วันที่ 8 ก.ค. 59 เวลา 04.30 น.ใกล้รุ่ง ขณะหลับภาพฝันเป็นความมืดและมีประกายไฟประมาณไฟแช็คเกิดแล้วดับ ขณะเกิดเป็นประกายไฟมีอัตตาตัวเราเกิด แล้วก็ดับลงอย่างรวดเร็ว เกิดแล้วดับซ้ำสลับไปมา ในฝันเกิดการระลึกในคำสอน โลกเกิดดับรวดเร็วเหมือนฟ้าแลบ หรืองูแลบลิ้น ความเป็นเราเกิดขึ้นแล้วดับลงอย่างรวดเร็ว เปลี่ยนแปลง บังคับบัญชาไม่ได้เลย เอาความเป็นเราจากไหน ความเป็นเราเกิดขึ้นแค่เพียงชั่วแสงแวบที่ปรากฏแล้วก็ดับหายไป แล้วก็แวบเป็นแสงใหม่ ที่ไม่ใช่แสงเดิมอีก วนเวียนอยู่แบบนี้
และก็ตื่นขึ้นรู้ตัวเกิดการรับรู้ทางอายตนะปกปิดความจริงเมื่อสักครู่ เป็นความฝันสอนใจหลังจากกลับมาจากเข้าร่วมสนทนาธรรมสัญจรเมืองเหนือ
ความคิดหรืออะไรก็แล้วแต่ที่เกิดขึ้นมาสอนนี้ มาจากการสะสมการฟังธรรมจากอ.สุจินต์ มาโดยอัตโนมัติแม้ในฝันที่ไม่ได้รับรู้อะไรทางทวารทั้ง 5 ของโลกในขณะนั้น
เขียนเพื่อเตือนทุกท่านว่า การเพียรในการฟังธรรมจากคำสอนที่ตรงและจริงใจ เป็นหนทางในการเข้าใจถึงสภาพธรรมได้จริง เราเดินมาถูกทางแล้ว
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
อย่าเพิ่งคิดว่ารู้แล้ว
ท่านอาจารย์สุจินต์ สำหรับอริยสัจธรรม ทุกคนก็คงจะทราบ สัจจะที่ ๑ คือ ทุกขอริยสัจจะได้แก่การเกิดขึ้นและดับไปของสภาพธรรมะในขณะนี้ ซึ่งจะต้องรู้ด้วยการประจักษ์ มิฉะนั้นไม่ชื่อว่ารู้ทุกข์ ที่เป็นทุกขอริยสัจ อริยสัจที่ ๒ คือ สมุทยอริยสัจจะ ต้องเห็นและต้องเข้าใจให้ถูกต้อง ว่าอะไรเป็นสมุทัย คือ โลภะ ความติดข้อง ซึ่งความติดข้อง ถ้าปัญญาไม่เกิด ผู้นั้นไม่สามารถที่จะละได้เลย เพราะว่าเป็นนายช่างเรือนที่ฉลาดที่สร้างภพชาติใหม่อยู่ตลอดเวลา ตราบใดที่ยังมีโลภะอยู่ ไม่หมดสังสารวัฏฏ์ แต่ว่าโลภะไม่ใช่สิ่งที่จะเห็นได้ง่ายๆ เพราะเหตุว่ามีหลายรูปแบบ ถ้าโลภะในรูป ในเสียง ในกลิ่น ในรส ในโผฏฐัพพะ ก็สามารถจะรู้ได้ แต่กว่าจะรู้ได้ก็ต้องศึกษา เพราะว่าบางคนก็บอกว่า เขาไม่มีโลภะ วันๆ ไม่ได้อยากได้อะไรเลย เฉยๆ แต่เขาไม่เข้าใจเลยว่า ลักษณะของสภาพธรรมะที่เป็นปรมัตถธรรม มีตั้งแต่อย่างละเอียดยิบจนกระทั่งถึงอย่างซึ่งสามารถที่จะเห็นได้ชัดๆ
เพราะฉะนั้น ในขณะที่เห็น ใครสามารถที่จะรู้ว่า ขณะนั้นหลังจากเห็นแล้วติดข้องในสิ่งที่เห็นเป็นประจำตลอดชีวิต แล้วชีวิตหนึ่ง จิตเกิดดับเท่าไร แล้วก็กี่ชาติมาแล้วในแสนโกฏิกัปป์ เพราะฉะนั้น ความรู้ที่จะรู้จริงๆ ในลักษณะของสภาพธรรมะก็คือว่าค่อยๆ ฟังให้เข้าใจ แล้วเป็นผู้ที่ตรงต่อเหตุผล แล้วไม่ว่าจะมีการกระทำใดๆ ทั้งสิ้น ไม่ใช่เรา แต่เป็นปัญญาที่กระทำ อันนั้นจะเป็นความถูกต้อง แต่ถ้าเป็นเราตราบใด ขณะนั้นก็จะมีความเป็นตัวตน แล้วก็ไม่สามารถที่จะเห็นสภาพธรรมะตามความเป็นจริงได้ เพราะเหตุว่าอกุศลธรรมทั้งหมดไม่สามารถจะเห็นสภาพธรรมะตามความเป็นจริง แต่ปัญญาเป็นปัญญินทรีย์ เป็นใหญ่ สามารถที่จะรู้ สามารถที่จะเข้าใจ เมื่อได้อบรมแล้ว สามารถที่จะประจักษ์การเกิดดับของสภาพธรรมะในขณะนี้ได้
