ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ขออนุญาตแบ่งปันข้อความธรรม (ปันธรรม) ที่ได้จากการฟังพระธรรมจากท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ในแต่ละครั้ง รวบรวมเป็นธรรมเตือนใจเพื่อศึกษา และพิจารณาร่วมกัน เพื่อความเข้าใจธรรม (ปัญญ์ธรรม) ตามความเป็นจริง ซึ่งเป็นข้อความที่สั้นบ้าง ยาวบ้าง แต่ก็มีอรรถที่สมบูรณ์ พอที่จะเข้าใจได้ควรค่าแก่การพิจารณาอย่างยิ่ง ดังนี้
ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๖๙๗
~ พระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง ๔๕ พรรษา ทำให้มีความเข้าใจเพิ่มขึ้น บางท่านก็บอกว่าคุ้มค่าที่ได้ฟัง หรือ คุ้มค่าที่เกิดมา แล้วเป็นมนุษย์ แล้วมีโอกาสได้เข้าใจธรรม เพราะฉะนั้น ชีวิต สั้น การฟังพระธรรมแค่นี้ยังไม่พอ ความเข้าใจธรรมยังไม่พอ แต่กุศลใดที่ได้ทำไว้ ที่ทำให้มีความศรัทธาในการที่จะได้ฟังมีการเห็นประโยชน์ว่าเป็นสิ่งเดียวที่ประเสริฐที่สุดในสังสารวัฏฏ์ ก็จะเป็นปัจจัยที่ทำให้แม้เกิด ก็เกิดในที่ที่จะได้เข้าใจธรรมเพิ่มขึ้นด้วย
~ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ได้ตรัสให้เราเกิดอกุศล แต่ตรัสให้รู้ว่าสิ่งใดควรสิ่งใดเป็นประโยชน์ สิ่งที่เป็นประโยชน์ ไม่ใช่คำชม ชื่อเสียง ลาภ ยศ สรรเสริญสำหรับเรา แต่สิ่งที่เป็นประโยชน์ คือ สามารถที่จะดำรงคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าซึ่งพระองค์ทรงแสดงไว้ ๔๕ พรรษา แล้วถ้าไม่ศึกษาพระธรรมด้วยความเคารพ ไม่สืบทอดพระธรรมตามที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้ดีแล้ว พระธรรมก็อันตรธาน (สูญสิ้น)
~ เวลานี้ไม่เข้าใจอะไรเลย และหนทางที่จะทำให้เข้าใจสิ่งที่กำลังปรากฏ มีไหม? ก็ต้องมี หนทางนั้นคืออะไร? คือ ความเข้าใจมาจากการฟังพระธรรม ถ้าไม่มีการฟังพระธรรมของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ใครจะเข้าใจสิ่งที่กำลังมีในขณะนี้ได้
~ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงความจริงว่าทั้งหมดที่มี ไม่ใช่เรา แล้วเมื่อไหร่จะรู้อย่างนั้นโดยละเอียดอย่างยิ่งในขณะนี้ตามปกติ เพราะว่าทรงแสดงหนทางที่จะทำให้ละความไม่รู้แล้วก็สามารถที่จะเข้าใจความจริงจนสามารถที่จะดับความเห็นผิดที่เคยยึดถือสภาพธรรมว่าเป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด ไม่เกิดอีกเลยในสังสารวัฏฏ์
~ พุทธานุสสติ คือ สติที่เกิดขึ้นระลึกถึงพระคุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะฉะนั้น ถ้าไม่เคยเข้าใจพระคุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเลย แม้จะพูดคำว่า "พุทฺโธ" ไปทั้งวัน ก็ไม่เข้าใจอะไรเลย
