[เล่มที่ 52] พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๓ - หน้า 208
เถรคาถา ฉักกนิบาต
๑๐. สุมนเถรคาถา
ว่าด้วยคาถาของพระสุมนเถระ
อ่านหัวข้ออื่นๆ ... [เล่มที่ 52]
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๓ - หน้า 208
๑๐. สุมนเถรคาถา
ว่าด้วยคาถาของพระสุมนเถระ
[๓๕๖] เมื่อครั้งเราบวชใหม่ มีอายุได้ ๗ ปีโดยกำเนิด ได้ชนะพระยานาคผู้มีมหิทธิฤทธิ์ด้วยฤทธิ์ ได้ตักน้ำจากสระใหญ่ชื่อว่าอโนดาตมาถวายพระอุปัชฌาย์
ลำดับนั้น พระศาสดาทอดพระเนตรเห็นเราแล้วตรัสว่า ดูก่อน สารีบุตร เธอจงดูกุมารผู้ถือหม้อน้ำมานี้ มีจิตตั้งมั่นดีแล้วในภายใน
สามเณรนี้มีวัตรอันน่าเลื่อมใส มีอิริยาบถงดงาม เป็นศิษย์ของพระอนุรุทธะ แกล้วกล้าด้วยฤทธิ์
เป็นผู้อันพระอนุรุทธะผู้เป็นบุรุษอาชาไนยฝึกให้รู้ได้รวดเร็ว ผู้อันพระอนุรุทธะผู้เป็นคนดี ฝึกให้ดีแล้ว เป็นผู้อันพระอนุรุทธะผู้ทำกิจเสร็จแล้ว แนะนำแล้ว ให้ศึกษาแล้ว
สุมนสามเณรนั้น ได้บรรลุสันติธรรมอันยอดเยี่ยม ทำให้แจ้งซึ่งธรรมอันไม่กำเริบ ปรารถนาอยู่ว่า ใครๆ อย่าพึงรู้จักเรา.
จบสุมนเถรคาถา
อรรถกถาสุมนเถรคาถาที่ ๑๐
คาถาของ ท่านพระสุมนเถระ มีคำเริ่มต้นว่า ยทา นโว ปพฺพชิโต. เรื่องนี้มีเหตุเกิดขึ้นอย่างไร?
แม้พระเถระนี้ก็ได้บำเพ็ญบุญญาธิการไว้ในพระพุทธเจ้าแต่ปางก่อนทั้งหลาย สั่งสมบุญไว้ในภพนั้นๆ ในกาลแห่งพระผู้มีพระภาคเจ้า
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๓ - หน้า 209
พระนามว่าสิขี บังเกิดในตระกูลของนายมาลาการ รู้เดียงสาแล้ว วันหนึ่ง ได้เห็นพระผู้มีพระภาคเจ้าพระนามว่าสิขี มีใจเลื่อมใสได้บูชาด้วยดอกมะลิ.
ด้วยบุญกรรมนั้น เขาท่องเที่ยวไปในเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย ในพุทธุปบาทกาลนี้ ได้ถือปฏิสนธิในเรือนของอุบาสกคนหนึ่ง และอุบาสกผู้นั้นได้เป็นอุปัฏฐากของท่านพระอนุรุทธเถระ ก็ในกาลก่อนแต่นั้น ลูกของเขาพอเกิดก็ตายหมด ด้วยเหตุนั้น เขาจึงเกิดความคิดขึ้นว่า บัดนี้ ถ้าเราจักได้บุตรอีกคน จักให้บวชในสำนักของพระผู้เป็นเจ้าอนุรุทธเถระ.
ก็เด็กในครรภ์นั้น พอล่วงไปได้ ๑๐ เดือนก็เกิด เป็นเด็กไม่ป่วยไข้ เจริญเติบโตมาโดยลำดับ มีอายุได้ ๗ ขวบ บิดาให้เขาบวชในสำนักของพระเถระ ครั้นบวชแล้วแต่นั้น เพราะเป็นผู้มีญาณแก่กล้าท่านจึงบำเพ็ญวิปัสสนากรรมฐาน ไม่นานนักเป็นผู้มีอภิญญา ๖ เมื่อจะบำรุงพระเถระ คิดว่าจักตักน้ำดื่ม จึงได้ถือหม้อน้ำไปยังสระอโนดาตด้วยฤทธิ์.
ลำดับนั้น นาคราชตัวหนึ่งเป็นมิจฉาทิฏฐิ เมื่อจะปิดสระอโนดาต จึงใช้ขนด วง ๗ รอบ แผ่พังพานใหญ่ไว้เบื้องบน ไม่ให้โอกาสท่านสุมนะตักน้ำ. ท่านสุมนะแปลงรูปเป็นครุฑ ชนะนาคราชนั้นแล้วจึงตักน้ำเหาะมุ่งไปยังที่อยู่ของพระเถระ.
พระศาสดาประทับนั่งอยู่ในพระเชตวัน ทรงเห็นพระสุมนะนั้นไป โดยประการอย่างนั้น จึงตรัสเรียกพระธรรมเสนาบดีมาแล้ว ได้ตรัสคุ ของเธอด้วยคาถา ๖ คาถา โดยนัยมีอาทิว่า สารีบุตร เธอจงดูกุมารผู้นี้ ลำดับนั้น พระสุมนเถระได้กล่าวคาถา ๖ คาถา เป็นการพยากรณ์พระอรหัตผลว่า
ขุ. เถร ๒๖/ ข้อ ๓๕๖.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๓ - หน้า 210
เมื่อครั้งเราบวชใหม่ มีอายุได้ ๗ ปีโดยกำเนิด ได้ชนะพระยานาคผู้มีมหิทธิฤทธิ์ด้วยฤทธิ์ ได้ตักน้ำจากสระใหญ่ ชื่อว่าอโนดาต มาถวายพระอุปัชฌาย์.
