ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ขออนุญาตแบ่งปันข้อความธรรม (ปันธรรม) ที่ได้จากการฟังพระธรรมจากท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ในแต่ละครั้ง รวบรวมเป็นธรรมเตือนใจเพื่อศึกษาและพิจารณาร่วมกัน เพื่อความเข้าใจธรรม (ปัญญ์ธรรม) ตามความเป็นจริง ซึ่งเป็นข้อความที่สั้นบ้าง ยาวบ้าง แต่ก็มีอรรถที่สมบูรณ์ พอที่จะเข้าใจได้ควรค่าแก่การพิจารณาอย่างยิ่ง ดังนี้
ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๓๖๓
~ คำพูดสำคัญไหม? พูดดีเป็นกุศล ประกอบด้วยเจตนาที่เป็นกุศลขณะใด ขณะนั้นก็เป็นทางที่จะนำไปสู่สุคติ ด้วยกุศล
~ ใครจะตั้งจิตไว้ชอบ หรือใครจะตั้งจิตไว้ผิดอย่างไร ก็แล้วแต่การสะสมทั้งสิ้น
~ ที่ว่าทำดีมาตลอด ทำเท่าไรก็ไม่พอ ความดีที่คิดว่าทำมามากเท่าไรก็ยังไม่พอ เพราะเหตุว่าอกุศลจิตยังมีโอกาสที่จะเกิดอยู่เรื่อยๆ แล้วทำไมจะคิดถึงความดีในปัจจุบันชาติ ความไม่ดีในอดีตลืมเสียแล้วหรือว่าเคยมีหรือเปล่า ถ้าลืม ก็ควรจะนึกขึ้นได้ว่า สภาพธรรมทั้งหลายที่จะเกิดขึ้นได้นั้นต้องมีเหตุปัจจัย จึงจะเกิดได้ทั้งทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ แต่ละขณะที่จะเกิดขึ้นประสบกับอิฏฐารมณ์ (ที่น่าปรารถนา) บ้าง อนิฏฐารมณ์ (ที่ไม่น่าปรารถนา) บ้างต้องมีเหตุปัจจัยที่ได้กระทำแล้ว แล้วไม่ใช่คนอื่นกระทำ ตนเองเป็นผู้กระทำกรรมนั้น ถ้าจะดูแต่เฉพาะปัจจุบันชาติทำความดีมาโดยตลอด ก็ควรจะคิดเลยไปตลอดชีวิตด้วยว่า อกุศลกรรมก็ย่อมได้เคยกระทำมาแล้ว มิฉะนั้น ผลอย่างนี้ก็จะไม่เกิดขึ้น
~ อย่าให้การคิดหรือคำนึงถึงบุคคลอื่นเป็นอุปสรรคในการที่จะขัดเกลากิเลสของตนเอง และควรที่จะระลึกว่า ความดีที่ได้ทำมาแล้วทั้งหมดไม่พอ ทำเท่าไรก็ยังไม่พออยู่นั่นเอง ถ้าเทียบส่วนกับอกุศลจิตที่เกิดในวันหนึ่งๆ ความดีที่ได้ทำเล็กน้อยเหลือเกิน
~ ถ้าท่านจะถูกใครหลอกลวงสักคนหนึ่ง แล้วก็โกรธแค้นผู้ที่หลอกลวง นั่นเป็นการเพิ่มอกุศลของตนเอง เพราะเหตุว่าไม่ได้รู้ความจริงว่า เป็นกรรมของท่านเองค่ะ ที่ทำให้คนนั้นมาหลอกลวงท่าน ทำไมเขาไม่หลอกลวงคนอื่น ถ้าเขาเป็นนักหลอกลวง เขาก็หลอกลวงไปเรื่อยๆ แต่ทำไมจึงต้องเป็นท่าน ถ้าท่านไม่ได้ทำเหตุไว้ในอดีต เขาก็คงจะหลอกลวงคนอื่นไป คงไม่ถึงคราวของท่าน แต่เมื่อท่านประสบกับเหตุการณ์อย่างนั้น ก็เป็นเครื่องแสดงให้เห็นถึงกรรมของท่านเองที่ได้กระทำแล้ว ว่าท่านเองก็คงได้กระทำกรรมลักษณะอย่างนั้นมาแล้วในอดีต
~ ถ้าในอดีตชาติได้เคยกระทำกรรม เคยสะสมอกุศลอย่างไรมา ชีวิตก็ต้องเป็นไปอย่างนั้น ตราบเท่าที่ยังไม่ได้ฟังพระธรรม ยังไม่ได้เข้าถึงพระธรรม ก็จะต้องเป็นไปตามอกุศลธรรมที่มีกำลังมากกว่า
