อยากเรียนถามว่า เมื่อได้ศึกษาพระธรรม มีความเห็นถูกเข้าใจถูกในหลักธรรม ในขั้นการฟัง มิได้บรรลุเป็นพระอริยบุคคล ในชาติต่อไปจะมีโอกาสมีความเห็นผิด ยึดถือข้อปฏิบัติผิดๆ ในสัทธิอื่นได้หรือไม่ครับ
ในความเห็นของผม คิดว่ามีความเป็นไปได้ที่ ผู้ศึกษาธรรมะที่ถูกต้องและเข้าใจขั้นการฟัง เมื่อยังเวียนว่ายในภพน้อยใหญ่ ย่อมมีโอกาสที่จะกลับไปสู่ความเห็นผิดอีก
ขอฟังคำอธิบายและความเห็นของผู้รู้ด้วยครับ
ตราบใดที่ยังไม่บรรลุมรรคผลเป็นพระอริยบุคคล โอกาสที่จะหันไปยึดถือความเห็นหรือลัทธิอื่นในชาติต่อไปย่อมมีได้ แม้แต่พระโพธิสัตว์ผู้สะสมปัญญามามาก ในชาติที่เป็นโชติปาลยังเห็นผิดตามลัทธิพราหมณ์ และดูหมิ่นพระพุทธเจ้าพระนามว่ากัสสปะดังนั้นถ้าเราเกิดใหม่ในชาติต่อไป ถ้าอยู่ในหมู่มนุษย์ที่เต็มด้วยความเห็นผิด เราย่อมถูกสอนและให้รับความเห็นผิดเหล่านั้นได้แน่นอนครับ
สว่างมา สว่างไป
สว่างมา มืดไป
มืดมา สว่างไป
มืดมา มืดไป
สาธุการครับ
จึงขอเพิ่มเติมจากอาจารย์ study ว่าจะต้องไม่ขาด ทาน ศีล ภาวนา และการเข้าใจถูกที่จะเป็นเหตุสมควรแก่ผลทีคติสมบัติห้ามไว้ เพื่อที่จะไม่ไปเกิดในยุคทีเต็มไปด้วยความเห็นผิด ถูกไหมครับ.
บางคนมาถูกทาง แต่ก็กลับไปทางผิด แม้แต่ในสมัยพุทธกาลก็ยังมี เช่น สุนักขัตตะ
ถึงแม้ว่าจะได้พบได้เห็น ได้ฟังธรรมะจากพระพุทธเจ้า ภายหลังก็กลับไปนับถือลัทธิอื่นค่ะ
ผู้ที่ยังไม่ได้รู้แจ้งอริยสัจจธรรมบรรลุถึงความเป็นพระอริยบุคคลขั้นพระโสดาบันโอกาสที่จะมีความเห็นผิด ก็ย่อมสามารถที่จะเกิดขึ้นได้ แล้วแต่ว่าจะมีมาก หรือ มีน้อย (โดยเฉพาอย่างยิ่ง ความเห็นผิดที่ยึดถือสภาพธรรมว่าเป็นเรา เป็นตัวตนเป็นสัตว์บุคคล) ขณะที่ศึกษาพระธรรม ฟังพระธรรม ย่อมเป็นความเข้าใจถูก เริ่มที่จะมีความเห็นถูกแทนความเห็นผิด จนกว่าจะมีความเข้าใจเพิ่มขึ้นๆ ซึ่งจะต้องอาศัยกาลเวลาที่ยาวนานในการอบรมเจริญปัญญาอย่างแท้จริง การที่ค่อยๆ เข้าใจธรรมเพิ่มขึ้นๆ นั้นดีกว่าที่จะไม่มีหนทางเลย ถ้าจะเปรียบเทียบให้เห็นอย่างชัดเจน ก็จะเปรียบเทียบได้ว่า ขณะที่เรายังวนเวียนอยู่ในสังสารวัฏฏ์นั้น การที่เราไม่มีหนทางก็เหมือนกันการที่เราตกไปในเหวลึกที่ไม่มีทางขึ้นและมืดสนิท
เมื่อเราตกไปในเหวลึกแล้ว เราไม่ควรที่จะอยู่เฉยๆ โดยไม่ทำอะไรเลย เราควรที่จะค่อยๆ ไต่ขึ้นมาทีละนิดทีละหน่อย ซึ่งก็เหมือนกับการที่เราเริ่มเข้าใจธรรมเพิ่มขึ้นทีละเล็กทีละน้อยนั่นเอง เพราะเราไม่สามารถที่จะทราบได้ว่า โอกาสที่เราจะเข้าใจธรรม จะเหลืออีกเท่าใด เพราะฉะนั้นแล้ว เวลาที่เหลืออยู่นี้จึงเป็นเวลาที่มีค่าที่สุดในการที่จะให้ตนเองมีความเข้าใจธรรมเพิ่มขึ้น ซึ่งเป็นหนทางเดียวที่จะเป็นไปเพื่อการดับกิเลสได้ ในที่สุด ครับ
...ขออนุโมทนาครับ...
..
ขออนุโมทนา คุณstudy และ คุณ khampan.a มากค่ะ เข้าใจและชัดเจ็นมากค่ะ
ความพยาบาทนั้น ไม่พยาบาทผู้อื่นก็พยาบาทตัวเอง ว่ายังอีกไกลอาจไปไม่ถึง ทำไม่ได้ ขาดปัญญา ยังมีวิบาก ยังต้องไปเกิดอีกหลายภพ กว่าจะเข้าใจธรรม สิ่งเหล่านี้เป็นมิจฉาทิฏฐิ เห็นผิด
เหตุคือ ศึกษามาแล้วยึดมั่น ว่าสูง ว่าต่ำ ว่าไกล ว่าขาด สัญญาปรุงแต่งว่าไกลเป็นอย่างนี้ ขาดเป็นอย่างนี้ สูงเป็นอย่างนี้ ภพเป็นอย่างนี้ การเวียนวายเป็นอย่างนี้
สัญญา คือความจำหมายรู้ ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ ไม่ไช่ตัวตน ถ้ายึดสัญญาว่าสัญญาเที่ยงไม่ทุกข์ เป็นตัวตน เป็นมิจฉาทิฏฐิ
สาธุการครับ
อ้างอิงบางส่วนจากความคิดเห็นที่ ๕ โดย khampan.a
เมื่อเราตกไปในเหวลึกแล้ว เราไม่ควรที่จะอยู่เฉยๆ โดยไม่ทำอะไรเลย เราควรที่จะค่อยๆ ไต่ขึ้นมาทีละนิดทีละหน่อย ซึ่งก็เหมือนกับการที่เราเริ่มเข้าใจธรรมเพิ่มขึ้นทีละเล็กทีละน้อยนั่นเอง เพราะเราไม่สามารถที่จะทราบได้ว่า โอกาสที่เราจะเข้าใจธรรม จะเหลืออีกเท่าใด เพราะฉะนั้นแล้ว เวลาที่เหลืออยู่นี้จึงเป็นเวลาที่มีค่าที่สุดในการที่จะให้ตนเองมีความเข้าใจธรรมเพิ่มขึ้น ซึ่งเป็นหนทางเดียวที่จะเป็นไปเพื่อการดับกิเลสได้ ในที่สุด ครับ ...ขออนุโมทนาครับ...
ชัดเจนและเป็นกำลังใจให้อดทนพากเพียรในหนทางที่ถูกและแสนไกลนี้
* * * * * ขออนุโมทนาค่ะ * * * * *
ขออนุโมทนาค่ะ