บวชเพื่ออะไร หรือ สิ่งใด
ไม่บวชจะมีบาปหรือไม่
บวชเพื่อศึกษาพระธรรมคำสอน อย่างน้อยสึกออกมาอาจได้เป็นคนดี มีสติ มีความสำรวม กาย กิริยา วาจา ใจ มากกว่าเดิม หรือ บวชๆ ไปอย่างนั้นเอง
เคยได้ยินมาว่าถ้าสึกไม่ดูฤกษ์ ไม่มีพระผู้ใหญ่ ทำพิธีให้จะกลายเป็นคนบ้าๆ บอๆ จริงหรือไม่
บวชให้พ่อ แม่ (หรือญาติ) เกาะชายผ้าเหลืองขึ้นสวรรค์ แบบนี้ได้บุญจริงไหม
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
บวชเพื่ออะไร หรือ สิ่งใด บวชเพื่อศึกษาพระธรรมคำสอน อย่างน้อยสึกออกมาอาจได้เป็นคนดี มีสติ มีความสำรวม กาย กิริยา วาจา ใจ มากกว่าเดิม หรือ บวชๆ ไปอย่างนั้นเอง
การบวช หรือ บรรพชา หมายถึง การเว้นทั่ว เว้นทั่วจากกิเลสทั้งปวง ซึ่งจุดประสงค์ ในการบวชที่ถูกต้อง คือ เพื่อสละ ละกิเลสประการทั้งปวง ไม่ใช่เพราะประเพณี หรือ เหตุ อื่นๆ การบวช จึงจะต้องเป็นเรื่องของปัญญาที่เห็นโทษของการครองเรือน จึงสละทุกสิ่งด้วยความเป็นอัธยาศัยที่สะสมมา จึงสละทุกอย่างและอบรมปัญญาเพียงอย่างเดียว เพื่อพ้นจากทุกข์
ดังนั้น พระพุทธเจ้าทรงตรัสกับภิกษุทั้งหลายว่า หากว่ามีใครถามเธอ ว่า เธอบวชเพื่ออะไร เธอจึงตอบเขาว่า เพื่อกำหนดรู้ทุกข์ คือ รู้ทุกข์ คือ สภาพธรรมที่ ปรากฏตามความเป็นจริงว่าเป็นธรรม ไม่ใช่เรา และเป็นไปเพื่อละคลายกิเลสทั้งหมดครับ ดังนั้น การบวชเป็นเพศบรรพชิต จึงต้องมีความจริงใจที่จะบวชเพื่อ สละ ละกิเลสจนหมดสิ้น จึงสละทุกสิ่ง ไม่เป็นดังเช่นคฤหัสถ์อีกแล้วครับ
ไม่บวชจะมีบาปหรือไม่
บาป คือ อกุศลกรรม ที่มีการฆ่าสัตว์ ลักทรัพย์ ประพฤติผิดในกาม มีการล่วงศีล ๕ เป็นต้น ดังนั้น บวช ไม่บวช ไม่ได้ทำให้บาป แต่ความประพฤติของผู้นั้นเอง ที่จะเป็นตัวกำหนดว่าบาป หรือ ไม่บาป ไม่ว่าจะอยู่ในเพศใด ครับ
เคยได้ยินมาว่าถ้าสึกไม่ดูฤกษ์ ไม่มีพระผู้ใหญ่ ทำพิธีให้ จะกลายเป็นคน บ้าๆ บอๆ จริงหรือไม่
ความเป็นบ้า เกิดจากเศษของกรรม ที่มีการดื่มสุรา เป็นต้น หรือ ว่าชาตินี้เกิดจิตฟุ้งซ่านบ่อยๆ ก็ทำให้ถึงความเป็นบ้าได้ ครับ ซึ่ง ความเป็นบ้า จึงไม่ได้เกี่ยวกับฤกษ์หรือ เวลา เพราะ เวลา ดวงดาว ก็เป็นเพียงสมมติกันเท่านั้น ไม่สามารถทำให้ใครเป็นบ้าได้เลย ครับ
บวชให้พ่อ แม่ (หรือญาติ) เกาะชายผ้าเหลืองขึ้นสวรรค์ แบบนี้ได้บุญจริงไหม
คำว่า "เกาะชายผ้าเหลืองขึ้นสวรรค์" ไม่มีในพระไตรปิฎกและคำสอนของพระพุทธเจ้า มีแต่ผู้เป็นบิดา ใกล้ตาย นึกถึงกุศลที่ทำในการถวายผ้ากับบุตร ผู้เป็นพระจึงไปเกิดในสวรรค์ เชิญอ่าน ครับ
ข้อความในพระไตรปิฎกมีดังนี้ครับ
[เล่มที่ 23] พระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย อุปริปัณณาสก์ เล่ม ๓ ภาค ๒ - หน้าที่ 205
อีกคนหนึ่ง ถวายผ้าสาฎกเนื้อหยาบแก่ภิกษุหนุ่มเป็นบุตรวางไว้ใกล้เท้า. ในเวลาใกล้ตาย เขาถือนิมิตในเสียงว่า ปฏะ ปฏะ แม้เขาเกิดใกล้อุสสุทนรก ก็ระลึกถึงผ้านั้นเพราะเสียงเปลวไฟจึงไปเกิดบนสวรรค์.