~ เห็นคุณประโยชน์ของปัญญา ถึงแม้ว่าจะมีลาภ ยศ สรรเสริญ สุข แต่ถ้าปราศจากปัญญา ก็ย่อมเป็นทุกข์ เพราะฉะนั้น ถ้าผู้ใดเห็นคุณค่าของปัญญาจริงๆ ก็ย่อมจะไม่ปรารถนารูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ (สิ่งที่กระทบสัมผัสกาย) เมื่อเจริญกุศล แต่ปรารถนาจะเจริญปัญญาให้ถึงความสมบูรณ์ที่สามารถจะดับกิเลสได้เป็นสมุจเฉท (ถอนขึ้นได้อย่างเด็ดขาด)
~ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ทรงแสดงให้บุคคลหนึ่งบุคคลใดเกิดอกุศลแม้ประเภทหนึ่งประเภทใดเลย ทรงแสดงโทษของอกุศลทั้งปวง เพื่อที่จะให้พุทธบริษัทได้พิจารณาและน้อมประพฤติปฏิบัติตามกำลังของปัญญา แต่ถ้าผู้ใดระลึกได้ สติเกิด ขณะนั้นก็เป็นกุศล แทนอกุศล
~ ถ้าเป็นผู้ที่เข้าใจธรรมจริงๆ จะรู้เลย (ว่า) ชีวิตที่แล้วมาในสังสารวัฏฏ์ มีค่าตรงไหนแต่ละครั้ง แต่ละหนึ่ง ที่เกิดขึ้นแต่ละขณะก็ผ่านไปแล้วก็ไม่กลับมาอีกเลย เดี๋ยวนี้ชาตินี้ เราคิดว่าอะไรมีค่า รักษาไว้แต่เสร็จแล้วก็ไม่ใช่ของเราเพราะฉะนั้น สิ่งที่มีอยู่เดี๋ยวนี้ อะไรมีค่ากว่านั้นประมาณค่าไม่ได้เลย คือ คำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าซึ่งเป็นคำจริงทุกคำ
~ ก่อนบวช ก็ไม่ได้ฟังธรรม ไม่เข้าใจธรรม รู้ไหมว่าบวชเพราะอะไร? บวชเพราะไม่รู้ใช่ไหม? เพราะฉะนั้น ก็เป็นกิเลส และบวชแล้วก็ไม่ศึกษาธรรมด้วยไม่ประพฤติตามพระวินัยด้วย นั่นหรือคือภิกษุ? พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ตรัสเรียก ว่า มหาโจร เพราะเหตุว่า ถ้าเป็นคนธรรมดา ปล้นเขา ชิงเขา เอาของเขามาทันที ใครๆ ก็เห็นพฤติกรรมนั้นว่า เป็นโจร แต่นี่เป็นผู้ที่รับสิ่งของซึ่งเขาให้กับผู้สมควรคือผู้ที่มีชีวิตที่ศึกษาพระธรรมวินัยขัดเกลากิเลส แต่ไม่มีความประพฤติอย่างนั้น เพราะฉะนั้น ก็เหมือนกับลักขโมยเอาของที่เขาให้คนอื่น คือ ผู้ที่มีคุณอย่างนั้นมาเป็นของตนซึ่งไม่มีคุณอย่างนั้นเลย
~ เงินทอง ทำอันตรายแก่ตัวเองที่เป็นภิกษุเพราะเหตุว่าเป็นผู้ที่เป็นผู้ที่ไม่ตรงหลอกลวงตั้งแต่บวช การบวชเพื่อศึกษาพระธรรม และประพฤติตามพระวินัย แต่ถ้าภิกษุใดไม่ศึกษาพระธรรมเลยแล้วจะเป็นภิกษุได้อย่างไร, การบวช ไม่มีความหมายเลย ถ้าไม่เข้าใจธรรม ไม่ขัดเกลากิเลส เพราะฉะนั้น พฤติกรรมว่าใครเป็นพระภิกษุในพระธรรมวินัยหรือใครไม่ใช่ภิกษุในพระธรรมวินัย (พิจารณาได้ว่า) เพียงแค่ความประพฤติที่ไม่ใช่การขัดเกลากิเลส ก็ไม่ใช่ภิกษุในพระธรรมวินัย
~ วัดในภาษาบาลีใช้คำว่า อาราม ต้องเป็นที่อยู่ของ (ภิกษุสามเณร) ผู้ที่เข้าใจธรรม ถ้าไม่เข้าใจธรรมจะอยู่ที่นั่นทำไม จากคฤหัสถ์ซึ่งพรั่งพร้อมด้วยสมบัติเรื่องสนุกสนานต่างๆ แล้วก็สละชีวิตของคฤหัสถ์โดยเด็ดขาด ไม่ยินดีในเงินและทอง ไม่ยินดีในอะไรๆ ทั้งหมดที่เคยเป็นมา กาย วาจา ต้องงามตามพระวินัย
