พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย เอกนิบาตชาดก เล่ม ๓ ภาค ๒ หน้าที่ ๖๐
๖. อาสิงสวรรค
๑. มหาสีลวชาดก
(ความสำเร็จเกิดจากความพยายาม)
[๕๑] "บุรุษผู้เป็นบัณฑิต ควรพยายามจนกว่า
จะสำเร็จผล ไม่ควรท้อถอย ดูเราเป็นตัวอย่าง
เราปรารถนาอย่างใด ก็ได้อย่างนั้น"
จบ มหาสีลวชาดกที่ ๑.
อรรถกถามหาสีลวชาดกที่ ๑
พระบรมศาสดาเมื่อประทับอยู่ ณ พระเชตวันมหา-
วิหาร ทรงปรารภภิกษุผู้มีความเพียรย่อหย่อน ตรัสพระธรรม-
เทศนานี้ มีคำเริ่มต้นว่า "อาสึเสเถว ปุริโส" ดังนี้.
มีเรื่องย่อว่า พระศาสดาตรัสถามภิกษุนั้นว่า ดูก่อน
ภิกษุ จริงหรือที่ว่า เธอเป็นผู้มีความเพียรย่อหย่อน ครั้นเธอรับ
ว่าจริงพระเจ้าข้า จึงตรัสว่า ดูก่อนภิกษุ เธอบรรพชาในพระศาสนา
อันนำสัตว์ออกจากทุกข์ได้เห็นปานดังนี้แล้ว เหตุใดจึงย่อหย่อน
ความเพียรเสียเล่า ในกาลก่อนบัณฑิตทั้งหลาย แม้จะเสื่อมจาก
ราชสมบัติ ก็ยังดำรงอยู่ในความเพียรของตนนั่นแล กลับทำยศ
แม้สลายไปแล้วให้เกิดขึ้นได้ แล้วทรงนำเอาเรื่องในอดีตมาสาธก
ดังต่อไปนี้ :-
ในอดีตกาล ครั้งพระเจ้าพรหมทัตเสวยราชสมบัติในกรุง
พาราณสี พระโพธิสัตว์เสด็จอุบัติในคัพโภทร (พระครรภ์อันเจริญ)
แห่งอัครมเหสีของพระราชา ในวันเฉลิมพระนาม พระประยูรญาติ
ได้ทรงตั้งพระนามว่า สีลวกุมาร. พอมีพระชนม์ ๑๖ พรรษา
ก็ทรงศึกษาศิลปะสำเร็จเสร็จทุกอย่าง ภายหลังพระราชบิดา
สวรรคต ก็ดำรงราชได้รับเฉลิมพระนามว่า "มหาสีลวราช"
ทรงประพฤติธรรม ทรงเป็นพระธรรมราชา. พระองค์รับสั่ง
ให้สร้างโรงทานไว้ ๖ โรง คือ ๔ โรงที่ประตูพระนครทั้ง ๔ ด้าน
๑ โรงท่ามกลางพระนคร ๑ โรงที่ประตูพระราชวัง ทรงให้ทาน
แก่คนกำพร้า และคนเดินทาง ทรงรักษาศีล ถืออุโบสถ ทรง
สมบูรณ์ด้วยพระขันติ พระเมตตาและพระกรุณา ทรงให้สรรพ-
สัตว์แช่มชื่น ประดุจยังพระโอรสผู้ประทับนั่งเหนือพระเพลา
ให้แช่มชื่นฉะนั้น ทรงครองราชโดยธรรม. มีอำมาตย์ของพระ-
ราชาผู้หนึ่ง ละลาบละล้วงเข้าไปในเขตพระราชฐาน ภายหลัง
ความปรากฏขึ้น อำมาตย์ทั้งหลายพากันกราบทูลให้ทรงทราบ
พระองค์ทรงคอยจับ ก็ทรงทราบโดยประจักษ์ด้วยพระองค์เอง
จึงรับสั่งให้อำมาตย์นั้นเข้ามาเฝ้าแล้ว ตรัสขับไล่ว่า แน่ะ
คนอันธพาล เจ้าทำกรรมไม่สมควรเลย ไม่ควรอยู่ในแว่นแคว้น
ของเรา จงขนเงินทอง และพาลูกเมียของตัวไปที่อื่น.