ลำดับนั้น พระศาสดาได้ทอดพระเนตรเห็นเราแล้วตรัสว่า ดูก่อน สารีบุตร เธอจงดูกุมารผู้ถือหม้อน้ำมานี้ มีจิตตั้งมั่นดีแล้ว ในภายใน.
สามเณรนี้มีวัตรน่าเลื่อมใส มีอิริยาบถงดงาม เป็นศิษย์ของพระอนุรุทธะ แกล้วกล้าด้วยฤทธิ์ เป็นผู้อันพระอนุรุทธะผู้เป็นบุรุษอาชาไนย ฝึกให้รู้ได้รวดเร็ว ผู้อันพระอนุรุทธะผู้เป็นคนดี ฝึกให้ดีแล้ว
เป็นผู้อันพระอนุรุทธะผู้ทำกิจเสร็จแล้ว แนะนำแล้ว ให้ศึกษาแล้ว สุมนสามเณรนั้นได้บรรลุสันติธรรมอันยอดเยี่ยม ทำให้แจ้งธรรมอันไม่กำเริบแล้ว ปรารถนาอยู่ว่า ใครๆ อย่าพึงรู้จักเรา.
บรรดาคาถาเหล่านั้น คาถา ๒ คาถาข้างต้น พระสุมนเถระนั่นแลกล่าวไว้เอง อีก ๔ คาถา พระศาสดาเมื่อทรงเห็นดังนั้นจึงตรัสไว้เป็นการสรรญเสริญท่าน.
พระสุมนเถระรวมคาถาทั้งหมดนั้นเข้าไว้แห่งเดียวกัน แล้วได้กล่าวเนื่องด้วยการพยากรณ์ พระอรหัตผลในภายหลัง.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า ปนฺนคินฺทํ แปลว่า พระยานาค.
บทว่า ตโต ได้แก่ ในกาลนั้น อธิบายว่า ในคราวที่เรายังบวช ใหม่ มีอายุได้ ๗ ปีโดยกำเนิด ได้ชนะพระยานาคผู้มีฤทธิ์มากด้วยพลังแห่งฤทธิ์ นำน้ำจากอโนดาตมาถวายพระอุปัชฌาย์.
พระเถระ เมื่อจะแสดงพระดำรัสที่พระศาสดาของเราตรัสเจาะจงท่าน จึงกล่าวคำอาทิว่า ดูก่อนสารีบุตร เธอจงดูกุมารนี้ เป็นต้น.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๓ - หน้า 211
บทว่า อชฺฌตฺตํ สุสมาหิตํ ความว่า ผู้มีจิตตั้งมั่นดีแล้วด้วยสมาธิ อันสัมปยุตด้วยพระอรหัตผล อันเป็นอารมณ์ภายใน.
บทว่า ปาสาทิเกน วตฺเตน ได้แก่ ด้วยอาจารวัตรอันนำความเลื่อมใสมาให้แก่ผู้เห็นอยู่. คำว่า ปาสาทิเกน วตฺเตน นี้ เป็นตติยาวิภัติใช้ในอรรถแห่งกรณะ แปลว่า ด้วย.
บทว่า กลฺยาณอิริยาปโถ แปลว่า ผู้มีอิริยาบถเรียบร้อย. อีกอย่างหนึ่ง บทว่า ปาสาทิเกน วตฺเตน นี้ เป็นตติยาวิภัติใช้ในลักษณะ อิตถัมภูตะ แปลว่า มี. ความเป็นสมณะ ชื่อว่าสามัณยะ อธิบายว่า สามัญญะ. ชื่อว่าสามเณร ได้แก่ สมณุทเทส เพราะไปคือเป็นไปเพื่อสามัญญะ ความเป็นสมณะนั้น.
บทว่า อิทฺธิยา จ วิสารโท ได้แก่ เป็นผู้ฉลาด คือฉลาดดี แม้ในฤทธิ์.
บทว่า อาชานีเยน ได้แก่ บุรุษอาชาไนย. อธิบายว่า ผู้อันพระอนุรุทธะผู้กระทำกิจเสร็จแล้ว ผู้ชื่อว่าคนดี เพราะทำประโยชน์ตน และประโยชน์คนอื่นให้สำเร็จ กระทำคือฝึกให้เป็นคนดี คือให้สำเร็จประโยชน์ทั้งสอง อีกอย่างหนึ่ง ทำคือฝึกให้เป็นผู้รู้รวดเร็วด้วยดี แนะนำแล้วด้วยวิชชาอันเลิศ ให้ศึกษาแล้วด้วยการให้บรรลุความเป็นพระอเสกขะ.
สุมนสามเณรนั้น ได้รับความสงบอย่างยิ่งคือพระนิพพาน บรรลุแล้วด้วยการบรรลุพระอรหัตมรรค กระทำให้แจ้ง คือทำให้ประจักษ์แก่ตน ซึ่งความเป็นธรรมอันไม่กำเริบ ได้แก่พระอรหัตผล เพราะเป็นผู้ถึงความมักน้อยอย่างยิ่งยวด
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เถรคาถา เล่ม ๒ ภาค ๓ ตอน ๓ - หน้า 212
จึงปรารถนา คือหวังอยู่ว่า อย่าพึงจักเรา คือแม้ใครๆ ก็อย่าพึงรู้จักเราว่า ผู้นี้มีอาสวะสิ้นแล้ว หรือว่า มีอภิญญา ๖ ฉะนี้แล.
จบอรรถกถาสุมนเถรคาถาที่ ๑๐