ความผูกพัน
โดย puangpetch  4 พ.ย. 2564
หัวข้อหมายเลข 39757

# ความผูกพัน

ท่านอาจารย์ ท่านพระสารีบุตร ท่านพระมหาโมคคัลลานะ อุปติสสะมานพกับสหายโกลิตมานพ ไม่ได้ฟังธรรมก่อนไปดูมหรสพ แค่เห็นนี่ค่ะการสะสมมาทำให้การคิดต่างกัน ใครก็อาจจะคิดอย่างนี้ก็ได้ ก็แสดงถึงการสะสมมาพอสมควร แต่ว่าปัญญาจะมากน้อยแค่ไหนต่างกัน

คนเล่นก็ตาย คนดูก็ตาย แล้วเราก็มีญาติพี่น้องวงศาคณาญาติ ผูกพันกับลูกหลาน เพื่อนฝูงมิตรสหาย แต่ตายหมดเลย แล้วก็เกิดใหม่ก็ไม่รู้ว่าใครเป็นใคร

เพราะฉะนั้น ระหว่างนี้นะคะ อะไรล่ะคะที่สะสม ความผูกพัน ความติดข้อง หารู้ไม่ว่า ไม่มีคนที่เราผูกพัน แต่ความผูกพันเกิดแล้วในใจ ซึ่งจะผูกต่อไปอีกทุกชาติ ไม่ว่าจะพบอะไร ใช่ไหมคะ

เพราะฉะนั้น ก็เป็นสิ่งซึ่ง ต้องรู้ความจริงค่ะ จริงๆ แล้วนี่บุคคลซึ่งเป็นที่รักนี่ เพราะโลภะสะสมมา ที่จะติดข้อง ไม่ใช่เฉพาะคนนี้ค่ะ ชาติก่อนคนไหนก็ไม่รู้เยอะแยะ ชาตินี้ก็ลูกหลาน เพื่อนเยอะแยะ ชาติหน้าใหม่ละ ก็ยังติดข้องอยู่อย่างมากมาย เพราะฉะนั้น ไม่มีวันพ้นถ้าไม่รู้ความจริงนะคะ

แต่ถ้าค่อยๆ รู้ความจริงว่า ความติดข้องมี แต่สิ่งที่ถูกติดข้องนี่จริงๆ แล้วหามีไม่ หรือแม้แต่ความติดข้องที่ว่ามีก็ดับ แต่สะสมสืบต่อ ในขณะที่สิ่งที่ปรากฎไม่ได้ติดตามไปเลย

เพราะฉะนั้น ก็แสดงให้เห็นว่านะคะ ความไม่รู้ในสิ่งที่ปรากฎ เป็นปัจจัยให้ความติดข้องมากมาย ในสิ่งที่ไม่มี เพราะเหตุว่าเพียงปรากฎว่ามี แล้วดับ แล้วไม่กลับมาอีกเลยในสังสารวัฏฏ์ สิ่งนั้นไม่มีอีก แต่ก็เป็นที่ตั้งของความติดข้องด้วยความไม่รู้เพราะเข้าใจผิดว่ายังอยู่ยังมี

อ.วิชัย : ครับ นี่คือความจริง เป็นความจริงนะครับ เพราะว่าเป็นการแสดงถึงความเป็นจริงของธรรม ความติดข้องต้องการเกิดกับจิต เกิดกับจิตใช่ไหมครับ เกิดแล้วก็สะสมสืบต่อไป บุคคลที่เราติดข้องในภพนี้ชาตินี้ไม่ตามไปในภพหน้า แต่โลภะที่สะสมอยู่ไม่สูญหาย ยังสะสมสืบต่อ แล้วก็จะต้องมีต่อไปตามเหตุตามปัจจัย

ชีวิตของแต่ละคนแต่ละท่านนี้ เกิดมานับชาติไม่ถ้วน เคยเป็นผู้เกี่ยวข้องกันไม่ฐานะหนึ่งก็ฐานะใด มานานแล้วในสังสารวัฏฏ์

ก็เคยได้ฟังใช่ไหมครับในพระสูตรๆ หนึ่ง ที่อุบาสกท่านหนึ่งที่พ่อท่านเสียชีวิต ท่านก็โศกเศร้าเสียใจมาก เวลาพบใครก็ถามเลยว่า เห็นบิดาของข้าพเจ้าไหม ถามตลอดด้วยความโศกเศร้า ด้วยความที่ไม่อยากจากพลัดพรากจากบุคคลผู้เป็นที่รัก