อำมาตย์นั้นไปพ้นแคว้นกาสี ถึงแคว้นโกศล เข้ารับ
ราชการกะพระเจ้าโกศล ได้เป็นที่ไว้วางพระราชหฤทัยอย่าง
สนิทของพระราชาโดยลำดับ. วันหนึ่งอำมาตย์นั้น กราบทูล
พระเจ้าโกศลว่า ขอเดชะ อันราชสมบัติในกรุงพาราณสี เปรียบ
เหมือนรวงผึ้งที่ปราศจากตัวผึ้ง พระราชาก็อ่อนแอ อาจยึดเอาได้
ด้วยพลพาหนะมีประมาณน้อยเท่านั้น. พระราชาทรงสดับคำ
ของเขาแล้ว ทรงพระดำริว่า ราชสมบัติในกรุงพาราณสีใหญ่โต
แต่อำมาตย์ผู้นี้กล่าวว่า อาจยึดได้ด้วยพลพาหนะมีประมาณ
น้อยเท่านั้น อำมาตย์ผู้นี้ชะรอยจะเป็นคนสอดแนมหรืออย่างไร
น่าสงสัยนัก แล้วมีพระดำรัสว่า ชะรอยเจ้าจะเป็นคนสอดแนม
ละซี. อำมาตย์นั้นกราบบังคมทูลว่า ขอเดชะ ข้าพระพุทธเจ้า
มิใช่เป็นคนสอดแนม ตามที่ข้าพระพุทธเจ้ากราบทูลเป็นความ
จริงทั้งนั้น แม้นพระองค์จะไม่ทรงเชื่อข้าพระพุทธเจ้า ก็โปรดส่ง
คนไปปล้นหมู่บ้านชายแดนดูเถิด พระเจ้าพาราณสีจับคนเหล่านั้น
ได้ ก็จักพระราชทานทรัพย์ส่วนพระองค์แก่คนเหล่านั้น แล้ว
ทรงปล่อย. พระเจ้าโกศลทรงพระดำริว่า อำมาตย์ผู้นี้พูดจา
องอาจยิ่งนัก เราจักทดลองดูให้รู้แน่นอน แล้วก็ทรงส่งคนของ
พระองค์ไป ให้ปล้นหมู่บ้านชายแดนของพระเจ้าพาราณสี. ราช-
บุรุษจับโจรเหล่านั้นได้ คุมตัวไปถวายพระเจ้าพาราณสี. พระ-
ราชาทอดพระเนตรคนเหล่านั้นแล้ว รับสั่งถามว่า พ่อเอ๋ย เหตุไร
จึงพากันปล้นชาวบ้าน ? คนเหล่านั้นกราบทูลว่า ขอเดชะพวก
ข้าพระพุทธเจ้าไม่มีจะกินจึงปล้น. พระราชารับสั่งว่า เมื่อเป็น
เช่นนี้ เหตุไรจึงไม่พากันมาหาเราเล่า ต่อแต่นี้ไปเบื้องหน้า พวก
เจ้าอย่ากระทำเช่นนี้เลยนะ พระราชทานพระราชทรัพย์ส่วน
พระองค์ก็คนเหล่านั้น แล้วปล่อยตัวไป. คนเหล่านั้นพากันไป
กราบทูล ประพฤติเหตุนั้นแด่พระเจ้าโกศล. แม้จะทรงทราบ
เรื่องถึงขนาดนี้ พระเจ้าโกศลก็มิอาจจะทรงยกกองทัพไป ทรง
ส่งคนไปให้ยื้อแย่งในท้องถนนอีก. แม้พระเจ้าพาราณสี ก็คง
ยังทรงพระราชทานพระราชทรัพย์ แก่คนเหล่านั้น แล้วทรงปล่อย
ตัวไปอยู่นั่นเอง. ที่นั้นพระเจ้าโกศลจึงทรงทราบว่า พระราชา
เป็นตั้งอยู่ในธรรม ดีเกินเปรียบ จึงทรงยกพลพาหนะเสด็จออก
ไปด้วยหมายพระทัยว่าจักยึดราชสมบัติเมืองพาราณสี.
