ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
อัญญาณจริยา คืออะไร โดยศัพท์แปลอย่างไร และโดยอรรถมีความหมายอย่างไร ยกตัวอย่างด้วยนะคะ
ขอบพระคุณที่อนุเคราะห์ให้ความรู้ความเข้าใจค่ะ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
คำว่า จริยา ในพระไตรปิฎกพระพุทธองค์ทรงแสดงไว้หลายนัย หนึ่งในนั้น คือ จริยา ๓ ซึ่งเป็นการกล่าวถึงความเป็นไปของสภาพธรรม คือ
๑. วิญญาณจริยา
๒. อัญญาณจริยา
๓. ญาณจริยา
จริยาแรกหมายถึงวิบากจิตและกิริยาจิต จริยาที่ ๒ คือ อัญญาณจริยา หมายเอาอกุศลจิต จริยาที่ ๓ หมายเอาจิตที่ประกอบด้วยญาณโดยตรง ท่านมุ่งหมายเอาวิปัสสนาญาณ
ข้อความบางตอนจากคำบรรยายของท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์
“วิญญาณ” ก็คืออีกคำหนึ่งของ “จิต” เมื่อปฏิสนธิจิตมีเกิดขึ้น ต้องเป็นไปถูกต้องไหมคะ ตั้งแต่เล็ก ตั้งแต่ขณะแรกจนกระทั่งถึง ณ บัดนี้ มีอะไรบ้าง มีเห็น มีได้ยิน มีได้กลิ่น มีลิ้มรส มีรู้สิ่งที่กระทบสัมผัส มีคิดนึก พ้นไปได้ไหมในแต่ละวันต้องเป็นไปอย่างนี้ค่ะ ไม่ว่าจะภพไหนชาติไหน ผลก็คือว่า เห็นแล้ว ได้ยินแล้ว ไม่รู้ไม่เข้าใจ ไม่เห็นถูกในสิ่งที่มีเพราะฉะนั้นก็เพลิดเพลินยินดีติดข้องด้วยอกุศล ไม่ได้สิ่งที่พอใจก็เป็นอกุศล
เพราะฉะนั้นหลังจากที่กล่าวถึง “วิญญาณจริยา” คือ ความเป็นไปเมื่อมี “ปฏิสนธิจิต” แล้วต้องเป็นอย่างนี้ ต้องเห็นต้องได้ยินอย่างนี้ และต่อจากนั้นต้อง มี “อกุศล” อย่างนั้นๆ คือ ไม่โลภะ ก็โทสะ โมหะ จริงไหม ถึงจะมี “กุศล” เกิดบนสวรรค์ก็เหมือนเมื่อเช้านี้แหละค่ะ ก็หมดไปแล้ว หมดไปเลยเร็วมากด้วย แต่ละวันๆ จะกี่วันก็ตามแต่ ก็ไม่มีอะไรเหลือเลย ไม่มีอะไรที่จะยั่งยืนได้เลย
เพราะฉะนั้น ไม่ได้กล่าวถึงกุศลอื่นเลย เพราะถึงแม้มีให้ผลเป็นสุข ก็เพียงแค่เห็น แค่ได้ยินเป็นต้นแล้ว ก็หมดไปๆ ด้วย “วิญญาณจริยา” และ “อัญญาณจริยา” คือ ความไม่รู้จนกว่าจะถึง “ญาณจริยา” ความรู้ถูกความเข้าใจถูก ซึ่งสามารถจะดับอกุศลและดับความเป็นไปของจิตได้นี่คือการตรัสรู้และพระมหากรุณาที่ทรงแสดงธรรมอนุเคราะห์ ต้องเป็นผู้ที่มีบุญแต่ปางก่อน ก็ลองคิดดู มีโอกาสที่จะได้ยินได้ฟัง ได้พิจารณาได้ไตร่ตรอง ได้ค่อยๆ เข้าใจขึ้น โดยที่เมื่อมีความเข้าใจแล้ว และเห็นประโยชน์ ก็จะเพิ่มความเข้าใจขึ้นอย่างนี้ค่ะ อยากจะประจักษ์ลักษณะของสภาพธรรมไหม อยากประจักษ์ได้ไหม ไม่ได้ แล้วอยากทำไม อยากเฉยๆ อยากไปก็เท่านั้น กับการที่ค่อยๆ รู้ขึ้นเข้าใจขึ้น และรู้ตามความเป็นจริง ว่าการที่จะเข้าใจธรรมนี้ไม่ใช่มีตัวเรา หรือ ไม่ใช่เราอยากจะเข้าใจ แล้วก็ไปทำอะไรก็ไม่รู้ ซึ่งไม่รู้จริงๆ แม้ขณะที่ไปก็ไม่รู้ว่า เพราะอยาก เพราะฉะนั้น เมื่ออยากแล้วก็รู้ไม่ได้เลย ตราบใดที่ยังอยาก ไม่สามารถที่จะละ แล้วเห็นสภาพธรรมตามความเป็นจริง เพราะขณะใดที่อยากขณะนั้น “อวิชชา”
