กายของพุทธะ มี ๓ กาย
กายที่ ๑ คือ นิรมาณกาย คือกายที่ปรากฏให้เห็นเป็นเนื้อมนุษย์ อันประกอบด้วยธาตุทั้งปวง สิ่งนี้ถือยึดเป็น "ขันธ์"
กายที่ ๒ คือ สัมโภคกาย คือกายอันแสดงได้หลังจากดับขันธ์ หรือละซึ่งนิรมาณกาย
กายที่ ๓ คือ ธรรมกาย คือกายแห่งธรรม กายอันสูงสุด ในสภาพแห่งการหลุดพ้น แสดงถึงสภาวสุญตา
หลังจากดับขันธ์ หรือปรินิพพานไปแล้ว พุทธะ สามารถมีอยู่ใน สัมโภคกาย อันสัมโภคกายนี้ จะเปรียบได้ก็ไม่ใช่วิญญาณ แต่จะสูงกว่าวิญญาณ (วิญญาณจัดอยู่ในนิรามาณกาย เพราะยังเหลือนามขันธ์ อันเป็นจิตใจ) แต่หากละได้ซึ่งกองกิเลส (บรรลุแล้ว) ก็อยู่ในสัมโภคกาย พระพุทธเจ้า อรหันต์ และโพธิสัตว์อยู่ในกายนี้ และใช้กายนี้ ในการโปรดสัตว์ และมีอยู่ ไม่ใช่ว่าดับขันธ์แล้วจะสูญหายไปไหน กล่าวตามหลัก เทอร์โมไดนามิกส์ ครับ พลังงานไม่สูญไปไหน พระพุทธเจ้า อรหันต์ และพระโพธิสัตว์ก็ยังรับรู้สิ่งต่างๆ และความเป็นไปของเรา สามารถมาโปรดสัตว์ และช่วยเหลือเราได้ โดยทั้งสิ้นอยู่ในรูปสัมโภคกาย ซึ่งเป็นธรรมดาที่ท่านจะสามารถลงมาสั่งสอนเราได้โดยผ่านทางกายเนื้อของมนุษย์
ขอนอบน้อมแด่องค์สมเด็จพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
เข้าใจคำว่ากายก่อนนะครับ กาย หมายถึง การประชุม การรวมกันของสิ่งใดสิ่งหนึ่ง เพราะฉะนั้น เมื่อพูดถึงแต่คำว่ากาย ไม่ไ่ด้หมายถึง ร่างกายของเราเท่านั้น แต่หมายถึงการประชุม การรวมกันของสิ่งใดสิ่งหนึ่งก็ได้ ดังนั้น คำว่า กาย คือการประชุมรวมกัน
กาย มี ๒ อย่างคือ นามกายและรูปกาย นามกายคือการประชุมกัน รวมกันของสภาพธรรมที่เป็นนามธรรม ซึ่งก็ได้แก่ขันธ์ ๔ มี เวทนา สัญญา สังขารและวิญญาณ ส่วนรูปกาย ก็คือ สภาพธรรมทั้งหมดที่เป็นรูปธรรม มี ธาตุดิน น้ำ ไฟ ลม สี ... เป็นต้น อันเป็นสภาพธรรมที่ไม่รู้อะไรเลยที่เป็นรูปธรรม เป็นรูปกายคือการประชุมของสภาพธรรมที่เป็นรูปธรรม
[เล่มที่ 69] พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ปฏิสัมภิทามรรค เล่ม ๗ ภาค ๒ - หน้าที่ 116
กาย ในคำว่า กาโย มี ๒ คือ นามกาย ๑ รูปกาย ๑ นามกายเป็นไฉน? เวทนา สัญญา เจตนา ผัสสะ มนสิการ เป็นนามด้วย เป็นนามกายด้วย และท่านกล่าวจิตสังขารว่า นี้เป็นนามกาย รูปกาย เป็นไฉน? มหาภูตรูป ๔ รูปที่อาศัยมหาภูตรูป ๔ ลมอัสสาสปัสสาสะ นิมิต และท่านกล่าวว่ากายสังขารที่เนื่องกัน นี้เป็นรูปกาย.