ก็ในครั้งนั้น พระเจ้าพาราณสี มีนักรบผู้ยิ่งใหญ่อยู่ประมาณ
พันนาย ล้วนแต่กล้าหาญอย่างเยี่ยม ใครๆ ไม่อาจทำลายได้
เลย แม้ถึงช้างที่ซับมันจะวิ่งมาตรงหน้า ทุกนายก็สู้ไม่ถอย แม้
ถึงสายฟ้าจะฟาดลงมาที่ศีรษะ ทุกนายก็ไม่สะดุ้งหวาดเสียว
ล้วนแต่สามารถจะยึดราชสมบัติทั่วชมพูทวีปมาถวายได้ ในเมื่อ
พระเจ้าสีลวมหาราช ทรงพอพระราชหฤทัย. นักรบเหล่านั้น
ฟังข่าวว่า พระเจ้าโกศลยกทัพมา พากันเข้าเฝ้าพระราชา
กราบทูลว่า ขอเดชะ ข่าวว่า พระเจ้าโกศลหมายพระทัยว่า จะ
ยึดครองราชสมบัติในกรุงพาราณสี ยกกองทัพมา ข้าพระพุทธเจ้า
ทั้งหลายของพระราชทานพระบรมราชานุญาต ยกไปจับองค์
โกศลราชเฆี่ยนเสีย มิให้รุกล้ำล่วงรัฐสีมา ของข้าพระพุทธเจ้า
ได้ทีเดียว. พระเจ้าพาราณสีทรงห้ามว่า พ่อทั้งหลาย ฉันไม่
ต้องการให้คนอื่นลำบากเพราะฉันเลย เมื่อพระเจ้าโกศลอยากได้
ราชสมบัติ ก็เชิญมายึดครองเถิด พวกท่านทั้งหลาย อย่าไปต่อสู้
เลย. พระเจ้าโกศลกรีฑาพลล่วงรัฐสีมาเข้ามายังชนบทชั้นกลาง
พวกอำมาตย์สูรมหาโยธา ก็พากันเข้าเฝ้าพระราชา พร้อมกับ
กราบทูลเช่นนั้นอีกครั้งหนึ่ง. พระราชาก็ทรงห้ามไว้เหมือน
ครั้งแรกนั่นแล. พระเจ้าโกศลยกพลมาตั้งประชิดภายนอกพระนคร
ทีเดียว พลางส่งพระราชสาสน์ มาถึงพระเจ้าสีลวมหาราชว่า
จะยอมยกราชสมบัติให้หรือจักรบ. พระเจ้าสีลวมหาราช ส่ง
พระราชสาสน์ตอบไปว่า เราไม่รบกับท่าน เชิญยึดครองราช-
สมบัติเถิด. พวกอำมาตย์พร้อมกันเข้าเฝ้าพระราชาอีกครั้งหนึ่ง
กราบทูลว่า ขอเดชะ พวกข้าพระพุทธเจ้าจะไม่ยอมให้ พระเจ้า
โกศลเข้าเมืองได้ จะพร้อมกันจับเฆี่ยนเสีย ที่นอกพระนครนั่น
แหละ. พระราชาก็ทรงตรัสห้ามเสียเหมือนครั้งก่อน มีพระกระแส
รับสั่งให้เปิดประตูเมืองทุกด้านแล้ว ก็ประทับเหนือพระราช-
บัลลังก์ในท้องพระโรง พร้อมด้วยอำมาตย์พันนาย. พระเจ้า
โกศลเสด็จเข้าสู่กรุงพาราณสีพร้อมด้วยพลและพาหนะมากมาย.