จากเรื่องในพระไตรปิฎกคือ ผู้เป็นบิดาหรือมารดา ของพระรูปหนึ่ง ได้ถวายผ้ากับพระ ผู้เป็นบุตร เมื่อบิดาหรือมารดาคนนั้นได้ตายไป ไปเกิดในนรกแล้ว แต่เพราะระลึกถึงกุศลได้ทำในขณะนั้นคือ การถวายผ้ากับพระภิกษุผู้เป็นบุตร จึงได้ไปเกิดในสวรรค์
จากที่ผมเล่ามา จะเห็นนะครับว่า ไม่ใช่ว่าเมื่อลูกบวชแล้วก็จะทำให้ผู้เป็นบิดา หรือมารดาได้บุญเพราะลูกบวช แต่ต้องไม่ลืมว่า บุญ คือสภาพจิตที่ดีงาม บุญของใครก็ของคนนั้น จิตของใครก็ของคนนั้น หากลูกบวช แต่ไม่ได้ทำกุศลประการใดเลย จะบอกว่าเป็นบุญไม่ได้ ครับ และหากผู้ที่บวชประพฤติไม่ดี ผู้เป็นบิดา มารดา ก็ต้องบาป ด้วยใช่ไหม คำตอบก็คือ ไม่ใช่ เพราะ บาปของใครก็ของคนนั้นครับ ซึ่งจากตัวอย่างในพระไตรปิฎก แสดงไว้ชัดเจน ว่าผู้ที่เป็นมารดา หรือ บิดาของพระรูปนั้นได้กระทำกุศล คือ การถวายผ้ากับพระผู้เป็นบุตร จะเห็นนะครับว่า ต้องมีการทำกุศล ไม่ใช่ว่าเมื่อลูกบวชก็จะเท่ากับว่า บิดา มารดาจะได้บุญ เกาะชายผ้าเหลืองไปเพราะลูกบวชครับ เมื่อ บิดาหรือมารดา ได้ถวายผ้า บุญสำเร็จแล้ว เมื่อตกนรก แต่ก็ระลึกถึงบุญกุศลที่ได้ถวายผ้า นั่นคือ ระลึกถึงกุศลที่ได้ทำ ไม่ได้นึกถึงการที่ลูกบวชครับ เมื่อระลึกถึงกุศลที่ได้ทำ จิตขณะนั้นเป็นกุศลของผู้นั้นเอง ไม่ใช่จากผู้อื่น เมื่อเป็นกุศลของผู้นั้นเอง ก็เลยทำให้ จุติและไปเกิดในสวรรค์เพราะกุศลของผู้นั้นเองครับ
โดยนัยตรงกันข้าม ก็ไม่ได้หมายความว่าเมื่อลูกบวช บิดา มารดานึกถึงตอนที่ลูกบวชด้วยความยินดี ที่เป็นโลภะก็ได้ เมื่อใกล้ตาย เมื่อตายไป ก็ไปอบายเพราะจิตเศร้าหมอง จะกล่าวว่าเกาะชายผ้าเหลืองไปนรกได้ไหมครับ ดังนั้นจึงไม่ได้อยู่ที่ผู้อื่น ที่ลูกหรือที่ใครที่จะทำให้ไปนรกหรือสวรรค์ แต่การจะเกิดในที่ใด ขึ้นอยู่กับใจของบุคคลนั้นเองว่าก่อนตาย จิตของผู้นั้นเอง เป็นกุศล หรือ อกุศลครับ
ดังนั้น ไม่จำเป็นเลยครับว่า ลูกผู้ชายจะต้องบวช เพราะเป็นเรื่องของอัธยาศัยและปัญญาที่เห็นโทษของกิเลส ผู้ที่มีอัธยาศัยเห็นโทษของกิเลส ก็บวช ตามการสะสม ส่วนผู้ที่ไม่มีอัธยาศัย ก็สามารถอบรมปัญญาในเพศคฤหัสถ์และก็สามารถบรรลุเป็นพระอริยบุคคลได้ เพราะว่า ปัญญาไม่ได้เลือกและไม่ได้จำกัดที่จะเกิดในเพศหนึ่งเพศใด ปัญญาสามารถเกิดได้ กับทุกคน ที่สะสมปัญญามา ครับ