และกาย ยังมีนัยอื่นๆ อีกในพระไตรปิฎก แต่เมื่อพูดถึงกายแล้ว จะต้องมีการเกิดขึ้นและดับไป คือ มีสภาพธรรม เพราะฉะนั้น กายของพุทธะ กายของพระพุทธเจ้า ก็ไม่พ้นจาก จิต เจตสิกและรูป คือ นามธรรมและรูปธรรม ครับ ซึ่ง กายที่เห็นได้ด้วยตา หรือ ที่ประชุมรวมกันเป็นร่างกาย ก็เรียกว่า รูปกาย คือ การประชุมรวมกันของรูปต่างๆ และพระพุทธเจ้าก็มี นามกายด้วย คือ มี จิต เจตสิกที่เกิดขึ้นและดับไป เป็นการประชุมของนามธรรมที่เป็น จิต เจตสิก ครับ
ดังนั้นคำกล่าวที่ว่า
กายที่ ๒ คือ สัมโภคกาย คือกายอันแสดงได้หลังจากดับขันธ์ หรือละซึ่งนิรมาณกาย
กายที่ ๓ คือ ธรรมกาย คือกายแห่งธรรม กายอันสูงสุด ในสภาพแห่งการหลุดพ้น แสดงถึงสภาวสุญตา
เมื่อพระพุทธเจ้าผู้ดับกิเลสแล้ว และดับขันธิปรินิพพาน แม้พระอรหันต์สาวก ที่ปรินิพพาน ก็จะไม่มีการเกิดขึ้นของจิต เจตสิกและรูปอีกเลย เพราะเป็นการดับขันธ์ คือ สภาพธรรมทั้งหมดโดยรอบ ไม่มีการเกิดขึ้นของขันธ์อีก หากยังมีการเกิด ก็ชื่อว่ายังไม่ดับขันธปรินิพพานจริงๆ ยังมีทุกข์อยู่ เพราะทุกข์คือการเกิดขึ้นและดับไปของสภาพธรรม ในเมื่อยังมีพระพุทธเจ้าอยู่ หลังดับขันธ์ ก็ยังมีทุกข์ เพราะมีสภาพธรรมเกิดขึ้น ก็ขัดกับหลักการดับกิเลส ขัดกับหลักพระนิพพาน ที่เป็นสุข เพราะ ไม่มีการเกิดขึ้นของสภาพธรรมอะไรเลย ครับ
ดังนั้นจึงไม่มี สัมโภคกายที่เป็นกายหลัง ดับขันธปรินิพพานของพระพุทธเจ้าและพระอรหันต์เลย ครับ
ส่วน คำว่า ธรรมกายนั้นจะต้องเข้าใจให้ถูกต้อง ธรรมกาย ไม่ใช่วิชาอย่างหนึ่ง หรือมีสภาวะต่างหาก แต่ธรรมกาย ในพระไตรปิฎก แสดงไว้ชัดเจนครับว่า ธรรมกาย เป็นชื่อหนึ่งของพระพุทธเจ้า เพราะว่า พระองค์ทรงแสดงธรรม อันเกิดจากพระวาจาที่อยู่ในพระกายของพระองค์ ดังนั้น ธรรมจึงออกมาจากกายของพระองค์ พระองค์จึงได้ชื่อว่า ธรรมกาย ธรรมกายจึงเป็นชื่อหนึ่งของพระพุทธเจ้า แม้ พรหมกาย พรหมทูต ธรรมทูต ก็เป็นชื่อของพระพุทธเจ้า ครับ
เชิญคลิกอ่านที่นี่ครับ ...