มิได้ทอดพระเนตรเห็นที่จะเป็นศัตรูตอบโต้แม้สักคนเดียว ก็
เสด็จสู่ทวารพระราชวัง แวดล้อมด้วยหมู่อำมาตย์ เสด็จขึ้นสู่
ท้องพระโรง อันประดับตกแต่งแล้ว ในพระราชวังอันมีทวาร
เปิดไว้แล้ว มีพระกระแสรับสั่งให้จับพระเจ้าสีลวมหาราช ผู้
ปราศจากความผิด ซึ่งประทับนั่งอยู่นั้นพร้อมด้วยอำมาตย์ทั้งพัน
พลางตรัสว่า พวกเจ้าจงไป มัดพระราชานี้กับพวกอำมาตย์ เอา
มือไพล่หลัง มัดให้แน่น แล้วนำไปสู่ป่าช้าผีดิบ ขุดหลุมให้ลึก
เพียงคอ เอาคนเหล่านี้ฝังลงไปแค่คอ กลบเสียไม่ให้ยกมือขึ้นได้
สักคนเดียว ในเวลากลางคืนพวกหมาจิ้งจอกมันพากันมาแล้ว
จักช่วยกันกระทำกิจที่ควรทำแก่คนเหล่านี้เอง. พวกมนุษย์
ทั้งหลาย ฟังคำอาญาสิทธิ์ของโจรราชแล้ว ก็ช่วยกันมัดพระราชา
และหมู่อำมาตย์ ไพล่หลังอย่างแน่นหนา พาออกไป.
แม้ในกาลนั้น พระเจ้าสีลวมหาราช ก็มิใช่ทรงอาฆาต
ก็โจรราช แม้แต่น้อยเลย ถึงบรรดาอำมาตย์แม้เหล่านั้น ที่ถูก
จับมัดจูงไปทำนองเดียวกัน ก็มิได้มีสักคนเดียวที่จะชื่อว่าบังอาจ
ทำลายพระดำรัสของเจ้านายตน. ได้ยินว่า บริษัทของพระเจ้า
สีลวมหาราชนั้น มีวินัยดีอย่างนี้. ครั้งนั้นราชบุรุษของโจรราช
พวกนั้น ครั้นพาพระเจ้าสีลวมหาราช พร้อมด้วยอำมาตย์ไปถึง
ป่าช้าผีดิบแล้ว ก็ช่วยกันขุดหลุมลึกเพียงคอ จักพระเจ้าสีลว-
มหาราชลงหลุมอยู่ตรงกลาง จับพวกอำมาตย์ที่เหลือแม้ทุกคน
ใส่ในหลุมสองข้าง เอาดินร่วนๆ ใส่ทุบจนแน่น แล้วพากันมา.
พระเจ้าสีลวมหาราช ตรัสเรียกพวกอำมาตย์ พระราชทานโอวาท
ว่า พ่อคุณเอ๋ย พวกเจ้าทุกคน จงเจริญเมตตาอย่างเดียว อย่าทำ
ความขุ่นเคืองในโจรราช.