จนกระทั่งได้มีโอกาสได้พบพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็ถามคำถามเดิม ก็คือ พระองค์ทรงเห็นบิดาของข้าพระองค์ไหม

พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสถามให้ได้คิดเลยว่า เธอจะถามถึงบิดาในภพนี้ หรือบิดาในชาติก่อนๆ

เพียงแค่นี้นะครับ อุบาสกได้ฟัง รู้เลยว่า เราเกิดมาไม่ได้มีเฉพาะในชาตินี้เท่านั้น ในสังสารวัฏฏ์เกิดมาแล้วนับชาติไม่ถ้วนจิตใจของท่านก็อ่อนควร พร้อมที่จะรองรับพระธรรม

พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงความจริง ในที่สุดท่านก็ได้บรรลุธรรมถึงความเป็นพระโสดาบันครับท่านอาจารย์ครับ

ท่านอาจารย์ รักหนอนตัวไหนบ้าง เคยเป็นที่รักในชาติก่อนก็ได้ ใช่ไหมคะ เพราะฉะนั้น ถ้ามีความเข้าใจจริงๆ นี่ ก็จะค่อยๆ เข้าใจว่าไม่มีอะไรเลย ถ้าไม่มีสิ่งหนึ่งสิ่งใดเกิดขึ้น แต่ห้ามไม่ให้เกิดไม่ได้ เพราะเป็นอนัตตา

ห้ามดินน้ำไฟลมไม่ให้เกิดก็ไม่ได้ ห้ามธาตุรู้ไม่ให้เกิดก็ไม่ได้ ห้ามความติดข้องไม่ให้เกิดก็ไม่ได้นะคะ เพราะมีปัจจัย คือไม่รู้ความจริง ก็ยึดถือสิ่งนั้นว่าเป็นเราหรือว่าเป็นของเรา จนกว่าปัญญาสามารถจะเข้าใจจริงๆ ว่า "ไม่มีเรา"

อ.วิชัย : ครับ ก็พอดีได้ฟังการสนทนาพิเศษเมื่อวานครับ ประโยคสุดท้ายเลยครับ ที่ท่านอาจารย์ได้สนทนาเมื่อวานนะครับว่า "ถ้าเข้าใจจริงๆ ก็จะรู้ว่า ไม่มีอะไรเลย นอกจากสิ่งที่เกิดแล้วก็ดับไป ไม่เหลือ"

ท่านอาจารย์ ถ้าไม่ได้ฟังประโยคนี้นะคะ ก็ยังคงมั่นคงว่าเป็นเรา แต่แม้ประโยคนี้เป็นความจริง กว่าจะถึงการที่จะสามารถมั่นคง จนกระทั่งปัญญานี้เจริญขึ้น จนกระทั่งประจักษ์แจ้งรู้ว่า ทุกคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นความจริง ด้วยตนเอง

อ.วิชัย : ท่านอาจารย์ครับ ก็เป็นสิ่งที่ฟังแล้วเข้าใจยากครับว่า ขณะนี้กำลังเห็นอยู่อย่างนี้ จะไม่มี คือไม่มีคือเข้าใจว่าคือหมดไปอยู่ทุกๆ ขณะ ครับท่านอาจารย์

ท่านอาจารย์ ถ้าไม่หมดไป พระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะตรัสอย่างนี้ไหมว่า สิ่งหนึ่งสิ่งใดมีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งนั้นแหล่ะ ไม่ใช่สิ่งอื่นนะคะ สิ่งนั้นแหล่ะดับไปเป็นธรรมดา

เห็นเกิดขึ้นเป็นธรรมดา เห็นนั่นแหล่ะดับไป แล้วมีไหมล่ะเห็น เกิดขึ้นเห็น แล้วก็ดับไป ได้ยินเกิดขึ้น แล้วก็ดับไป แล้วมีไหมล่ะ

มีเมื่อเกิด แล้วก็ดับ จะมีอีกต่อไปไม่ได้เลย ไม่มีอะไรกลับมาได้เลย

อ.อรรณพ : กราบเรียนท่านอาจารย์ครับ ท่านอาจารย์ก็กล่าวถึงความผูกพัน ความผูกพันในบุคคลต่างๆ อะไรอย่างนี้นะครับ ซึ่งเมื่อมีการพลัดพรากหรือมีความผิดหวังจากบุคคลที่ผูกพัน ไม่ว่าจะโดยการพลัดพรากในรูปแบบใด จะตายจากกันหรือว่าจะไม่ได้ถึงกับตายก็แล้วแต่นะครับ