เพราะไม่รู้ความจริงของสภาพธรรมที่ปรากฏ เพราะฉะนั้นก็สามารถที่จะเข้าใจถึงการสะสมปัญญาและบารมีอื่นๆ ที่จะทำให้ดับกิเลสได้จริงๆ ไม่เกิดอีกเลย แต่กิเลสมีตั้งหลายระดับ มีอย่างหยาบปรากฏทุกคนก็รู้ และอย่างกลางๆ คนอื่นไม่เห็นไม่รู้ แต่เกิดแล้วคนนั้นรู้ และก็อย่างที่ไม่รู้เลยว่ามี เช่นในขณะที่นอนหลับสนิท ตื่นขึ้นมา มีแล้วค่ะกิเลสมาจากไหน ถ้าไม่มีการสะสม เป็นอนุสัยอยู่ แต่ว่าปัญญาสามารถที่จะดับอนุสัยซึ่งเป็นปัจจัยที่จะให้เกิดอกุศลทุกระดับเพราะฉะนั้น การเข้าใจธรรมไม่ใช่เพียงเข้าใจเล็กน้อย แล้วอยากดับกิเลส เป็นไปได้อย่างไรคะ ต้องเป็นปัญญาที่ละเอียดและรู้จริงการอบรมเจริญอริยมรรคมีองค์ ๘ สามารถที่จะรู้ยิ่งในสภาพธรรมที่ปรากฏทั้งหมดว่าเป็นธรรมตามความเป็นจริง จึงจะดับอนุสัยกิเลส ที่เกิดยึดถือสภาพธรรมว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใดได้ เพราะความจริงไม่ใช่สิ่งหนึ่งสิ่งใดเลยค่ะ เพียงแค่ปรากฏก็หมดแล้ว"
เชิญคลิกอ่านข้อความในพระไตรปิฎกที่นี่ครับ..
อัญญาณจริยา
ขออนุโมทนา
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
อัญญาณจริยา (อัญญาณ = ความไม่รู้, จริยา = ความประพฤติเป็นไป) คือ ความประพฤติเป็นไปด้วยความไม่รู้ ซึ่งก็คือ กล่าวหมายถึงความเกิดขึ้นเป็นไปของอกุศล นั่นเอง เพราะทุกขณะที่อกุศลเกิดขึ้น ไม่ปราศจากความไม่รู้
ความไม่รู้ เป็นสภาพธรรมที่มีจริง เป็นสภาพที่ไม่รู้ในสภาพธรรมที่มีจริงในขณะนี้ว่าเป็นธรรม ไม่ใช่เรา แม้ว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะทรงแสดงพระธรรมโดยนัยของขันธ์ ธาตุ อายตนะ เป็นต้น ก็ไม่พ้นไปจากสภาพธรรมที่มีจริงในขณะนี้ หากไม่ได้ฟังพระธรรม ไม่ศึกษาพระธรรมให้เข้าใจว่า อะไรคือธรรม? ธรรมอยู่ในขณะไหน? เป็นต้น ก็จะไม่เข้าใจความจริงของโลกว่ามีแต่ธรรมเท่านั้น, เมื่อไม่เข้าใจความจริง ย่อมเป็นผู้ไม่ฉลาดในธรรมที่มีในขณะนี้ กล่าวคือไม่รู้ว่าในขณะนี้เป็นธรรม จึงหลงยึดถือสิ่งที่เห็น สิ่งที่ได้ยินที่กำลังปรากฏว่าเป็นเรา เป็นสัตว์ เป็นบุคคล หรือเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด, เมื่อถูกความไม่รู้ครอบงำ ย่อมทำให้ไม่เห็นความจริง ไม่เข้าใจความจริง แม้สภาพธรรมกำลังปรากฏในขณะนี้ก็ไม่รู้ และก็จะสะสมความไม่รู้อย่างนี้อีกต่อไป ตราบใดที่ยังไม่มีโอกาสได้ฟังพระธรรมศึกษาพระธรรมให้เข้าใจ