ขออนุโมทนาที่ร่วมสนทนา
ขอขอบพระคุณสำหรับคำตอบดีเยี่ยม
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
บุคคลผู้ที่จะบวชในพระพุทธศาสนา จะต้องเป็นผู้ที่มีความเข้าใจในพระธรรมวินัยที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดง มีอัธยาศัยน้อมไปในความเป็นบรรพชิต เห็นประโยชน์ของการขัดเกลากิเลสที่มีเป็นอย่างมากในเพศของบรรพชิต ซึ่งเป็นเพศที่สูงกว่าคฤหัสถ์ โดยเห็นว่า การอยู่ครองเรือนของคฤหัสถ์ เป็นที่หลั่งไหลมาของอกุศลธรรมทั้งหลาย แล้วจึงสละทุกสิ่งทุกอย่างมุ่งสู่ความเป็นบรรพชิต ซึ่งเป็นอัธยาศัยของบุคคลนั้นจริงๆ ถ้าเป็นอย่างนี้ได้ เป็นไปเพื่อประโยชน์อย่างแน่นอน เป็นที่ชื่นชมอนุโมทนาของชนทั้งหลาย มีมารดา บิดา เป็นต้น ขณะที่เกิดกุศลจิตอนุโมทนาในความดี ก็เป็นกุศลจิตของผู้ที่อนุโมทนา
และที่สำคัญ ความเป็นบรรพชิตไม่ได้อยู่ที่เพศ หรือ เครื่องแต่งกาย แต่อยู่ที่ความเป็นผู้จริงใจในการขัดเกลากิเลส สิ่งที่ควรพิจารณาเป็นอย่างยิ่ง คือ สำคัญ ความเป็นบรรพชิต รักษายาก ถ้าหากว่ารักษาไม่ดี มีการประพฤติปฏิบัติตนไม่สมควรแก่ความเป็นบรรพชิตแล้ว มีแต่จะเป็นโทษแก่ตนเองเพียงอย่างเดียว ในยุคนี้สมัยนี้ จึงเป็นเรื่องที่ยากจริงๆ สำหรับความเป็นบรรพชิตที่บริสุทธิ์บริบูรณ์ และถ้าหากว่าบวชไปแล้ว ไม่สามารถดำรงอยู่ในเพศบรรพชิตต่อไป ก็ลาสิกขาบท (สึก) ออกมาเป็นคฤหัสถ์ จะเป็นวันไหน เวลาไหนก็ได้ ประการที่สำคัญ คือ เพศไหน ก็สามารถที่จะอบรมเจริญปัญญาได้ สามารถที่จะฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม และน้อมที่จะประพฤติปฏิบัติตามได้ทั้งนั้น ที่สำคัญคือ จะเห็นประโยชน์ จะเห็นคุณค่าของพระธรรมหรือไม่? เป็นคฤหัสถ์ที่ดี โดยที่ไม่ประมาทในการเจริญกุศลประการต่างๆ ไม่ขาดการฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม สะสมปัญญาไปตามลำดับเป็นปกติในชีวิตประจำวัน ก็ย่อมเป็นสิ่งที่ดี โดยไม่จำเป็นต้องถือเพศเป็นบรรพชิตก็ได้ การเดินทางในสังสารวัฏฏ์ยังไม่จบสิ้น ก็ต้องจะต้องอบรมเจริญปัญญาต่อไป ครับ
...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...
ขอบคุณด้วยใจ และขออนุโมทนาครับ
ขออนุโมทนา
ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