คนทั่วไปก็จะปลอบใจกันว่า นี่อย่าไปผูกพันเลย ก็เป็นธรรมดานะ ก็ต้องมีการพลัดพรากอย่างนี้เป็นธรรมดา ถือว่าเดี๋ยวเราก็พบบุคคลใหม่ต่อไปที่เราจะ อาจจะชอบมากกว่านี้นะครับ หรือว่าเราก็ไม่ต้องไปคิดมาก ส่วนใหญ่ก็จะปลอบใจกันอย่างนี้

แต่ท่านอาจารย์กล่าวว่า "ผูกพันเพราะไม่รู้สิ่งที่ปรากฎ" กราบเรียนท่านอาจารย์ครับ การที่จะเกื้อกูลกันเพื่อให้คลายจากความผูกพันนี่ ต่างกันจริงๆ ครับ

ท่านอาจารย์ คำเหล่านั้นนะคะ คนที่ฟังแล้วรู้สึกยังไง อย่างที่คุณอรรณพกล่าว ก็แค่ฟัง แค่ฟังจริงๆ ไม่สามารถที่จะหมดความผูกพัน ไม่สามารถที่จะไม่เสียใจโทมนัสได้ ใช่ไหมคะ

แต่ถ้ารู้ว่า นั่นเป็นธรรมดาคือ เป็นธรรม ไม่ใช่เรา ถ้าไม่เข้าใจอย่างนี้นะคะไม่มีทางที่จะหมด ไม่ว่าคำใดๆ ทั้งสิ้นนะคะ ก็เพียงแค่ได้ยินแล้วก็ร้องไห้ต่อไป

แต่ว่าถ้ามีความเข้าใจเพิ่มขึ้นนี่ค่ะ ความเข้าใจอันนั้นน่ะสามารถที่จะค่อยๆ รู้ว่า เสียเวลาไหม

พระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ได้ทรงเห็นประโยชน์ของความโทมนัสใดๆ เลยทั้งสิ้น

แทนที่จะมีปัญญาเข้าใจถูกต้อง กลับมาเสียเวลาร้องไห้ ร้องไปได้ประโยชน์อะไร อกุศลทั้งหลายมีประโยชน์อะไร

เพราะฉะนั้น คำจริงต่างหาก ที่จะทำให้เห็นค่าของปัญญาที่สามารถที่จะรู้ว่า สิ่งที่ควร สิ่งที่ถูกต้องนั้นคืออย่างไร

เพราะฉะนั้น ก่อนที่จะฟังธรรม ร้องไห้กันเป็นประจำเมื่อสูญเสีย ไม่ว่ามารดาบิดาเพื่อนฝูง

แต่พอมีความเข้าใจธรรมแล้ว ไม่มีประโยชน์เลย ทำสิ่งที่เป็นประโยชน์แทนร้องไห้ ทันทีได้เลย เพราะว่าอะไรคะ เขาเกิดแล้วเป็นใครล่ะ หนอนเหรอคะ หรือนก หรือจิ้งจกตุ๊กแกใครจะรู้

แต่ว่านะคะ การที่บุคคลนั้นเคยเกิด และเคยทำความดี เคยเกี่ยวข้อง เป็นผู้มีคุณก็ตามนะคะ เป็นผู้ที่อุปการะก็ตาม ก็ทำให้เรารู้ว่า นั่นคือคุณความดีที่บุคคลนั้นได้สะสมไป

เพราะฉะนั้น สำหรับทุกคนนี่ค่ะ ไม่มีอะไรที่จะดีประเสริฐเท่ากับคุณความดี

เพราะฉะนั้น ก็เตือนแล้วไหมคะ คนที่จากไป เป็นใครก็ตามแต่ แต่ที่เป็นนั่นน่ะมาจากชาตินี้ และชาติก่อนๆ ที่สะสมมา

เหมือนเราทุกคนที่อยู่ตรงนี้นี่นะคะ มาจากไหน ก็มาจากแต่ละชาติที่สะสม จนถึงชาตินี้ และชาตินี้ทั้งชาติก็สะสมที่จะปรุงแต่งสำหรับคนที่จะเกิดต่อจากชาตินี้ เพราะฉะนั้น ก็เป็นการเตือนให้รู้ว่า ความดีดีกว่าอย่างอื่น

