเป็นไปตามเหตุตามปัจจัย แล้วก็ดับไป ไม่ใช่เรา นี้คือ สิ่งที่สำคัญ และ การที่จะละกิเลสได้นั้น ไม่ใช่ด้วยความเป็นตัวตน และ ไม่ใ่ช่ด้วยความไม่รู้ แต่ต้องด้วยปัญญา ความเข้าใจถูกเห็นถูก เท่านั้น

ชีวิตของแต่ละบุคคล ไม่ว่าจะเป็นบรรพชิต หรือ คฤหัสถ์ ก็จะต้องมีที่อยู่อาศัย เป็นปัจจัยสำคัญประการหนึ่งที่จะทำให้ชีวิตดำเินินไปได้อย่างไม่เดือดร้อน ตามสมควรแก่เพศของตน ๆ ที่อยู่อาศัยจึงเป็นที่พักพิงให้ชีวิตดำเนินต่อไปได้ สิ่งที่ควรจะได้พิจารณา คือ อยู่เพื่ออะไร? เพื่อจะได้เจริญกุศลประการต่างๆ ในชีวิตประจำวัน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง คือ มีโอกาสได้ฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม อบรมเจริญปัญญา สะสมความเข้าใจถูก เห็นถูก ไปตามลำัดับ เพราะชีวิตเป็นสิ่งที่ไม่แน่นอน ความตายจะมาถึงเมื่อใด ไม่มีใครบอกได้ ความเป็นผู้ไม่ประมาทในชีวิต สำคัญที่สุด มีชีวิตอยู่เพื่อสะสมความดี และอบรมเจริญปัญญา ต่อไป ครับ ขอเชิญคลิกฟัง,อ่านคำบรรยายของท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ไ้ด้ที่นี่ครับ จะอยู่อย่างไร ...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...


ความคิดเห็น 2    โดย ละอองธรรม  วันที่ 30 ต.ค. 2554

คุณ khampan.a เวลาอยู่ที่ประเทศไทย กับเวลาไปอยู่ที่เมืองนอก คิดถึงเมืองไทยบ้างไหมครับ ทั้งผู้คน บ้านเรือน อาหาร อากาศ นิสัยคนไทย

หรือถ้าอยู่บ้านเดิมมา30-40ปี แล้วต้องย้ายไปตั้งพำนักอาศัยอยู่ที่อื่น จังหวัดอื่น จะคิดถึงที่เราอยู่อาศัยเดิมบ้างไหมครับ

ความรู้สึกนี้เป็นบ้างไหมครับ


ความคิดเห็น 3    โดย khampan.a  วันที่ 30 ต.ค. 2554

เรียน ความคิดเห็นที่ ๒ ครับ ตามที่คุณละอองธรรมได้กล่าวมา นั้น เป็นจริงทุกประการ และ เป็นธรรมที่มีจริง เป็นธรรมดาจริงๆ ที่จะเป็นอย่างนั้น เพราะตราบใดที่ยังไม่ได้ดับโลภะ ความติดข้องได้อย่างหมดสิ้น โลภะ ก็ย่อมเกิดขึ้นเป็นธรรมดา เป็นธรรมที่เกิดขึ้นทำกิจหน้าที่ ไม่ใช่เรา เพราะทุกขณะ มีแต่ธรรมเท่านั้น หาความเป็นสัตว์ เป็นบุคคล เป็นตัวตน ไม่ได้เลยครับ.


ความคิดเห็น 4    โดย ผู้ร่วมเดินทาง  วันที่ 30 ต.ค. 2554

ขออนุญาตร่วมสนทนาด้วยนะครับ

ผมเห็นว่า จะอยู่ที่ไหน อย่างไร นานเพียงใด คงเจาะจงไม่ได้ เพราะต้องเป็นไปตามเหตุตามปัจจัย

ส่วนจะติดข้องที่อยู่หรือไม่ ก็ห้ามไม่ได้อีก เพราะสะสมมาเช่นนั้น

ได้เพียงแต่ทำความเข้าใจความติดข้องที่เกิดขึ้นเท่านั้นว่าเป็นโลภะซึ่งเป็นอกุศลเกิดที่ขึ้นแล้ว

และก็ต้องศึกษาพระธรรมทำความเข้าใจให้ย่ิงๆ ขึ้นไป โดยบ่อยๆ เนืองๆ ว่า ความติดข้องดังกล่าวก็เป็นเพียงสภาพธรรมที่เกิดขึ้นแล้วก็ดับไปแล้ว

