เพราะไม่รู้...จึงรัก
โดย pannipa.v  1 ก.พ. 2552
หัวข้อหมายเลข 11054

สังสารวัฏฏ์ คือ การเกิดสืบต่อของ ขันธ์ ธาตุ อายตนะ โดยไม่มีวันสิ้นสุด เมื่อจุติแล้ว ก็ปฏิสนธิทันที

แต่ทำไมเมื่อมีคนเกิด เราดีใจ เมื่อมีคนที่รักตาย เราจึงเศร้าโศก และคิดถึง ทั้งๆ ที่ จุติแล้วก็ปฏิสนธิทันที จิตดวงเดียวกัน แต่ทำกิจต่างกันเท่านั้น เพราะไม่ได้ระลึกถึงความจริงอย่างนี้ จึงเศร้าโศกร้องไห้ในความพลัดพรากนั้น

พระผู้มีพระภาคตรัสว่า

ผู้ใดมีสิ่งที่รักหนึ่ง ก็ทุกข์หนึ่ง ผู้ใดไม่มีสิ่งที่รัก ผู้นั้นไม่มีทุกข์ เรากล่าวว่า ผู้นั้นไม่มีกิเลสธุลี ปราศจากอุปายาส ฯ

ความโศกก็ดี ความร่ำไรก็ดี ความทุกข์ก็ดี มากมายหลายอย่างนี้ มีอยู่ในโลก เพราะอาศัยสัตว์ หรือ สังขาร อันเป็นที่รัก ฯ.... ผู้ใดไม่มีสัตว์ หรือสังขารอันเป็นที่รักในโลกไหนๆ ผู้นั้นเป็นผู้มีความสุข ปราศจากความโศก....ฯ

ถ้าไม่มีสัตว์ หรือ สังขารอันเป็นที่รัก สำหรับปุถุชน จะรู้สึกอย่างไร? เราคงเหงา และว้าเหว่มาก เรายังต้องการสัตว์ และ สังขารที่เป็นที่รัก แต่เราไม่ต้องการมีทุกข์ ไม่ต้องการโศก (ได้อย่างไร?) เพราะ ความไม่รู้ (อวิชชา) ...จึงรัก เพราะ อวิชชา จึงต้องตกอยู่ใน ห้วงโอฆะ วนเวียนอยู่ในสังสารวัฏฏ์



ความคิดเห็น 1    โดย prachern.s  วันที่ 2 ก.พ. 2552
ขออนุโมทนาครับ ขณะใดที่ติดข้องต้องการในรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ และธรรมารมณ์ อันเป็นที่รักขณะนั้นชื่อว่าปรารถนาทุกข์ ย่อมไม่พ้นไปจากทุกข์


ความคิดเห็น 3    โดย choonj  วันที่ 2 ก.พ. 2552

เมื่อมีรัก ก็ต้องมี โสกะ ปริเทวกะ ทุกขะ โทมนัสะ อุปายาสะ เกิด แก่ ตาย โศกร่ำไรรำพัน ทุกข์กาย ทุกข์ใจ คับแค้นใจ ไม่เป็นที่รัก เป็นที่รัก ไม่ได้ ได้ ล้วนเป็นทุกข์แต่เมื่อเกิดมาแล้วก็ไม่พ้นมีสุขและมีทุกข์ เมื่อไม่ต้องการทุกข์ ก็ต้องรู้ นี้ทุกข์ นี้เหตุให้เกิดทุกข์ นี้ความดับแห่งทุกข์ นี้มรรค ครับ

ความคิดเห็น 4    โดย ajarnkruo  วันที่ 2 ก.พ. 2552

เพราะไม่รู้ จึงรักเพราะไม่รู้ จึงโศกเพราะไม่รู้ จึงไม่รู้เพราะไม่รู้ จึงศึกษาตามความรู้จากผู้ที่ทรงตรัสรู้จนกว่าจะรู้ว่า รัก โศก ไม่รู้ และอื่นๆ เป็นความจริง เป็นธรรมะทั้งหมด...ขออนุโมทนาครับ...


ความคิดเห็น 5    โดย suwit02  วันที่ 2 ก.พ. 2552

สาธุ

ผมขอเสนอความรักในแบบของพระอริยะ (ไม่ใช่แบบของผมนะครับ)

[เล่มที่ 36] พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย ปัญจก-ฉักกนิบาต เล่ม ๓ - หน้า 535

๑. ปฐมสาราณียสูตรว่าด้วยสาราณียธรรม ๖ ประการ [๒๘๒] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สาราณียธรรม ๖ ประการนี้ ๖ ประการเป็นไฉน? คือ ภิกษุในธรรมวินัยนี้ เข้าไปตั้งกายกรรมประกอบด้วยเมตตาในเพื่อนพรหมจรรย์ ทั้งหลาย ทั้งต่อหน้าและลับหลัง. แม้ข้อนี้ก็เป็นสาราณียธรรม.