เพราะฉะนั้น จะรีบร้อนไหมคะ เป็นไปไม่ได้เลยที่ใครจะไปนั่งทำอะไรแล้วก็ประจักษ์การเกิดดับของสภาพธรรมะ โดยที่ไม่มีความรู้ในธาตุซึ่งต่างกัน ซึ่งเป็นนามธาตุและรูปธาตุเสียก่อน
เพราะฉะนั้น ขณะใดก็ตาม ซึ่งเหมือนกับมีลักษณะของสติสัมปชัญญะเกิด แล้วก็มีการรู้ลักษณะของสภาพธรรมะ ใช้คำว่า “เหมือน” เพราะอะไรคะ เพราะเหตุว่าแข็งขณะนี้ มีใครไม่รู้บ้าง แสดงว่าทุกคนรู้ว่าแข็งมี แล้วก็มีความคิดเรื่องแข็งได้ไหม ว่าขณะนั้นเป็นสภาพธรรมะ ทั้งๆ ที่แข็งกำลังปรากฏ อย่างนั้นยังไม่ใช่สติปัฏฐาน เพราะเหตุว่าถ้าขณะที่เป็นสติปัฏฐานต้องหมายความว่า ขณะนั้นกำลังศึกษา ใช้คำว่า “ศึกษา” ซึ่งคนไทยอาจจะคิดว่า ต้องหยิบปากกามาเขียนสิ่งที่ได้ฟัง จำไว้ อ่าน ท่อง แต่ความจริงศึกษาคือค่อยๆ เข้าใจลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏ เพราะว่าฟังมามาก ไม่ทราบกี่ชาติ บางคนก็อาจจะเพิ่งเริ่ม แต่บางคนก็อาจจะฟังมามากแล้ว แต่ถึงจะอย่างไรก็ตาม เครื่องพิสูจน์ก็คือว่า ขณะที่สภาพธรรมะปรากฏ ลักษณะของนามธาตุซึ่งไม่ใช่เราเลย ปรากฏหรือเปล่า หรือว่ายังเป็นเราซึ่งมีสติ แล้วบางคนก็จะใช้คำว่า “ใช้สติ” หรือว่า “ทำสติ” หรือ “เอาสติ” ไว้ตรงนั้น ตรงนี้ ซึ่งทั้งหมดนี้แสดงว่าไม่เข้าใจสภาพธรรมะตามความเป็นจริง ถ้าเข้าใจสภาพธรรมตามความเป็นจริง ต้องไม่ละเลยความหมายของคำว่า “อนัตตา” แล้วความหมายของอนัตตานั้นก็ไม่ได้หมายความว่า ไม่ใช่ตัวตน บังคับบัญชาไม่ได้เท่านั้น แต่ว่ามีลักษณะซึ่งเป็นอนัตตา นามธรรมก็เป็นอนัตตา รูปธรรมก็เป็นอนัตตา
เพราะฉะนั้น ก่อนอื่นที่จะเข้าใจลักษณะความเป็นอนัตตาจริงๆ ก็จะต้องรู้ลักษณะที่เป็นนามธรรมและลักษณะที่เป็นรูปธรรมซึ่งต่างกัน ซึ่งไม่ใช่โดยขั้นการฟังเท่านั้น แล้วก็เอาไปคิด แล้วก็เอาไปจำ แล้วก็เอาไปคิดว่า ขณะนี้สติระลึกที่ลักษณะของสภาพธรรมะนั้น แล้วก็รู้ว่าเป็นนามธรรมและรูปธรรม แต่ที่ไม่ลืมก็คือว่า ตราบใดที่ลักษณะของนามธาตุไม่ปรากฏ รูปธาตุยังไม่ปรากฏความต่างกันตามความเป็นจริง ขณะนั้นต้องอบรมปัญญาต่อไปอีก อย่าเพิ่งไปคิดว่ารู้แล้ว เพราะเหตุว่าถ้ารู้แล้วก็ตัน แล้วจะรู้อะไรอีก ก็ไม่มีการที่จะรู้อะไรอีก แต่ถ้ารู้ว่าขณะนั้นยังไม่ใช่รู้แล้ว ยังจะต้องมีการประจักษ์แจ้งในลักษณะของนามธาตุและรูปธาตุ ก็จะทำให้คนนั้นค่อยๆ เข้าใจ ลักษณะซึ่งเป็นนามธรรม ของนามธรรมที่กำลังปรากฏ แล้วก็รู้ความต่างกันของนามธรรมและรูปธรรมด้วย