การจะไปทำอะไรเพื่อแก้ความติดข้อง เช่น ย้ายที่อยู่ไปเรื่อยๆ ย่อมไม่ทำให้ความติดข้องหมดไปได้ เพราะ ของเก่าดับไปแล้ว ของใหม่ย่อมเกิดขึ้นอีก

หากไม่มีปัญญาพอที่จะรู้จักและเข้าใจความติดข้อง ความติดข้องก็ยังคงมีขึ้นไปเรื่อยๆ โดยไม่รู้ตัวเลย ดังที่อาจารย์คำปั่นอธิบายไว้อย่างชัดเจนครับว่า ปัญญาเท่านั้นที่จะละกิเลสได้ จึงต้องเจริญปัญญาให้มากยิ่งขึ้น โดยไม่ประมาท

ขออนุโมทนาครับ


ความคิดเห็น 6    โดย paderm  วันที่ 31 ต.ค. 2554

ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย สภาพธรรมที่เป็นกิเลส คือ โลภะ สามารถติดข้องได้ทุกอย่าง เว้น โลกุตตรธรรม

ดังนั้น โลภะ ความยินดี ติดข้อง ก็สามารถติดข้อง แม้ในรูปที่เห็น เสียงที่ได้ยิน สิ่งที

ไ่ด้กลิ่น ที่เป็นสภาพธรรมที่เป็นรูปธรรม อันบัญญัติว่าเป็นสถานที่ เป็นบ้าน เป็นสำนัก

งาน ที่ทำงาน นั่นก็คือสภาพธรรมที่เป็นสิ่งที่ปรากฎทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น

ทางกายนั่นเองครับ เมื่อมีการเสพคุ้นบ่อยๆ ในรูป เสียง กลิ่น รส สิ่งที่กระทบสัมผัส

เดิมๆ (สถานที่นั้น) ก็ย่อมติดข้องมากขึ้น เหนียวแน่น เมื่อมีเหตุต้องไมไ่ด้เห็นในรูปนั้น

ไม่ได้ยินเสียงนั้น ต้องพลัดพราก ก็ต้องเกิดทุกข์ โทมนัสใจ อันมีความติดข้อง โลภะ

เป็นเหตุ เพราะฉะนั้นจึงเป็นธรรมดาที่ย่อมคิดถึง ห่วงใยเศร้าโศกเพราะยังมีกิเลสที่

สะสมมาที่ยังไม่ได้ดับ ซึ่งกิเลสไมไ่ด้เลือกสถานที่ ไม่ได้เลือกเวลา กิเลสสามารถเกิด

ขึ้นได้ เพราะสะสมกิเลสมามาก หนทางการดับกิเลส จึงไม่ใช่การย้ายสถานที่ แต่อยู่ที่

เข้าใจความจริงในสิ่งทีเ่กิดแล้ว คือ ขณะที่สภาพธรรมเกิด ไม่ว่าจะเป็นความคิดถึง

ห้ามให้เกิดไม่ได้ เกิดแล้ว ควรเข้าใจความจริงว่าเป็นธรรม ความรู้สึกไม่สบายมีจริง

หนทางการดับกิเลส คือ ไม่ใช่การห้ามไม่ให้เกิด เพราะต้องเกิด แต่เข้าใจสิ่งทีเ่กิด

แล้ว คือ ความไ่ม่สบายใจว่าเป็นธรรมไม่ใช่เราครับ ค่อยๆ เข้าใจอย่างนี้ ก็จะไม่เดือด

ร้อนกับอกุศลทีเ่กิดขึ้น เพราะเข้าใจว่าเป็นธรรมและศึกษา อบรมปัญญาด้วยเข้าใจ

ความจริงว่าเป็นแต่เพียงสภาพธรรม ไม่ใช่เราครับ ขออนุโมทนาที่ร่วมสนทนา

อุทิศกุศลให้สรรพสัตว์


ความคิดเห็น 7    โดย nong  วันที่ 31 ต.ค. 2554

ขออนุโมทนาค่ะ


ความคิดเห็น 9    โดย ละอองธรรม  วันที่ 31 ต.ค. 2554

ตอบได้ครบประเด็นดีครับ ทีนี้ต้องค่อยๆ แยก ค่อยๆ พิจารณา จากหยาบๆ จับให้เห็นข้อแตกต่างกันให้ชัดเจนก่อน หนาวให้หนาวชัดๆ ร้อนให้ร้อนชัดๆ อันใหนร้อนอันใหนหนาว อันใหนโลภะ แล้วค่อยพิจารณาระดับต่อไป เพราะละเอียดจริงๆ ครับ อนุโมทนาด้วยครับ


ความคิดเห็น 10    โดย เซจาน้อย  วันที่ 1 พ.ย. 2554

ขออนุโมทนาครับ