อีกประการหนึ่ง ภิกษุเข้าไปตั้งวจีกรรมประกอบด้วยเมตตา ในเพื่อนพรหมจรรย์ทั้งหลาย ทั้งต่อหน้าและลับหลัง แม้ข้อนี้ก็เป็นสาราณียธรรม.

อีกประการหนึ่ง ภิกษุเข้าไปตั้งมโนกรรมประกอบด้วยเมตตา ในเพื่อนพรหมจรรย์ ทั้งหลาย ทั้งต่อหน้าและลับหลัง แม้ข้อนี้ก็เป็นสาราณียธรรม.

อีกประการหนึ่ง ภิกษุแบ่งปันลาภทั้งหลายที่ประกอบด้วยธรรมได้มาโดยธรรม แม้โดยที่สุดบิณฑบาต ย่อมบริโภคร่วมกันกับเพื่อนพรหมจรรย์ทั้งหลายผู้มีศีล แม้ข้อนี้ก็เป็นสาราณียธรรม.

อีกประการหนึ่ง ภิกษุเป็นผู้มีศีลไม่ขาด ไม่ทะลุ ไม่ด่าง ไม่พร้อย เป็นไท อันวิญญูชนสรรเสริญ อันตัณหาทิฏฐิไม่ยึดถือเป็นไปพร้อมเพื่อสมาธิ เสมอกันกับ เพื่อนพรหมจรรย์ทั้งหลาย ทั้งต่อหน้าและลับหลัง แม้ข้อนี้ก็เป็นสาราณียธรรม.

อีกประการหนึ่ง ภิกษุมีทิฏฐิอันเป็นอริยะ เป็นเครื่องนำออก นำออกไปเพื่อ ความสิ้นทุกข์โดยชอบแก่ผู้กระทำตาม เสมอกันกับเพื่อนพรหมจรรย์ทั้งหลาย ทั้งต่อหน้าและลับหลัง แม้ข้อนี้ก็เป็นสาราณียธรรม

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สาราณียธรรม 6 ประการนี้แล.

จบปฐมสาราณียสูตรที่ ๑


ความคิดเห็น 6    โดย khampan.a  วันที่ 2 ก.พ. 2552

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

อกุศลธรรมทั้งหลาย เป็นสภาพธรรมที่มีโทษ ไม่เป็นไปเพื่อประโยชน์ ไม่ว่าจะเป็นโลภะ โทสะ โมหะ เป็นต้น ก็ตาม ล้วนเป็นสภาพธรรมที่มีโทษด้วยกันทั้งนั้น อกุศล-ธรรมทั้งหลายเกิดขึ้นไปเป็นตามการสั่งสมมาของแต่ละบุคคล ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใคร บางคนเป็นคนที่ชอบอะไรก็ชอบมากๆ หรือบางคนก็เป็นคนหงุดหงิดง่าย ไม่พอใจอยู่บ่อยๆ เนืองๆ ล้วนเป็นไปตามการสะสมมาทั้งนั้น เป็นธรรมที่มีจริงเกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัยแล้วก็ดับไป เมื่อไม่เข้าใจสภาพธรรมตามความเป็นจริงจึงหลงผิดยึดถือสภาพธรรมเหล่านั้นว่าเป็นตัวตนเป็นสัตว์ เป็นบุคคลเป็นเรา แต่แท้ที่จริงแล้วธรรมเป็นธรรม ไม่ใช่เรา ธรรมเป็นชีวิตปกติประจำวัน ไม่มีใครไปห้ามไม่ให้อะไรเกิดขึ้นได้ ความรัก ความติดข้อง ยินดีพอใจ (หรือแม้กระทั่งการมีครอบครัว) ก็เป็นชีวิตที่ปกติ เป็นธรรมที่เกิดขึ้นเป็นไป ไม่มีอะไรที่มาเป็นอุปสรรคขัดขวางความเข้าใจธรรมได้ไม่ว่าจะอยู่ในสถานภาพใดก็ตาม ที่สำคัญคือมีโอกาส ได้ศึกษาพระธรรม ฟังพระธรรมอบรมเจริญปัญญา เพื่อเข้าใจสภาพธรรมตามความเป็นจริง เพื่อความเข้าใจจริงๆ ว่าทุกอย่างเป็นธรรม จนกว่าจะมีปัญญาคมกล้าสามารถที่จะดับความยินดีพอใจ ในรูปเสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ รวมถึงกิเลสประการต่างๆ ได้ในที่สุด เป็นความจริงที่ว่าเพราะบุคคลมีตัณหา (โลภะ) เป็นเพื่อน จึงยังต้องเวียนว่ายตายเกิดอยู่ในสังสารวัฏฏ์อยู่ร่ำไป ไม่พ้นไปจากทุกข์ แต่ถ้าไม่ได้มีการฟังพระธรรม ไม่มีการอบรมเจริญปัญญาแล้ว ย่อมไม่สามารถที่จะดับตัณหา ไม่สามารถที่จะพ้นไปจากทุกข์ ได้เลย ดังนั้น จึงต้องเริ่มที่การอบรมเจริญปัญญา ครับ ...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...