ครั้นถึงเวลาเที่ยงคืน ฝูงหมาจิ้งจอก ต่างก็คิดมุ่งจะกัดกิน
เนื้อมนุษย์ พากันวิ่งมา พระราชาและหมู่อำมาตย์เห็นฝูงหมา-
จิ้งจอกนั้นแล้ว ก็เปล่งเสียงเป็นเสียงเดียวกันทีเดียว. ฝูงหมา-
จิ้งจอกต่างกลัว พากันหนีไป. ครั้นมันเหลียวกลับมาดู ไม่เห็นมี
ใครตามหลังมา ก็พากันกลับมาใหม่. พระราชาและหมู่อำมาตย์
ก็ตะเพิดมันด้วยวิธีนั้น. พวกมันพากันหนีไปถึง ๓ ครั้ง หันมา
ดูอีก รู้อาการที่คนเหล่านั้นแม้แต่คนเดียวก็ตามมาไม่ได้ จึง
สันนิษฐานว่า คนเหล่านี้จักต้องถูกฆ่าแล้ว จึงกล้าย้อนกลับไป
ถึงคนเหล่านั้น จะทำเสียงเอะอะอีก ก็ไม่หนีไป. จิ้งจอกตัวจ่าฝูง
รี่เข้าหาพระราชา ตัวที่เหลือก็พากันไปใกล้พวกอำมาตย์ พระ-
ราชาทรงฉลาดในอุบาย ทรงทราบอาการที่หมาจิ้งจอกนั้นมา
ใกล้พระองค์ ก็ทรงเงยพระศอขึ้น เหมือนกับให้ช่องที่มันจะกัด
ได้ พอมันจะงับพระศอ ก็ทรงกดไว้ด้วยพระหนุอย่างแน่นหนา
ประดุจทับไว้ด้วยหีบยนต์ หมาจิ้งจอกถูกพระราชาผู้ทรงพระ
กำลังดุจช้างสาร กดที่คอด้วยพระหนุอย่างแน่นหนา ไม่สามารถ
จะดิ้นหลุดได้ ก็กลัวตาย จึงร้องดังโหยหวน. ฝูงหมาจิ้งจอก
บริวารได้ยินเสียงนายของตนแล้ว พากันคิดว่า ชะรอยจิ้งจอก
ผู้เป็นนายจักถูกชายผู้นั้นจับไว้ได้ จึงไม่อาจเข้าใกล้หมู่อำมาตย์
ต่างก็กลัวตาย พากันหนีไปหมด. เมื่อหมาจิ้งจอกถูกพระราชา
กดไว้แน่นหนาด้วยพระหนุ เหมือนกับไว้ด้วยหีบยนต์ ดิ้นรน
ไปมาทำให้ดินร่วนที่ทุบไว้แน่นๆ หลวมตัวได้ ทั้งมันเองก็
กลัวตาย จึงเอาเท้าทั้ง ๔ ตะกุยดินที่กลบพระราชาไว้. พระองค์
ทรงทราบอาการที่ดินหลวมตัวแล้ว ก็ทรงปล่อยหมาจิ้งจอกไป.
พระองค์ทรงสมบูรณ์ด้วยกำลังกายดังช้างสาร สมบูรณ์ด้วย
กำลังใจ โคลงพระองค์ไปมา ก็ยกพระหัตถ์ทั้งสองขึ้นมาได้
ทรงเหนี่ยวปากหลุมถอนพระองค์ขึ้นได้ เหมือนวลาหกต้องกระจาย
ด้วยแรงลมฉะนั้น ดำรงพระองค์ได้แล้ว ก็ทรงปลอบหมู่อำมาตย์
ทรงคุ้ยดิน ช่วยให้ขึ้นจากหลุมได้ทั่วกัน พระองค์มีหมู่อำมาตย์
แวดล้อม ประทับอยู่ในป่าช้าผีดิบนั่นเอง.