~ พระภิกษุที่ต้องอาบัติ (ล่วงละเมิดพระวินัย) ก็ปลงอาบัติ (แสดงโทษของตน) แล้วไม่ทำอีก แต่ถ้าไม่ปลง ก็ตกนรกแน่เพราะอะไร? (เพราะ) คนธรรมดา ถ้าทำผิดยังตกนรกเลยนี่เป็นพระภิกษุที่ปฏิญาณว่าจะดำรงชีวิตที่ขัดเกลากิเลสในเพศบรรพชิตจึงได้ลาภจากชาวบ้าน เป็นอาหาร เครื่องนุ่งห่ม ทุกอย่างโดยตนเองไม่ต้องแสวงหาอะไรเลยทั้งสิ้น เหมือนกับล่อลวงคนให้หลงเชื่อ ว่าเป็นผู้ที่ทำความดี แต่ไม่ได้ทำเลย
~ ถามภิกษุรูปใดก็ได้ ว่า บวชทำไม จะมีพระภิกษุรูปไหนที่จะตอบว่า บวชเพื่อเข้าใจพระธรรมศึกษาพระธรรมขัดเกลากิเลสในเพศบรรพชิต
~ ถ้าเขาพูดผิด ก็รู้ว่าผิด เพราะมีพระธรรมเป็นที่พึ่ง ได้ฟังพระธรรมแล้วไตร่ตรองแล้วเข้าใจแล้วจึงรู้ว่า คำอื่นซึ่งต่างไปจากคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่ถูกต้อง เพราะฉะนั้น เวลาที่เข้าใจเมื่อไหร่เมื่อนั้นก็เห็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และรู้ว่ามีพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่ง
~ จุดประสงค์ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงบำเพ็ญพระบารมีเพื่อได้รู้ความจริงที่จะดับกิเลส ทรงแสดงหนทางซึ่งใครก็ไม่รู้จักกิเลส ให้ได้รู้จักแล้วก็อดทนที่จะบำเพ็ญเพียรบารมีต่างๆ เพื่อที่จะได้สามารถค่อยๆ เข้าใจความจริง เพราะปัญญาเท่านั้น ที่จะรู้ว่าอะไรถูก อะไรผิด
~ การตรัสรู้ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทำให้ดับกิเลสถึงความบริสุทธิ์อย่างยิ่งคือไม่มีกิเลสใดๆ เหลือเลย เพราะฉะนั้น คำสอนทุกคำเป็นไปเพื่อการค่อยๆ ขัดเกลาละคลายกิเลส
~ กิเลสไม่มีใครจะไปขัดเกลาได้นอกจากปัญญา ปัญญามาจากไหนถ้าไม่มาจากการตรัสรู้ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าและทรงแสดงพระธรรม ๔๕ พรรษา ให้ได้ค่อยๆ เข้าใจถูกต้องทั้งหมดเป็นไปเพื่อการขัดเกลากิเลส
~ คำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าซึ่งเป็นคำจริงใครกล่าวก็คือผู้นั้นต้องฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าและทุกคำเป็นคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ตรัสไว้ดีแล้ว
~ ธรรมดาของคน น้อยคนที่จะได้เกิดเป็นมนุษย์อีก คิดดู คำพูดแค่นี้ น่ากลัวไหม? เพราะว่ากิเลสมีมากทุกวันด้วยความไม่รู้หรือรู้ก็ตาม แต่ก็ยับยั้งไม่ได้ เพราะมีเหตุปัจจัยที่ยังจะต้องเกิดอยู่เพราะเหตุมี ผลก็ต้องมี เพราะฉะนั้น ความไม่ดีทั้งหมดไม่ได้นำไปสู่สุคติ
~ ต้องรู้จริงๆ จึงสามารถที่จะดำรงพระศาสนาไว้ได้และการที่จะให้พระศาสนาดำรงอยู่ ลองคิดดูว่าคุณมหาศาลแค่ไหน เพราะกว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะบำเพ็ญบารมีได้ตรัสรู้ ได้แสดงธรรมจนมาถึงเราได้ ให้เราได้มีโอกาสได้ฟัง ได้เข้าใจถูกต้องแล้วเราจะไม่ประคับประคองช่วยให้คนอื่นได้เห็นถูกอย่างนี้หรือ หรือพากันเห็นผิดไปหมด?