~ แม้เพราะเหตุนี้ที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทรงตรัสรู้ความจริงของธรรม และ แม้เพราะเหตุนี้ที่พระองค์ได้ทรงแสดงพระธรรม เราจึงมีโอกาสได้ฟังและเข้าใจสิ่งที่กำลังปรากฏ
~ ถ้าไม่มีคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จะมีอะไรเป็นเครื่องบ่งชี้ว่า ถูก ผิด อย่างไร
~ หลงว่าตัวเองรู้ ก็ชักชวนคนอื่นให้ทำสิ่งที่ตัวเองทำ เป็นโทษอย่างยิ่ง
~ คนที่ปฏิเสธปริยัติหรือสละปริยัติ แล้วใครทรงแสดงพระปริยัติ? พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงแสดงพระปริยัติ และผู้ที่กล่าวว่าสละปริยัติ หมายความว่าอย่างไร? หมายความว่า ไม่เคารพในพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่มีพระรัตนตรัยเป็นที่พึ่ง
~ ความรู้ทุกอย่างเป็นประโยชน์ ไม่เสียหายเลย แต่ว่าความรู้ที่เป็นประโยชน์กว่าสิ่งใดทั้งสิ้น ก็คือ ความรู้ธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ตรัสไว้ดีแล้ว
~ หนทางของการอบรมเจริญปัญญา ทำให้มีความเข้าใจที่ถูกต้องในแต่ละหนึ่งว่าไม่ใช่เราและไม่สามารถจะไปทำให้อะไรเกิดขึ้นได้ทั้งสิ้น แต่เกิดต่อเมื่อมีปัจจัยที่สมควร
~ ธรรมทั้งหมด ฟังเพื่อให้รู้ว่าไม่ใช่เรา เพื่อเข้าใจขึ้นๆ และสภาพธรรมที่เข้าใจกำลังทำหน้าที่ สังสารวัฏฏ์ที่ยาวนานมาแสนโกฏิกัปป์ อวิชชา (ความไม่รู้) และโลภะ (ความติดข้อง) มากมาย จนแม้เดี๋ยวนี้เราก็กำลังเข้าใจธรรมท่ามกลางอกุศล เพราะฉะนั้น นานแสนนานกว่าเราจะมีความมั่นคงจริงๆ ว่าฟังเพื่อเข้าใจ และความเข้าใจก็ไม่ใช่เรา ความเข้าใจกำลังทำหน้าที่ไปทีละเล็กทีละน้อย
~ จริงๆ แล้ว เราไม่รู้ว่าเราไม่รู้มานานเท่าไหร่ แค่วันนี้ ความไม่รู้ก็มาก แล้วย้อนถอยไปอีกเท่าไหร่ ความไม่รู้จะมากสักแค่ไหน แล้วอะไรจะไปละความไม่รู้ ถ้าไม่ใช่ความรู้ และความรู้จะเกิดขึ้นทันทีมากมายมหาศาลไม่ได้ ต้องเป็นความจริงใจความตรงและความเห็นถูกว่าถูกคือถูก ผิดคือผิด ถ้ายังเห็นว่าผิดเป็นถูก ถูกเป็นผิด ไม่มีทางที่จะรู้ความจริงได้เลย
~ จุดประสงค์ของการฟังปรมัตถธรรมเรื่องจิต เพื่อที่จะให้เป็นปัจจัยเกื้อกูลให้เข้าใจยิ่งขึ้นในลักษณะของจิต ที่กำลังมีในขณะนี้ ที่กำลังเห็น ที่กำลังได้ยิน ที่กำลังคิดนึก ซึ่งเป็นเรื่องจิตที่ได้ทรงแสดงไว้มากในพระไตรปิฎก จุดประสงค์จริงๆ นั้น เพื่อให้สติสามารถที่จะเกิดขึ้นระลึกรู้ลักษณะของสภาพธรรมที่เป็นสภาพรู้ ที่เป็นธาตุรู้ ที่กำลังรู้สิ่งหนึ่งสิ่งใดที่กำลังปรากฏ