สมัยนั้น พวกมนุษย์เอาศพไปทิ้งที่ป่าช้าผีดิบ แต่ทิ้งตรง
ที่คาบเกี่ยว แดนยักษ์ ๒ ตน. ยักษ์ทั้ง ๒ ตนนั้น ไม่อาจแบ่ง
มนุษย์ที่ตายแล้วนั้นได้ เกิดวิวาทกันแล้วพูดกันว่า เราทั้งสอง
ไม่สามารถแบ่งกันได้ พระเจ้าสีลวมหาราชพระองค์นี้เป็นผู้
ทรงธรรมพระองค์นี้ จักทรงแบ่งพระราชทานแก่เราได้ พวก
เราจงไปสู่สำนักของพระองค์ แล้วก็จับมนุษย์ผู้ตายแล้วนั้นที่
เท้าคนละข้าง ลากไปถึงสำนักของพระราชา แล้วกราบทูลว่า
ข้าแต่สมมติเทพ ขอพระองค์จงทรงแบ่งร่างมนุษย์ผู้ตายนี้ แก่
ข้าพระองค์ทั้งสองด้วยเถิด. พระเจ้าสีลวมหาราชรับสั่งว่า ดูก่อน
ยักษ์ผู้เจริญ เราจะช่วยแบ่งร่างมนุษย์นี้ให้ท่านทั้งสอง แต่เรา
ยังมีร่างกายไม่สะอาด ต้องอาบน้ำก่อน. ยักษ์ทั้งสองก็ไปเอาน้ำ
ที่อบไว้สำหรับโจรราช มาด้วยอานุภาพของตน ถวายให้พระเจ้า-
สีลวมหาราชสรง แล้วไปเอาผ้าสาฎกของโจรราช ที่พันเก็บไว้
เป็นผ้าทรงของท้าวเธอ มาถวายให้ทรง แล้วไปนำเอาผอบพระ-
สุคนธ์ อันปรุงด้วยคันธชาต ๔ ชนิด มาถวายให้ทรงชะโลมองค์
แล้วไปเอาดอกไม้ต่างๆ ที่เก็บไว้ในผอบทองและผอบแก้ว มา
ถวายให้ทรงประดับ ครั้นพระเจ้าสีลวมหาราชทรงประดับ
ดอกไม้แล้วประทับยืน ยักษ์ทั้งสองก็กราบทูลถามว่า ข้าพระองค์
ต้องทำอะไรอีกพระเจ้าข้า. พระเจ้าสีลวมหาราช ทรงแสดง
พระอาการว่า พระองค์หิว. ยักษ์ทั้งสองก็ไปนำโภชนาหาร
ที่เลิศรส นานาชนิด ที่เขาจัดเตรียมไว้สำหรับโจรราชมาถวาย.
พระเจ้าสีลวมหาราช ทรงสนานพระกาย แต่งพระองค์ ทรง
เครื่องเรียบร้อยแล้ว ก็เสวยพระกระยาหาร ยักษ์ทั้งสองก็ไป
นำน้ำดื่มที่อบแล้ว กับพระเต้าทองพร้อมทั้งขันทอง ที่เขาจัดไว้
สำหรับโจรราช มาถวายให้ทรงดื่ม ครั้นทรงดื่ม บ้วนพระโอษฐ์
และชำระพระหัตถ์แล้ว ก็พากันไปนำพระศรี (ใบพลู) อันปรุง
ด้วยคันธชาต ๕ ประการ ที่จัดไว้สำหรับโจรราชมาถวายให้
ทรงเคี้ยว เสร็จแล้วก็ทูลถามว่า จะให้ข้าพระองค์ทั้งสองกระทำ
อะไรอีกพระเจ้าข้า รับสั่งว่า จงไปนำพระขรรค์อันเป็นมงคล
ที่เก็บไว้บนหัวนอนของโจรราชมา ยักษ์ทั้งสองก็ไปนำมาถวาย
พระเจ้าสีลวมหาราช ทรงรับพระขรรค์ ทรงตั้งซากศพนั้นให้
ตรง ทรงฟันกลางกระหม่อม ผ่าแบ่งเป็นสองซีก พระราชทาน
แก่ยักษ์ทั้งสองคนละเท่าๆ กัน ครั้นแล้วทรงชำระพระขรรค์
เหน็บไว้ที่พระองค์. ฝ่ายยักษ์ทั้งสองกินเนื้อมนุษย์แล้ว ก็อิ่มเอิบ
ดีใจ พากันทูลถามว่า ข้าพระองค์ทั้งสองต้องทำอะไรถวายอีก.
พระเจ้าสีลวมหาราช ทรงรับสั่งว่า ถ้าอย่างนั้น เจ้าทั้งสองจง
แสดงอานุภาพ พาเราไปไว้ในห้องสิริไสยาศน์ ของโจรราช
และพาหมู่อำมาตย์เหล่านี้ไปไว้ที่เรือนของตนๆ เถิด. ยักษ์
ทั้งสองรับกระแสพระดำรัส แล้วพากันปฏิบัติตามนั้น.