ความคิดเห็น 7    โดย happyindy  วันที่ 2 ก.พ. 2552

เพราะ "ความไม่รู้" แน่ๆ จึงรัก

จึงไม่เห็นว่า "ที่ใดมีรัก ที่นั่นมีทุกข์"

อินดี้ก็ไม่เห็น ... ที่ไม่เห็นเพราะไม่รู้

เลยคงทุกข์เต็มๆ มายาวนานจนหาจุดแรกเริ่มไม่พบ

... แบบเนี้ย ...

เพื่อจะมาพบว่า

... ที่แท้ ความรัก ก็คือความว่างเปล่า ...

เป็นกิเลส ... ที่เติมไม่มีวันเต็ม

กินเท่าไหร่ไม่รู้จักอิ่ม

... แต่กลับ ...

สะสมพอกพูนเป็นความติดข้องเหนียวแน่น

จนพ้นไปจากสังสารวัฏฏ์ไม่ได้

... แต่ว่า ...

ทั้งๆ รู้อย่างนั้น ก็ยัง ... ไม่เข้าใจให้ถูกซะที

จุดสิ้นสุด ... ยังแลมิเห็นเหมือนกัน

(เศร้า)

... แล้วยัง ...

เวลาไม่มีความรัก (โลภะ)

มัน ... เซ็ง

ซะอีกแน่ะ!

(ประเภทแพ้กิเลสแล้วพาล)

(^ _^

เพราะไม่ได้อบรมเจริญปัญญา

ไม่ได้สะสมความเห็นถูก ความเข้าใจถูก

นี่แหละ

... จึงรัก ...

สุขสันต์วันแห่งความรัก ... เอ๊ย!

ขอเมตตาธรรมค้ำจุนโลก นะคะ


ความคิดเห็น 8    โดย ศิณอนงค์  วันที่ 2 ก.พ. 2552
ขออนุโมทนาค่ะ เป็นกระทู้วาเลนไทน์ที่ประเสริฐ

ความคิดเห็น 9    โดย opanayigo  วันที่ 2 ก.พ. 2552

อ่านกระทู้นี้แล้วให้ระลึกถึงข้อความบางตอน ติตถิยสูตร

ราคะมีโทษน้อย แต่คลายช้า

โทสะมีโทษมาก แต่คลายเร็ว

โมหะมีโทษมากด้วย คลายช้าด้วย

เชิญคลิกอ่านเพิ่มเติมได้ที่................

ติตถิยสูตร... เสาร์ที่ ๓๑ มกราคม ๒๕๕๒

อนันเตวาสิกานาจริยสูตร - ติตถิยสูตร (22-07-49)

.....ขอให้รักด้วยปัญญา.....

อนุโมทนาทุกท่านค่ะ


ความคิดเห็น 10    โดย JANYAPINPARD  วันที่ 3 ก.พ. 2552


เชิญคลิกอ่านเรื่องของความรัก


ความคิดเห็น 11    โดย Sam  วันที่ 3 ก.พ. 2552

เพราะรู้ จึงไม่รัก

เมื่อยังรัก แสดงว่ายังไม่รู้

...จึงต้องศึกษาอบรมกันต่อไป...

ขออนุโมทนาครับ


ความคิดเห็น 12    โดย choonj  วันที่ 3 ก.พ. 2552

อ่านความเห็นของอินดี้แล้วน่าสงสาร ทำไมปล่อยให้พาล ให้เซ็ง ให้เศร้า ให้สับสนอยู่ได้ เมื่อรู้อริยสัจจ์สี่ นี้ทุกข์ นี้เหตุให้เกิดทุกข์ นี้ความดับแห่งทุกข์ นี้มรรค

ก็ต้องบริหารให้อยู่เหนือ พาล เซ็ง เศร้า สับสน ฯลฯ เมื่อยังมีคนรักทีต้องดูแลอยู่

หนีรักไม่พ้น ชีวิตก็จะอยู่ด้วยรักได้ อย่าลืมว่าความรักก็ศักดิ์สิทธิ์ เป็นส่วนหนึ่งของ