~ ถ้าโกรธใครจะนอนหลับเป็นสุขไหม ลองคิดดู แต่เวลาที่ไม่โกรธ ไม่มีเวรกับใครๆ อภัยให้หมดทุกคนได้ ในขณะนั้นหลับเป็นสุขจริงๆ เพราะไม่เกิดอกุศลจิตที่เร่าร้อนก่อนจะหลับ
~ มีเมตตาต่อบุคคลหนึ่งบุคคลใด ขณะนั้นจิตสงบเพราะเป็นกุศล และถ้ามีความเป็นมิตรต่อแต่ละบุคคลที่พบโดยไม่เลือกยิ่งเพิ่มความเป็นมิตรเพิ่มขึ้น จิตขณะนั้น ก็เป็นกุศลเพิ่มขึ้นในชีวิตประจำวัน
~ ถ้าเป็นการให้อภัยจริงๆ จะไม่มีความคิดถึงความผิดคนอื่นเลย แต่พยายามที่จะช่วยผู้นั้นอย่างยิ่งด้วยความเป็นมิตรเป็นเพื่อน การเป็นมิตรที่ดีคือช่วยให้ผู้อื่นได้เข้าใจความจริงและประพฤติตามกำลังของความเข้าใจที่ค่อยๆ เพิ่มขึ้น
~ ถ้าเข้าใจผิด ไม่รู้ความจริง ไม่มีทางที่จะละคลายกิเลสซึ่งเป็นเหตุให้กระทำชั่วได้เลย ความชั่ว ทุจริตทั้งหลาย ไม่สามารถที่จะลดน้อยลงไปได้หรือดับหมดไปได้ ถ้าไม่ได้เข้าใจความจริงว่าอะไรถูก อะไรผิด อะไรเป็นประโยชน์ อะไรเป็นโทษ
~ ถ้าตราบใดที่ยังมีผู้ที่เข้าใจพระธรรมแล้วก็สามารถที่จะเกื้อกูลคนอื่นให้เข้าใจด้วย พระศาสนาก็จะดำรงอยู่ต่อไปได้ แต่เมื่อใดที่ไม่เข้าใจ เมื่อนั้น พระศาสนา สูญสิ้นไม่เหลือ เพราะฉะนั้น พระศาสนา ไม่ได้ดำรงอยู่เพราะวัด เพราะสถานที่ เพราะบุคคลหนึ่งบุคคลใด แต่ดำรงอยู่ได้ด้วยความเข้าใจถูกต้องในแต่ละคำที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้ดีแล้ว
~ ประโยชน์ใหญ่ที่สุดยิ่งกว่าประโยชน์อื่นใดทั้งสิ้น ถ้าสามารถที่จะทำให้คนได้เข้าใจถูกต้องในพระธรรมวินัย แล้วผู้ที่กระทำผิด ก็จะพ้นโทษจากการที่กระทำผิด กลับเนื้อกลับตัวกลับใจ ทำสิ่งที่ถูกต้อง ชีวิตข้างหน้ายังอีกยาวไกล เพราะฉะนั้น ถ้าไม่แก้ไขวันนี้ ยังคงผิด ชาติหน้าก็คิดเอาเองว่าจะเป็นอย่างไรไม่มีทางที่จะกลับมาถูกได้ มีแต่โทษภัย
~ ขณะที่อยากจะช่วยใคร ต้องการที่จะให้เขาเป็นสุข มีอะไรที่จะเป็นประโยชน์แก่เขาทำในขณะนั้นจิตในขณะนั้นอ่อนโยน ตรงกันข้ามกับขณะที่กำลังโกรธ กำลังขุ่นเคือง ขณะที่กำลังโกรธนั้นใจลักษณะนั้นจะหยาบจริงๆ กระด้างจริงๆ มีลักษณะเหมือนกับความแข็งความดุร้าย
~ การฟังพระธรรมเพื่ออะไร เพื่อที่จะรู้จักตัวเองตามความเป็นจริง และก็เพื่อที่จะเห็นโทษของตนเอง อย่าลืม ไม่ใช่เห็นความสามารถ เห็นความเก่ง เห็นความดี เห็นกุศลของตนเอง แต่ว่าพิจารณาเพื่อให้พระธรรมเป็นเหมือนกระจกเงาที่ใสที่จะส่องให้เห็นกิเลสแม้ของตนเองอย่างละเอียด ผู้นั้นชื่อว่าได้ประโยชน์จากพระธรรม
~ การที่จะเป็นคนดี ถ้าไม่เริ่มตั้งแต่ในชาตินี้ ชาติต่อไปจะเป็นอย่างไร เพราะว่า ถ้ามีอกุศลมากๆ บ่อยๆ ก็เหมือนอย่างที่เรามองเห็นตัวอย่างของคนไม่ดีซึ่งก่อนจะถึงวันนั้นเขาก็จะต้องมีความไม่ดีเล็กๆ น้อยๆ ไม่มากมาย แต่เขาก็ไม่เห็นโทษ