ธรรมกาย เป็นชื่อของพระตถาคต
ธรรมกายในพระไตรปิฏก
ดังนั้น จึงไม่มีการเกิดขึ้นของสภาพธรรมใดๆ เลย เมื่อพระุพทธเจ้าและพระสาวกที่เป็นพระอรหันต์ ดับขันธปรินิพพานไปแล้วครับ ไม่มีใครไปโปรดใครได้ เพราะท่านดับทุกข์ คือ ดับสภาพธรรมโดยสิ้นเชิงไม่มีการเกิดขึ้นอีกนั่นเองครับ และไม่ได้หมายความว่า จะต้องมีพระพุทธเจ้าหรือพระสาวกที่ดับขันธ์แล้วมาโปรด เพราะว่า พระพุทธเจ้าองค์ต่อๆ ไปก็จะต้องอุบัติขึ้นและแสดงธรรมให้ สาวกรุ่นหลัง บรรลุธรรมได้ ครับ
ขออนุโมทนาที่ร่วมสนทนา
สาธุ สาธุ สาธุ อนุโมทามิ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
เมื่อได้ฟังได้ศึกษาพระธรรมไปตามลำดับ ก็จะมีความเข้าใจเพิ่มขึ้น มีความเข้าใจที่ไม่คลาดเคลื่อนจากความเป็นจริง เพราะเหตุว่าพยัญชนะย่อมส่องถึงอรรถ ให้เข้าใจตัวจริงของสภาพธรรม แม้คำว่า กาย ก็เช่นเดียวกัน เป็นได้ทั้งรูป และ นามธรรม ขึ้นอยู่กับว่าจะมุ่งหมายถึงสภาพธรรมใด ถ้าพูดถึงการประชุมรวมกันของรูปธรรม ก็เป็นรูปกาย ซึ่งก็เป็นรูปธรรมนั่นเอง ถ้าเป็นการประชุมกัน เกิดขึ้นร่วมกันของนามธรรม กล่าวคือ จิต และ เจตสิก (นามขันธ์ ๔ : เวทนา สัญญา สังขาร และ วิญญาณ) ก็เป็นนามกาย ทั้งหมด เป็นธรรมที่มีจริง ที่หาความเป็นสัตว์ เป็นบุคคลไม่ได้เลย เพราะเป็นแต่เพียงสภาพธรรมแต่ละอย่างๆ เท่านั้นจริงๆ ตราบใดที่ยังมีกิเลส ยังต้องมีการเกิดในภพภูมิต่างๆ อยู่ร่ำไป มีสภาพธรรมเกิดขึ้นเป็นไป ยังไม่พ้นไปจากทุกข์ แต่เมื่อใดก็ตามที่ได้รู้แจ้งอริยสัจจธรรมถึงความเป็น พระอริยบุคคลขั้นสูงสุด คือ ถีงความเป็นพระอรหันต์ ดับกิเลสทั้งปวงได้อย่างหมดสิ้นแล้ว เมื่อดับขันธปรินิพพาน ย่อมไม่มีการเกิดอีก ไม่มีธรรมที่เป็นรูปกาย และนามกายเกิดอีกเลย เพราะได้ดับเหตุคือกิเลสที่ทำให้เกิดในภพใหม่ได้แล้ว ดังนั้น พระอรหันต์ทุกๆ องค์ เมื่อดับขันธปรินิพพานแล้ว ไม่มีการเกิดอีก ไม่สามารถเห็นพระอรหันต์ที่ดับขันธปรินิพพานแล้วได้เลย ครับ
...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...
ในพระไตรปิฎกแสดงไว้ ในเรื่องกายที่เป็น จิต เจตสิก รูป เช่น พระจักขุบาล ใกล้จะตาบอด หมอให้นอนหยอดยา แต่ท่านปรึกษากับกรัชกาย คือร่างกายของตัวเอง ท่านก็ไม่ยอมนอนหยอดยา ท่านนั่งหยอดยา เพราะปรารภความเพียร เป็นผู้ไม่ประมาท ภายหลังท่านตาบอดพร้อมกับบรรลุเป็นพระอรหันต์ ค่ะ
ขออนุโมทนาครับ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ
ขออนุโมทนา