ครั้งนั้น โจรราชบรรทมหลับเหนือพระแท่นสิริไสยาศน์
ในห้องอันทรงสิริงดงาม พระเจ้าสีลวมหาราช ก็ทรงเอาแผ่น
พระขรรค์ประหารพระอุทรโจรราช ผู้กำลังหลับอย่างลืมตัว.
ท้าวเธอตกใจตื่นบรรทม ทรงจำพระเจ้าสีลวมหาราชได้ด้วย
แสงประทีป เสด็จลุกจากพระยี่ภู่ ดำรงพระสติมั่น ตรัสกับ
พระเจ้าสีลวมหาราชว่า มหาราชะ ยามราตรีเช่นนี้ ในวังปิด
ประตู มีผู้รักษากวดขัน ทุกแห่งไม่มีว่างเว้นจากเวรยาม พระองค์
เสด็จมาถึงที่นอนนี้ได้อย่างไรกัน ? พระเจ้าสีลวมหาราช ตรัส
เล่าถึงการเสด็จมาของพระองค์ ให้ฟังทั้งหมดโดยพิสดาร โจรราช
สดับเรื่องนั้นแล้วสลดพระทัยนัก ตรัสว่า มหาราชะ ถึงหม่อมฉัน
จะเป็นมนุษย์ ก็มิได้ทราบซึ้งพระคุณสมบัติของพระองค์เลย
แต่พวกยักษ์อันกินเลือดเนื้อของคนอื่น หยาบคายร้ายกาจ ยังรู้
ถึงพระคุณสมบัติของพระองค์ ข้าแต่พระจอมคน คราวนี้ หม่อมฉัน
จะไม่คิดประทุษร้ายในพระองค์ผู้สมบูรณ์ด้วยศีลเช่นนี้อีก พลาง
ทรงจับพระขรรค์ ทำการสบถสาบาน กราบทูลขอขมากับพระเจ้า-
สีลวมหาราช เชิญให้เสด็จบรรทมเหนือพระยี่ภู่ใหญ่ พระองค์
เองบรรทมเหนือพระแท่นน้อย ครั้นสว่างแล้ว ดวงอาทิตย์อุทัย
แล้ว ก็ให้คนนำกลองไปเที่ยวตีประกาศ ให้บรรดาเสนาทุกหมู่
เหล่า และอำมาตย์ พราหมณ์ คฤหบดี ประชุมกัน ตรัสสรรเสริญ
พระคุณของพระเจ้าสีลวะ เปรียบเหมือนทรงชูดวงจันทร์เพ็ญ
ในอากาศขึ้นข้างหน้าของคนเหล่านั้น ทรงขอขมาพระเจ้าสีลวะ
ท่ามกลางบริษัทนั้นอีกครั้งหนึ่ง ทรงเวนคืนราชสมบัติตรัสว่า
ตั้งแต่บัดนี้ไป อุปัทวันตรายที่เกิดแต่โจรผู้ร้าย อันจะบังเกิดแก่
พระองค์ หม่อมฉันขอรับภาระกำจัด ขอพระองค์ทรงเสวยราชย์
โดยมีหม่อมฉันเป็นผู้อารักขาเถิด แล้วทรงลงอาญาแก่อำมาตย์
ผู้ส่อเสียด รวบรวมพลพาหนะ เสด็จไปสู่แว่นแคว้นของพระองค์.
