การเจริญสติบ่อยๆ กับการระลึกถึงความตายที่ทำให้เราต้องพลัดพรากจากคนที่เรารักก่อนวัยอันควร จะเป็นหนทางทำให้ละคลายความวิกตกกังวลได้หรือไม่คะ มีหนทางอื่นอีกหรือเปล่า
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ควรทราบว่า กิเลส มีมากมาย หลายระดับ และ ปัญญาก็มีหลายระดับเช่นกัน ซึ่ง การละคลายกิเลส เป็นหน้าที่ของสภาพธรรมที่เป็นปัญญา แต่กิเลสมีมาก และมีระดับของกิเลส ที่จะต้องละกิเลสเป็นลำดับ ความวิตกกังวล ความไม่สบายใจ เศร้า โศกเสียใจ เป็นสภาพธรรมที่มีจริงที่เป็นกิเลส คือ โทสะ เป็นกิเลสที่จะสามารถละได้ ไม่เกิดอีกเมื่อถึงความเป็นพระอริยบุคคลขั้นที่ ๓ คือ พระอนาคามี แต่ก่อนจะถึงพระอนาคามีได้นั้นจะต้องถึงความเป็นพระโสดาบัน พระสกทาคามี ก่อน เพราะฉะนั้น ปุถุชนเช่นเราทั้งหลาย แม้พระโสดาบัน และสกทาคามีที่เป็นพระอริยบุคคลขั้นที่ ๑ และ ๒ นั้นก็ยังมีกิเลส คือ ความวิตกกังวล ความเศร้าโศกเสียใจเป็นธรรมดา เมื่อมีเหตุปัจจัยที่พร้อม มีการพลัดพรากจากสิ่งที่รัก เป็นต้น
ดังนั้นผู้ที่เจริญสติปัฏฐาน เจริญสติบ่อยๆ คือ รู้ความจริงของสภาพธรรมที่มีในขณะนี้ว่าเป็นธรรม ไม่ใช่เรา เพียงการที่ค่อยๆ รู้ความจริงว่าเป็นธรรม แม้ ความวิตกกังวลก็เป็นธรรม ความเศร้าโศกก็เป็นธรรม แต่ยังละความวิตกกังวล หรือไม่ให้ความวิตกกังวลไม่เกิด ไม่เศร้าโศก ยังไม่ได้ แต่ค่อยๆ ละคลายกิเลส คือ ความไม่รู้ และ ความเห็นผิดว่า เป็นสัตว์ บุคคล สำคัญผิดว่า เป็นเราที่วิตกกังวล เศร้าโศก ครับ ซึ่ง การละคลายกิเลส ก็มีหลายระดับ ตั้งแต่ชั่วขณะ และ ดับไม่เหลือ ครับ
ขอให้เริ่มจากการฟังพระธรรมไปเรื่อยๆ และเป็นผู้ตรงว่า ยังเป็นธรรมดาที่จะต้องวิตกกังวล เศร้าโศกเรื่องนี้อยู่ เพราะปัญญายังน้อย แม้นางวิสาขา ผู้เป็นพระโสดาบัน หลานตายก็ร้องไห้อย่างมาก ท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี ผู้เป็นพระโสดาบัน ลูกสาวตาย ก็ร้องไห้อย่างมาก เป็นธรรมดา เมื่อเข้าใจว่า แม้เราก็ยังละไม่ได้ แต่ค่อยๆ อบรมปัญญา ไป ทีละน้อย โดยเริ่มจากการฟัง ขณะที่เข้าใจพระธรรม ถามว่าขณะนั้นเศร้าโศก เสีย ใจ วิตกกังวลหรือไม่ ก็ไม่ครับ เพราะกำลังเป็นกุศลคือ ขณะที่เข้าใจ นี่คือการละชั่วขณะแล้ว ซึ่ง การพิจารณาถึงความตาย ก็เป็นการละคลายกิเลสชั่วขณะ ด้วยการพิจารณาว่า แม้ตัวเราก็จะต้องตาย เป็นธรรมดา ส่วนผู้ที่ตายไป มีคนที่เรารัก เป็นต้น เขาก็เกิดแล้วทันที ตายแล้วเกิดทันที จะเกิดเป็นอะไรนั้นก็แล้วแต่กรรม ขณะที่เราวิตก กังวล เศร้าโศก ถึงผู้ที่ตาย เขาก็ไม่ทราบเลยว่าเรากำลังทำอะไร แทนที่จะเศร้าโศก วิตกกังวลถึงคนที่เรารักที่ตายไป ก็ควรจะเศร้าโศกถึงตนเองที่จะต้องตายเป็นธรรมดา เช่นกันครับ นี่คือการพิจารณาในส่วนของความตาย ด้วยปัญญา แต่ก็เป็นเพียงชั่วขณะ เท่านั้น ความเศร้าโศก วิตกกังวลก็ยังเกิดอีกเป็นธรรมดา เพราะมีกิเลสสะสมมามาก
ที่สำคัญ หนทางการละกิเลสและความวิตกกังวลที่ถูกต้อง คือ อบรมปัญญาด้วยการฟังพระธรรม ปัญญาที่เจริญขึ้น ก็จะค่อยๆ เข้าใจความจริงว่า เป็นแต่เพียงธรรมเท่านั้น แทนที่จะไปละ ความวิตกกังวล ซึ่งเหลือวิสัยที่จะละได้ แต่ค่อยๆ เข้าใจความวิตกกังวล ว่า คืออะไร เพราะเป็นแต่เพียงธรรม ไม่ใช่เราวิตกกังวล นี่คือ หนทางการละคลายกิเลส จนสามารถดับความวิตกกังวลจนหมดสิ้นแต่ต้องอาศัยระยะเวลายาวนาน นับชาติไม่ถ้วน เพราะต้องอบรมปัญญามากมาย กว่าจะถึงจุดนั้นครับ