สัตว์โลก แฮ็บปี้วาเลนไทน์จ้ะ


ความคิดเห็น 13    โดย เมตตา  วันที่ 3 ก.พ. 2552


ความคิดเห็น 14    โดย JANYAPINPARD  วันที่ 3 ก.พ. 2552

ตราบใดที่ยังเป็นเรา...ก็ยังชอบคำว่า ....BE MINE (ของฉัน) ขออนุโมทนาคะ


ความคิดเห็น 15    โดย wannee.s  วันที่ 3 ก.พ. 2552

แม้แต่พระพุทธเจ้าตอนที่เป็นพระโพธิสัตว์ ในวันที่พระองค์จะเสด็จออกบวช ก็แวะไป

ดูลูกชาย ท่านก็ยังเกิดความรู้สึกบ่วงเกิดแล้ว เกิดความรักลูก แต่พระองค์ก็ออกบวชค่ะ


ความคิดเห็น 16    โดย happyindy  วันที่ 3 ก.พ. 2552

เห็นด้วยกับพี่เมตตาในความคิดเห็นของพี่จรรยาค่ะ

ใช่แล้ว

เพราะยังไม่อยากละ

เพราะยัง... ... จึงยังรัก

.
.
.

ก็บอกแล้วว่าเพราะยังไม่รู้

อินดี้เลยยัง

เซ็ง...เศร้า...ทุกข์

ตามธรรมชาติของคนกิเลสหนาปัญญาน้อยอยู่ไงคะคุณชุณห์

และทั้งๆ รู้ว่าโลภะนี่แหละ คือ ก้าวแรกของการติดข้อง

คือ กิเลส ที่ทำให้ยังเวียนว่ายอยู่ในห้วงน้ำใหญ่

แต่ก็ยัง อยู่ดีน่ะ

อกุศล

ขัดออกได้ง่ายๆ ที่ไหน

ยังต้องฟังธรรม

สะสมอบรมเจริญปัญญา

อีกนานแสนนานมากค่ะ

.
.
.

ขออนุโมทนาทุกท่านค่ะ



ความคิดเห็น 18    โดย ch_7698  วันที่ 4 ก.พ. 2552

ที่ใดมีรัก

ที่นั่น

ย่อมมีทุกข์

^^


ความคิดเห็น 19    โดย paderm  วันที่ 4 ก.พ. 2552

ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย

รักเพราะไม่รู้ ไม่รู้จึงรัก รักในความเป็นตัวเรา เป็นสัตว์บุคคลมากที่สุด

อบรมปัญญา อาศัยความรักละความรัก รู้จักตัวความรักว่าเป็นธรรมไม่ใช่เราไม่ใช่ให้ไปละความรักด้วยความเป็นเรา

แต่รู้ว่าไม่ใช่เราแม้ความรัก

นี่คือหนทางละความรัก

เมื่อไม่มีรักก็ไม่มีทุกข์

หนทางเดียวเข้าใจสภาพธรรมที่มีในขณะนี้ว่าเป็นธรรมไม่ใช่เรา พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สคาถวรรค เล่ม ๑ ภาค ๑-หน้าที่ 359

[๒๗๑] พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า ผู้มีทุกข์นั่นแหละ จึงมีความเพลิด-

เพลิน ผู้มีความเพลิดเพลินนั่นแหละ จึงมี ทุกข์ ภิกษุย่อมเป็นผู้ไม่มีความเพลิดเพลิน ไม่มีทุกข์ ท่านจงรู้อย่างนี้เถิด ผู้มีอายุ. อุทิศกุศลให้สรรพสัตว์


ความคิดเห็น 20    โดย pornpaon  วันที่ 5 ก.พ. 2552

เพราะอะไรจึงรัก... เหตุแห่งรัก...

V
v
v

ความรักนั้นย่อมเกิดด้วยเหตุ 2 ประการ

ความรักนั้นย่อมเกิดเพราะอาศัยเหตุ ๒ ประการ

ว่าด้วยสิ่งเป็นที่รัก[ปิยวรรค]

เขารักก็รักมั่ง เขาชังก็ชังตอบ[โคธชาดก]

ขออนุโมทนาในเมตตาจิตของทุกท่านค่ะ


ความคิดเห็น 21    โดย ศุจิกา  วันที่ 5 ก.พ. 2552


ความคิดเห็น 22    โดย ศิณอนงค์  วันที่ 5 ก.พ. 2552

สวัสดีค่ะคุณศุจิกา

ขอบคุณสำหรับลิงค์ที่มีประโยชน์ต่อความเข้าใจพระธรรม

ขออนุโมทนาค่ะ


ความคิดเห็น 23    โดย บัณฑิตทึ่ม  วันที่ 7 ก.พ. 2552

ยอดๆ จริงๆ ๆ ครับ

สาธุครับ อนุโมทนายินดีครับ


ความคิดเห็น 24    โดย hadezz  วันที่ 10 ก.พ. 2552
ขออนุโมทนาค่ะ

ความคิดเห็น 25    โดย คุณ  วันที่ 10 ก.พ. 2552
ขออนุโมทนาค่ะ