ฝ่ายพระเจ้าสีลวมหาราช ทรงประดับด้วยราชอลังการ
ประทับนั่งเหนือกาญจนบัลลังก์ มีเท้ารองด้วยหนังชะมด ภาย
ใต้พระเศวตฉัตร์ ทอดพระเนตรดูราชสมบัติของพระองค์ ทรง
พระดำริว่า สมบัติอันโอฬารปานนี้ และการกลับได้คืนชีวิต
ของอำมาตย์ ทั้งพันคน แม้นเราไม่กระทำความเพียร จักไม่มี
เลยสักอย่างเดียว แต่ด้วยกำลังของความเพียร เราจึงได้คืนยศนี้
ซึ่งเสื่อมไปแล้ว และได้ให้ชีวิตทานแก่อำมาตย์หนึ่งพัน บุคคล
ไม่ควรสิ้นหวังเสียเลย ควรกระทำความเพียรถ่ายเดียว เพราะ
ผู้ที่กระทำความเพียรแล้ว ย่อมสำเร็จผลอย่างนี้ แล้วตรัสคาถานี้
ด้วยสามารถแห่งอุทาน ความว่า :-
"บุรุษผู้เป็นบัณฑิต พึงหวังอยู่ร่ำไป ไม่
พึงเบื่อหน่าย เราประจักษ์ด้วยตนเอง ว่าปรารถนา
อย่างใด ก็ได้เป็นอย่างนั้นแล้ว" ดังนี้.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า อาสึเสเถว ปุริโส ความว่า บุรุษผู้
เป็นบัณฑิต ต้องกระทำความหวังไว้ด้วยกำลังความเพียรของตน
ว่า เมื่อเราปรารภความเพียรอยู่อย่างนี้ จักพ้นจากทุกข์นี้ ดังนี้.
บทว่า น นิพฺพินฺเทยฺย ปณฺฑิโต ความว่า บุรุษได้นามว่า
เป็นบัณฑิต คือเป็นผู้ฉลาดในอุบาย เมื่อกระทำความเพียรในที่ๆ
ต้องขะมักเขม้น ไม่พึงเบื่อหน่าย คือไม่ควรทำการตัดความหวัง
เสียว่า เราจักไม่ได้ผลของความเพียรนี้เลย ดังนี้.
บทว่า โว ในบทว่า ปสฺสานิ โวห อตฺตาน นี้เป็นเพียง
นิบาต ได้ความว่า วันนี้เราเห็นตนเองเป็นประจักษ์พยาน.
บทว่า ยถา อิจฺฉึ ตถา อหุ ความว่า (เราเห็นตนเป็น
ตัวอย่างอยู่) ว่า ก็เราถูกฝังไว้ในหลุมแท้ๆ ยังพ้นจากทุกข์ได้
ครั้นปรารภสมบัติของตนอีกเล่า เรานั้นก็เห็นตนเอง ลุถึงสมบัติ
นี้แล้ว ในครั้งก่อนเราปรารถนาไว้อย่างใดเล่า ตนของเราก็เป็น
อย่างนั้นแล้วแล ดังนี้.
พระโพธิสัตว์ครั้นตรัสว่า ท่านผู้เจริญทั้งหลาย ธรรมดา
ผลแห่งความเพียร ของท่านผู้สมบูรณ์ด้วยศีลทั้งหลาย ย่อม
สำเร็จได้อย่างน่าอัศจรรย์จริงๆ ดังนี้ ทรงเปล่งอุทานด้วย
คาถานี้ ทรงกระทำบุญทั้งหลายตลอดพระชนม์ แล้วก็เสด็จไป
ตามยถากรรม ด้วยประการฉะนี้.
พระบรมศาสดาครั้นทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแล้ว
ตรัสประกาศ จตุราริยสัจแล้ว ในเมื่อจบจตุราริยสัจ ภิกษุผู้มี
ความเพียรย่อหย่อน ก็ดำรงอยู่ในพระอรหัตตผล. พระบรมศาสดา
ทรงสืบอนุสนธิประชุมชาดกว่า อำมาตย์ชั่วในครั้งนั้น ได้มาเป็น
พระเทวทัตในบัดนี้ อำมาตย์หนึ่งพันได้มาเป็นพุทธบริษัท ส่วน
พระเจ้าสีลวมหาราช ได้แก่เราตถาคต ฉะนี้แล.
จบ อรรถกถามหาสีลวชาดกที่ ๑