อ.อรรณพ : กราบท่านอาจารย์ครับ การที่จะเหมือนเตือนกันหรือปลอบโยน หรืออะไรก็แล้วแต่นะครับ ก็เป็นไปตามการสะสมของทั้งผู้ที่จะปลอบใจนะครับ แล้วก็ทั้งผู้ที่กำลังเศร้าโศกจากการพลัดพรากจากสิ่งที่ผูกพัน

ก็อย่างเช่นในชาดกที่ฟังอยู่เสมอๆ นะครับ ที่พระเจ้าอัสสกะซึ่งท่านมีความผูกพันกับพระนางอุพพรีมากนะครับ ซึ่งเมื่อพระนางอุพพรีได้ไปเกิดเป็นหนอน พระโพธิสัตว์พระดาบสท่านก็ได้แสดงให้เห็นว่าหนอนนั้นไม่ได้ผูกพันกับพระเจ้าอัสสกะอีกต่อไปแล้ว แต่ก็ไปอยู่ในภพภูมิใหม่ซึ่งเป็นหนอน ก็ไปผูกพันกับหนอนนี้กัน

ก็ทำให้พระเจ้าอัสสกะ เหมือนท่านก็ได้คิดแล้วก็คลายจากความผูกพันในบุคคลคือพระนางอุพพรี ซึ่งไปเป็นหนอนไปแล้ว

แต่เมื่อพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้แล้ว ทรงแสดงถึงเพราะความไม่รู้ในสภาพธรรมที่กำลังปรากฎ จึงยึดติดผูกพัน

เพราะฉะนั้น การที่จะคลายจากสิ่งที่ผูกพัน คนส่วนใหญ่ชอบคำปลอบประโลม ที่จะทำให้เหมือนกับได้คลายไปว่า อย่าไปโศกเศร้าเลยนะ เดี๋ยวเราก็ไปเที่ยวเตร่ หรือว่าเดี๋ยวก็มีสัตว์บุคคลใหม่มาให้เราติดข้องก็แล้วกัน แล้วยังไงก็เป็นธรรมดา ก็เหมือนกับเตือนอย่างนี้

แต่ว่าพระธรรมนี่เตือนนี่ ยากที่คนจะสนใจในคำเตือนที่ตรงที่สุดว่า "ผูกพันเพราะไม่รู้สิ่งที่ปรากฎ" นี่ครับท่านอาจารย์ ก็เลยกราบเรียนท่านอาจารย์ว่า จากที่พระโพธิสัตว์ท่านเตือนให้ได้คิดอย่างนั้น ในสมัยที่ท่านเป็นพระโพธิสัตว์ ก็เหมือนจะช่วยได้

ท่านอาจารย์ ค่ะ เพราะฉะนั้น พูดกับใคร

อ.อรรณพ : พูดกับพระเจ้าอัสสกะ

ท่านอาจารย์ ค่ะ มีความเข้าใจระดับไหน

อ.อรรณพ : ท่านก็ต้องสะสมมา

ท่านอาจารย์ ก็ต้องตามที่คนนั้นสามารถเข้าใจได้ ไม่ใช่ว่าเขาร้องไห้แล้วเขาก็ไม่รู้ธรรมเลย ก็ไปบอกเขาว่านี่ไม่ใช่เรานะ เป็นจิตเจตสิกแล้วจะมีประโยชน์อะไร

เพราะฉะนั้น จึงมีธรรมโดยนัยของพระสูตร กล่าวถึงธรรมโดยประการที่นะคะ ค่อยๆ ทำให้คนได้ค่อยๆ เข้าใจความจริง ตามลำดับขั้น เพราะฉะนั้น จึงมีทั้งพระวินัย พระสูตร และพระอภิธรรม แต่ทั้งหมดไม่พ้นจากธรรม

แล้วผู้ที่ไม่เข้าใจธรรม อ่านพระสูตร คิดว่าเป็นเรื่องราว เป็นตัวตน มีสัตว์ มีบุคคล ที่จะต้องทำอย่างนั้นอย่างนี้นะคะ แต่นั่นไม่ได้รู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

เพราะถ้ามีความเข้าใจธรรมแล้ว ทั้งหมดเป็นธรรม แต่ว่าผู้ฟังเป็นใคร

เพราะฉะนั้น การที่จะเป็นมิตรที่ดีนะคะ เพื่อประโยชน์แก่ผู้ที่เราได้มีโอกาสพบกัน สิ่งที่ให้ที่ประเสริฐสุดคือ ความเข้าใจที่ถูกต้อง ตามสมควรที่เขาสามารถจะเข้าใจได้