อย่าคิดว่าสติปัฏฐานเกิด
สุ. เอาความเข้าใจ ทิ้งเรื่องสติไปเลย ขณะใดที่เข้าใจสิ่งที่กำลังปรากฏ ขณะนั้นสติปัฏฐานแน่นอน เพราะว่ามีสิ่งที่กำลังปรากฏ แล้วความเข้าใจกำลังเริ่มที่จะเข้าใจ เพราะว่าสติปัฏฐานเขาปกติธรรมดาธรรมชาติเลย ไม่มีการผิดเพี้ยนหวือหวาสักนิดเดียว เป็นแต่เพียงขณะที่เข้าใจสิ่งที่กำลังปรากฏ
นี่เป็นการละ ไม่อย่างนั้นแล้วเราจะมีความตื่นเต้น แล้วคิดว่านั่นเป็นสติ หรืออะไรอย่างนี้ แต่ขณะที่กำลังเข้าใจสิ่งที่กำลังปรากฏตามธรรมดาปกติจริงๆ เพราะฉะนั้นจะทิ้งคำว่า “ปกติ” ไม่ได้ แล้วเราไม่ต้องคิดว่ามากหรือน้อย นานหรือเร็ว ใช่ไหม ขณะที่กำลังเริ่มเข้าใจคือพร้อมกับสติ ต้องมีสติถึงได้เข้าใจ หลังจากนั้นพอเป็นเรื่องเป็นราวที่ไม่เข้าใจ ก็รู้ว่าขณะนั้นไม่ได้เข้าใจ ขณะนั้นไม่ใช่สติปัฏฐาน
เพราะฉะนั้น จะผิดจากการปฏิบัติที่เราไปนั่งทำ ใช่ไหมคะ แล้วมีสิ่งที่เราจะต้องเข้าใจทุกวันทุกคืน ขณะนี้เองเดี๋ยวนี้เองต้องรู้ทางตา ถ้าไม่รู้ ก็ไม่มีทางจะดับกิเลสอะไรที่ไหนทั้งนั้น ในเมื่อสิ่งนี้เกิดมา ตื่นมาก็เห็นอยู่ตลอด แล้วก็ยังไม่ได้เข้าใจ
เพราะฉะนั้น เวลาที่เริ่มเข้าใจ หมายความว่าเริ่มที่จะรู้ความจริงที่ไม่ต้องไปเปลี่ยนแปลงอะไรเลย เป็นของจริงธรรมดาๆ แล้วสติปัฏฐานต้องเป็นธรรมดาทุกอย่างในชีวิตประจำวัน ก่อนที่จะไปเปลี่ยนไปแปลง แต่ถ้ามีการไปเปลี่ยนไปแปลง นั่นคือไม่ใช่สติปัฏฐาน
ขออนุโมทนา
ขอบพระคุณและขออนุโมทนาค่ะ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
พระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง ละเอียด ลึกซึ้งอย่างยิ่ง จึงต้องมีความอดทน จริงใจที่จะฟังที่จะศึกษาพระธรรมต่อไป ไม่ประมาทในแต่ละคำที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง แต่ละคำที่พระองค์ทรงแสดง เกื้อกูลให้เข้าใจสิ่งที่มีจริงๆ ในขณะนี้ ว่าเป็นเพียงสภาพธรรมแต่ละหนึ่งที่เกิดเพราะเหตุปัจจัย ไม่ใช่เรา ไม่ใช่สัตว์บุคคลตัวตนหรือสิ่งหนึ่งสิ่งใด และที่สำคัญ ต้องไม่ลืมว่าจุดประสงค์ของการฟังพระธรรม ว่า เพื่อความเข้าใจถูกเห็นถูก ไม่ใช่เพื่ออย่างอื่น ครับ
...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
กราบนอบน้อมพระรัตนตรัยด้วยเศียรเกล้า
กราบบูชาพระคุณท่านอาจารย์สุจินต์ด้วยความเคารพอย่างสูงยิ่ง
กราบขอบพระคุณยินดีในกุศลอาจารย์วิทยากรทั้ง 2 ท่านด้วยค่ะ
ขออนุโมทนาครับ