เป็นสิ่งที่น่าพิจารณาว่าเพราะมีความไม่รู้ เป็นเหตุ จึงทำให้มีการทำอกุศลกรรมประการต่างๆ มากมายมีกายทุจริตเป็นต้น ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่ควรทำเป็นอย่างยิ่ง เพราะเป็นการสะสมเหตุที่ไม่ดีให้กับตนเอง และ เมื่อผลที่ไม่ดีเกิดขึ้นก็เกิดขึ้นกับตนเองเท่านั้น เพราะความไม่รู้ จึงทำในสิ่งที่ไม่ควรทำ เมื่อทำในสิ่งที่ไม่ควรทำ ก็เป็นการตัดโอกาสแห่งการเกิดขึ้นของกุศลธรรม ในชีวิตประจำวัน
แต่ถ้าเป็นปัญญาแล้ว ตรงกันข้ามกับความไม่รู้อย่างสิ้นเชิง เป็นเหตุให้ความดีประการต่างๆ เจริญยิ่งขึ้น ทำให้ได้ในสิ่งที่ควรได้ เพราะกุศลธรรมเจริญ จนกระทั่งสามารถดับกิเลสได้ตามลำดับขั้น ปัญญาหรือวิชชา จึงเป็นธรรมที่นำไปสู่ความดีทั้งปวงอย่างแท้จริง ทำให้เว้นจากสิ่งที่ไม่ดี คือ อกุศลธรรมโดยประการทั้งปวง ปัญญาจะไม่นำพาไปสู่ทางที่ผิดเลยแม้แต่น้อย
สาเหตุที่แต่ละบุคคลยังวนเวียนอยู่ในสังสารวัฏฏ์ เกิดแล้วตาย ตายแล้วเกิด อย่างไม่มีวันสิ้นสุด ก็เพราะยังมีความไม่รู้อยู่นั่นเอง เป็นสภาพที่หุ้มห่อไว้ทำให้ไม่รู้ความจริง เมื่อไม่รู้ความจริงก็มืดมน ไม่สามารถที่เข้าใจสภาพธรรมที่กำลังมีกำลังปรากฏในขณะนี้ได้ ซึ่งจะเห็นได้ว่าในชีวิตประจำวัน อกุศลจิตเกิดมากกว่ากุศลจิต เพราะฉะนั้นแล้ว ความไม่รู้จึงเกิดขึ้นมากทีเดียว เพราะความไม่รู้เกิดร่วมกับอกุศลจิตทุกประเภท ไม่ว่าจะเป็นอกุศลจิตประเภทใดก็ตาม ก็จะไม่ปราศจากความไม่รู้เลย
หนทางเดียวที่จะค่อยๆ ละคลายความไม่รู้ให้เบาบางลงได้ คือ การฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง สะสมปัญญาซึ่งเป็นความเข้าใจถูกเห็นถูกไปตามลำดับ ไม่ละทิ้งโอกาสสำคัญในชีวิต นั่นก็คือ การฟังพระธรรม ด้วยความละเอียดรอบคอบ ไม่ประมาทในแต่ละคำที่เป็นวาจาสัจจะที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง ขณะที่เข้าใจถูกเห็นถูกก็เริ่มละคลายความไม่รู้ไปทีละเล็กทีละน้อย ดังนั้น หนทางที่จะละความไม่รู้ได้ ก็ด้วยการอบรมเจริญปัญญา เท่านั้น หนทางอื่นนอกจากนี้ไม่มี ครับ
...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ
ขออนุโมทนาครับ
กราบอนุโมทนาขอบพระคุณมากค่ะ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