เพราะฉะนั้น เราก็จะไม่ไปบอกให้เขาเลิกโกรธนะ เลิกติดข้องนะ เพราะว่าทำไม่ได้ ใช่ไหมคะ

แต่อย่างพระสูตรทรงแสดงโดยนัยประการต่างๆ ให้ค่อยๆ เข้าใจความจริงทีละน้อย ว่านี่นะ ตายแล้วไปไหน หนอนนะ จะผูกพันกับหนอนไหม ก็ค่อยๆ ได้คิด ใช่ไหมคะ เพราะว่าปรากฎตามความเป็นจริงให้เห็นกับตา

อ.วิชัย : ครับ ก็มีชาดกเรื่องหนึ่งนะครับ ก็คือ ธังกชาดก จะกล่าวเฉพาะกถานะครับ ซึ่งก็เป็นเรื่องของพระโพธิสัตว์ ซึ่งก็ถูกพระราชาได้คุมขังเอาไว้ ซึ่งพระราชาที่มาคุมขังพระโพธิสัตว์ก็เกิดความเร่าร้อนในภายหลังก็ได้ไปถามพระโพธิสัตว์ที่ถูกจองจำอยู่

ซึ่งพระราชาท่านนั้นก็ถามว่า ชนเหล่าอื่นเศร้าโศกอยู่ ร้องไห้อยู่ ชนเหล่าอื่นมีหน้าชุ่มไปด้วยน้ำตา พระองค์เป็นผู้มีผิวพระพักตร์ผ่องใส ดูกรฆฏราชา เพราะเหตุไรพระองค์จึงไม่เศร้าโศก

พระโพธิสัตว์ก็ตอบว่า ความเศร้าโศกหาได้นำสิ่งที่ล่วงไปแล้วมาได้ไม่ หาได้นำความสุขในอนาคตมาได้ไม่ ดูกรธังกราชาเพราะฉะนั้น หม่อมฉันจึงไม่เศร้าโศก ความเป็นสหายในความเศร้าโศกย่อมไม่มี

นี้ก็เห็นถึงผู้ที่มีปัญญานะครับที่พิจารณาแม้แต่ในสมัยที่พระองค์บำเพ็ญบารมีก็รู้ว่า ความเศร้าโศกไม่ได้นำประโยชน์อะไรมาให้เลยนะครับ

ท่านอาจารย์ ค่ะ เพราะฉะนั้น กว่าจะรู้สภาพธรรมตามความเป็นจริงนะคะ ก็จะต้องมีปัญญาที่ค่อยๆ เข้าใจในความจริงทีละเล็กทีละน้อยจนกระทั่งสามารถที่จะรู้ว่าขณะนั้น เป็นธรรม

ไม่ใช่ว่าตรงไปถึงก็สามารถที่จะรู้ว่าเป็นธรรมได้เลย แต่กว่าจะรู้อย่างนั้นนะคะ ก็ต้องเข้าใจในความเป็นจริง ทีละเล็กทีละน้อย

อ.วิชัย : และความเข้าใจสิ่งที่มีจริงทีละเล็กทีละน้อยจะมาจากไหนใช่ไหมครับ ก็มาจากการได้เริ่มสะสมความเข้าใจในความเป็นจริง เข้าใจธรรมทีละเล็กทีละน้อย จากคำแต่ละคำที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงครับ คำทุกคำที่พระองค์ตรัสอุปการะเกื้อกูลให้ความเข้าใจถูกเห็นถูกเจริญขึ้นจริงๆ ครับ


กราบเท้าบูชาคุณ

ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์

ที่เคารพยิ่ง

🙇‍♀️🙇‍♀️🙇‍♀️

กราบขอบพระคุณ

และขออนุโมทนา

ในกุศลจิตของทุกๆ ท่านค่ะ

🙇‍♀️🙇‍♀️🙇‍♀️



ความคิดเห็น 1    โดย petsin.90  วันที่ 6 พ.ย. 2564

กราบขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ


ความคิดเห็น 2    โดย candy_pakrada  วันที่ 1 ก.ค. 2567

ขอขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ


ความคิดเห็น 3    โดย chatchai.k  วันที่ 1 ก.ค. 2567

ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ


ความคิดเห็น 4    โดย Wiyada  วันที่ 31 ต.ค. 2567

กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์ค่ะ