~ ทุกคนที่มีความเข้าใจธรรมแล้วก็มีความเป็นมิตรกับคนอื่นที่ไม่เข้าใจและทำในสิ่งที่ไม่ถูกต้อง เพราะฉะนั้นเราก็ไม่ท้อถอยในการที่จะให้คนอื่นได้เข้าใจด้วย
~ ชีวิตมีค่าที่สุดเมื่อได้เข้าใจพระธรรม ส่วนชีวิตที่ไม่เข้าใจพระธรรม มีแต่จะทำทุจริตต่างๆ และต่ำลงไปในทางทุจริต ในทางอกุศล เพราะความไม่รู้ อะไรจะฉุดทุกคนขึ้นจากความไม่รู้และอกุศล ก็มีทางเดียว คือ การมีโอกาสได้ฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
~ สิ่งที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงมอบให้เป็นมรดกที่ล้ำค่ากับชาวพุทธ ก็คือ คำจริงทุกคำที่เป็นประโยชน์ทั้งพระธรรมและพระวินัย เพราะฉะนั้น ทุกคนถ้าเห็นคุณอย่างนี้ บูชาคุณด้วยความเป็นผู้ตรง ศึกษาธรรมให้เข้าใจ ประกาศคำสอนที่ถูกต้องเพื่อให้คนอื่นได้มีโอกาสได้รู้ได้เข้าใจถูก ซึ่งจะเป็นประโยชน์อย่างยิ่งในชาติต่อๆ ไป
~ ถึงเวลาหรือยังที่จะศึกษาพระธรรมวินัยให้เข้าใจให้ถูกต้องเพื่อดำรงรักษาพระศาสนา เพราะชีวิตสั้นมากสิ่งที่ประเสริฐที่สุดคือได้เข้าใจธรรมแล้วก็ได้ประพฤติปฏิบัติทุกอย่างที่จะเป็นการสืบต่อ ทะนุบำรุงพระศาสนาที่ถูกต้อง ให้ยั่งยืนต่อไป
~ ทุกคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทำให้คนที่เคยไม่เข้าใจเลย เป็นผู้ที่เข้าใจความจริงขึ้น และปัญญานั้นก็จะเป็นสังขารขันธ์ (เครื่องปรุงแต่ง) ค่อยๆ ปรุงแต่งให้ความคิดและการกระทำทั้งหมดในชีวิตประจำวัน เป็นไปในทางที่ถูกต้องซึ่งจะไม่ทำให้ใครเดือดร้อนเลย
~ การที่จะดำรงรักษาคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็เพราะเป็นที่ผู้กตัญญูกตเวที ก็คือ กล่าวคำของพระองค์ให้ได้รู้ทั่วกัน เพื่อที่จะได้ไม่เปลี่ยน แล้วก็ไม่คิดเองซึ่งเป็นโทษอย่างยิ่ง
~ การที่เริ่มค่อยๆ สะสมความเข้าใจถูก ก็จะเห็นคุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ว่าถ้าพระองค์ไม่ทรงตรัสรู้ไม่ทรงแสดงพระธรรม สัตว์โลกก็จะมืดบอด ไม่สามารถที่จะรู้ความจริงได้ ก็หลงผิดไป
~ ทรัพย์สมบัติเงินทอง มี หมดไปได้ แต่ความเข้าใจธรรม มี แล้วเพิ่มขึ้น, เงินทองเอาไปไม่ได้เลย มี แล้วก็หมด ใช้ไปก็หมด ถูกขโมย ก็หมด แต่ปัญญาความเห็นถูก เมื่อมีแล้ว เพิ่มขึ้น ไม่มีใครสามารถลักขโมยไปได้เลย
~ การที่เปิดเผยพระธรรมและพระวินัยให้กระจ่างให้คนได้รู้ชัด นั่นก็คือ การที่จะดำรงรักษาคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
~ เมื่อมีความเข้าใจผิดมานานแสนนาน พระธรรมเท่านั้นที่จะทำให้สามารถเข้าใจถูก
~ ถ้าการฟังพระธรรมในครั้งแรก ไม่มี การฟังพระธรรมในครั้งต่อๆ ไป ก็มีไม่ได้
ขอเชิญคลิกอ่านย้อนหลังครั้งที่ผ่านมาได้ที่นี่ครับ
ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๓๖๒
...กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง
และขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
กราบขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
ขอขอบคุณ และอนุโมทนาครับ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
ขอกราบอนุโมทนาครับ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
ขออนุโมทนาครับ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