หนทางที่ถูกก็ฟังพระธรรมต่อไป ขณะที่เข้าใจ ขณะนั้นละคลายกิเลสชั่วขณะแล้ว พระธรรมจึงไม่ใช่ยาที่ทานแล้วหายโรคทันที แต่โรคร้ายแรง ก็จะต้องอาศัยการทานยาไปเรื่อยๆ คือ การฟังพระธรรมไปเรื่อยๆ ก็จะหายจากโรคได้ แต่ต้องทานยานานๆ เพียงแต่อย่าไปหาหนทางอื่น หาวิธีอื่น สำคัญว่ายาพิษเป็นยารักษาโรค เพราะไม่มีวิธีใดที่จะละคลายกิเลสได้ นอกจากการฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม ซึ่งการละคลาย กิเลส จะต้องเป็นแบบ ค่อยเป็นค่อยไป ครับ
ขออนุโมทนาที่ร่วมสนทนา
ในพระไตรปิฎกมีแสดงไว้ พระพุทธเจ้าทรงสอนให้ พิจารณาบ่อยๆ เนืองๆ ว่าเรามีความเจ็บไข้เป็นธรรมดา ไม่สามารถล่วงพ้นไปได้ เรามีความแก่เป็นธรรมดา ไม่สามารถล่วงพ้นไปได้ เรามีความตายเป็นธรรมดา ไม่สามารถล่วงพ้นไปได้ เราจะต้องพลัดพรากจากของรัก ของชอบใจทั้งหลาย เรามีกรรมเป็นของๆ ตน ฯลฯ ทำดี หรือทำชั่ว ก็เป็นผู้รับผลแห่งกรรมนั้น ถ้าเราพิจารณาอย่างนี้บ่อยๆ ทำให้ไม่ประมาทค่ะ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ในชีวิตประจำวัน สติปัฏฐาน ไม่ใช่ว่าจะเกิดได้โดยง่าย และไม่ใช่ว่าจะเกิดอยู่ตลอด ต้องเข้าใจว่าสติปัฏฐานซึ่งเป็นการระลึกรู้สภาพธรรมที่มีจริงนั้น เป็นเรื่องของปัญญา ความเข้าใจถูกเห็นถูก จะเกิดขึ้นได้นั้น ต้องมีพื้นฐานของความเข้าใจในเรื่องของสภาพธรรมที่มีจริงในขณะนี้ โดยการฟัง การศึกษาในสิ่งที่มีจริงบ่อยๆ เนืองๆ จึงจะเป็นเหตุให้สติปัฏฐานเกิดได้ ซึ่งเกิดขึ้นเป็นไปตามเหตุตามปัจจัยไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใครทั้งสิ้น
และประการที่สำคัญ มุ่งที่จะเจริญสติปัฏฐานอย่างเดียวนั้น ไม่พอ ต้องไม่ละเลยในการเจริญกุศลประการต่างๆ ในชีวิตประจำวันด้วย ทั้งทาน ศีล และ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง คือ การฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม อบรมเจริญปัญญาสะสมความเข้าใจถูกเห็นถูกไปตามลำดับ เพราะในขณะใดก็ตามที่กุศลจิตเกิด ขณะนั้นอกุศลจิตเกิดไม่ได้ ความวิตกกังวลต่างๆ ก็เกิดไม่ได้ในขณะที่จิตเป็นกุศล ถ้ากุศลจิตไม่เกิดแล้ว ย่อมเป็นโอกาสของการเกิดขึ้นแห่งอกุศลจิต ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่ดีเลยสำหรับอกุศล
แต่ละคนเกิดมาแล้วก็จะต้องละจากโลกนี้ไปด้วยกันทั้งนั้น อยู่ที่ว่าใครจะหายไปก่อนใครเท่านั้นเอง ซึ่งเป็นไปตามเหตุตามปัจจัยอีกเหมือนกัน เพราะความตายเป็นผลของกรรม เกิดขึ้นเพราะกรรมเป็นปัจจัย ดังนั้น ในเมื่อจะต้องตายแน่ๆ ไม่วันใดก็วันหนึ่ง ก็ควรที่จะได้พิจารณาว่า ก่อนที่จะหายจากโลกนี้ไป ควรทำอะไร จึงจะเป็นประโยชน์อย่างแท้จริงสำหรับตนเอง นั่นก็คือ. พึงเป็นคนดี และฟังพระธรรมให้เข้าใจขึ้น ครับ.
..ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...
กราบขอบพระคุณทุกท่านสำหรับทุกคำตอบที่เปี่ยมไปด้วยความเมตตาค่ะ และทำให้ได้เข้าใจธรรมะอย่างถูกต้อง แม้จะเป็นเพียงการเริ่มต้นก็ตาม แต่ถ้าได้เริ่มถูกทาง คงต้องมีสักวันที่ดิฉันจะไปถึงการเข้าใจที่ลึกซึ้งขึ้น และสามารถนำมาปฏิบัติได้จริง
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