~ จะตายวันไหนเมื่อไหร่ก็ได้ เกิดมาแล้วไม่พ้นความตาย วันนี้สนุกมาก หมดแล้วไม่มีอะไรเหลือ ทุกอย่างที่ผ่านมาไม่เหลือเลย แต่ว่าสะสมความดีและความชั่วสืบต่อไปในจิตทุกขณะ
~ ต้องอาศัยความเข้าใจซึ่งเกิดจากการฟังพระธรรมแล้วก็ไตร่ตรองจนเป็นความเข้าใจ เมื่อมีความเข้าใจพระธรรม ก็จะรู้ว่า ตลอดชีวิตไม่มีอะไรที่จะมีค่าเท่ากับความเข้าใจพระธรรม จะจากโลกนี้ไปเมื่อไหร่ก็ได้ แต่ว่าสิ่งอื่นไม่สามารถที่จะนำไปได้เลย นอกจากกุศลและอกุศลติดตามไป
~ ความดี เป็นความดี ความชั่ว เป็นความชั่ว ไม่ใช่ใคร เพราะฉะนั้น จะมีการเมตตา มีความหวังดี มีความเป็นเพื่อนได้ไหม แทนที่จะโกรธ เพราะโกรธ ไม่ดีแน่ๆ จะมาอ้างสักนิดหนึ่งว่า ต้องโกรธ ไม่ได้เลย ทำไมต้องโกรธ? ดีตรงไหน?
~ โกรธมีหลายระดับ ตั้งแต่ขุ่นใจเล็กน้อยนิดหน่อยจนกระทั่งพยาบาทไม่ลืมทั้งวันทั้งคืน ปรุงแต่งเป็นความคิดที่จะทำร้ายและทำลาย มาจากไหน มาจากความไม่ดี ไม่เห็นโทษของความโกรธว่าเพียงโกรธเกิดขึ้น ใครไม่สบาย ใครเป็นทุกข์?
~ ใครที่ได้ฟังธรรมมีความเข้าใจถูกต้อง ก็มีที่พึ่ง คือ ไม่พึ่งความไม่รู้ของตัวเองหรือว่าความไม่รู้และความไม่ดีของคนอื่น แต่สามารถที่จะเริ่มรู้ความจริงตั้งแต่เกิดจนตายอย่างละเอียดอย่างยิ่ง ด้วยเหตุนี้ จึงกล่าวว่าความไม่รู้พระพุทธศาสนา ทำลายประเทศชาติ เพราะมีแต่ทุจริตกรรม แล้วก็มีการกระทำที่เสียเงินเสียทองโดยไร้ประโยชน์
~ ถ้าเห็นกำลังของอกุศล ก็จะรู้ว่าขณะใดที่กุศลไม่เกิด ขณะนั้นเป็นอกุศล ถ้าเป็นผู้เห็นประโยชน์ของกุศลจริงๆ แม้กุศลเพียงเล็กน้อยนิดหน่อยในชีวิตประจำวัน กำลังเผชิญหน้า ทำทันที ไม่ต้องคอยเลย
ขอเชิญคลิกอ่านย้อนหลังครั้งที่ผ่านมาได้ที่นี่ครับ
ปันธรรม - ปัญญ์ธรรม ... ครั้งที่ ๖๙๖
... กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์
ที่เคารพยิ่ง
และยินดีในกุศลของทุกๆ ท่านครับ ...
ฟังธรรม ฟังคำองค์พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ขอน้อมกราบอนุโมทนาสาธุ สาธุ สาธุ ขอรับ
กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์ด้วยความเคารพยิ่ง
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ
กราบอนุโมทนาค่ะ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
ขอนอบน้อมแด่พระรัตนตรัย
กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์ด้วยความเคารพยิ่ง
ขอบพระคุณและยินดียิ่งในกุศลวิริยะของอาจารย์คงคำปั่น อักษรวิลัย
ไพเราะยิ่งครับ
กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์ ด้วยความเคารพยิ่ง
ยินดีในกุศลจิตครับ