ภาษาบาลีสัปดาห์ละคำ [คำที่ ๖๘๙] อคฺค
โดย Sudhipong.U  31 ต.ค. 2567
หัวข้อหมายเลข 48807

ภาษาบาลี ๑ คำ คติธรรมประจำสัปดาห์ “อคฺค”

โดย อ.คำปั่น อักษรวิลัย

อคฺค อ่านตามภาษาบาลีว่า อัก - คะ แปลว่า เลิศที่สุด ในที่นี้จะขอนำเสนอในความหมายที่มุ่งหมายถึงบุคคลผู้เลิศที่สุด คือ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งเป็นพระสัมมาสัมพุทธรัตนะ

ข้อความในปรมัตถโชติกา อรรถกถาขุททกนิกาย ขุททกปาฐะ มีคำอธิบายคำว่า พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงเป็นบุคคลผู้เลิศที่สุด ดังนี้

พระสัมมาสัมพุทธรัตนะ กล่าวกันว่าเป็นเลิศ แม้กว่าปัจเจกพุทธรัตนะ เพราะเหตุไร? เพราะเหตุว่า มีคุณมาก ก็หากว่าพระปัจเจกพุทธเจ้าทั้งหลาย นั่งขัดสมาธิเบียดกันทั่วทั้งชมพูทวีปก็ไม่เท่า ไม่เท่าเสี้ยว ไม่เท่าส่วนเสี้ยวแห่งพระคุณทั้งหลายของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์เดียว

ข้อความในพระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย จตุกกนิบาต แสดงความเป็นบุคคลผู้เลิศที่สุดของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ดังนี้

“สัตว์ที่ไม่มีเท้าก็ดี มี ๒ เท้าก็ดี มี ๔ เท้าก็ดี มีเท้ามากก็ดี มีรูปก็ดี ไม่มีรูปก็ดี มีสัญญาก็ดี ไม่มีสัญญาก็ดี มีสัญญาก็มิใช่ไม่มีสัญญาก็มิใช่ก็ดี มีประมาณเท่าใด พระตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า บัณฑิตกล่าวว่า เลิศกว่าสัตว์เหล่านั้น”


บุคคลผู้ที่เลิศที่สุด ไม่มีผู้ใดเปรียบได้เลย คือ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะพระองค์ทรงตรัสรู้สิ่งที่มีจริงตรงตามความเป็นจริง กว่าที่พระองค์จะได้ตรัสรู้นั้น ทรงบำเพ็ญพระบารมีคือคุณความดีที่จะทำให้ถึงฝั่งของการดับกิเลส มาตลอดระยะเวลาสี่อสงไขยแสนกัปป์ ซึ่งเป็นเวลาที่นานมาก เมื่อได้ทรงตรัสรู้แล้ว ก็ทรงมีพระมหากรุณาที่จะเกื้อกูลสัตว์โลกด้วยการทรงแสดงพระธรรมให้ได้เข้าใจความจริง พระมหากรุณาคุณของพระองค์ที่มีต่อสัตว์โลก คือ ทรงแสดงพระธรรมให้สัตว์โลกได้เข้าใจตามความเป็นจริง จากที่สัตว์โลกเคยเป็นผู้มากไปด้วยกิเลสประการต่างๆ ก็สามารถที่จะขัดเกลาละคลายและดับกิเลสได้ตามลำดับขั้น ด้วยปัญญาอันเกิดจากการได้ฟังพระธรรมที่พระองค์ทรงแสดง การที่พระองค์ทรงแสดงความจริงของสิ่งที่มี ซึ่งเป็นธรรม ให้คนอื่นได้รู้ได้เข้าใจด้วย เป็นพระคุณอันสูงสุดยิ่งของพระองค์ที่มีต่อสัตว์โลก พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้และทรงพระมหากรุณาแสดงธรรมให้คนอื่นได้รู้ได้เข้าใจด้วย จึงมีผู้ที่อบรมเจริญปัญญาสามารถที่จะรู้แจ้งความจริงตามพระองค์ได้

พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงประกอบด้วยพระบริสุทธิคุณ ทรงดับกิเลสทั้งหลายทั้งปวงได้อย่างเด็ดขาด ทรงมีความบริสุทธิ์ทั้งทางกาย ทางวาจา และทางใจ โดยไม่มีใครเสมอเหมือน พระปัญญาคุณ ทรงมีพระปัญญาที่รู้สภาพธรรมทุกอย่างไม่มีเหลือ และพระมหากรุณาคุณ ทรงมีพระทัยประกอบด้วยมหากรุณาเกื้อกูลสัตว์โลก ด้วยการแสดงพระธรรมบำเพ็ญประโยชน์ต่อสัตว์โลกทั้งปวงอย่างแท้จริง

พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงเป็นบุคคลที่เสมอกับบุคคลที่ไม่มีใครเสมอ นั่นก็คือ ทรงเสมอกันกับพระพุทธเจ้าองค์ก่อนๆ การจะอธิบายให้เห็นว่าพระคุณของพระองค์มีมากมายเพียงใดนั้น ท่านแสดงไว้ว่าในระยะเวลาหนึ่งกัปป์ ไม่ต้องพูดเรื่องอื่นเลย กล่าวสรรเสริญพระคุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพียงอย่างเดียว หนึ่งกัปป์ดังกล่าวนั้นสิ้นไปก่อนแล้ว แต่พระคุณของพระองค์ ก็ยังกล่าวสรรเสริญไม่หมด

การที่พุทธบริษัทจะรู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้นั้น ก็ต้องด้วยปัญญาที่เข้าใจพระธรรมที่พระองค์ทรงแสดงเท่านั้น ไม่มีใครจะรู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้าถ้าไม่ได้เข้าใจคำที่พระองค์ทรง แสดง แม้เมื่อครั้งที่พระองค์ยังไม่เสด็จดับขันธปรินิพพาน ก็มีทางเดียวเช่นเดียวกัน คือ ฟังพระธรรมที่พระองค์ทรงแสดง จึงสามารถรู้ได้ว่าบุคคลนี้ เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะทรงแสดงสิ่งที่มีจริงที่ผู้อื่นไม่สามารถจะแสดงได้ ไม่สามารถตรึก นึก คิด ไตร่ตรองประมวลเองได้แม้แต่คนเดียว ไม่มีใครเลยที่จะเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า นอกจากผู้ที่ได้อบรมเจริญบารมีมาอย่างสมบูรณ์ พร้อมที่จะตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ถึงแม้ว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จะเสด็จดับขันธปรินิพพานแล้ว พระธรรมทั้งหมดที่พระองค์ทรงแสดงแล้ว เป็นศาสดาแทนพระองค์ ซึ่งจะเห็นได้ว่า พระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง ๔๕ พรรษา แม้จะผ่านมาแล้ว ๒๕๐๐ กว่าปี แต่ก็ยังเป็นความจริงซึ่งเป็นประโยชน์กับทุกชีวิต

พุทธบริษัทควรที่จะได้คิดไตร่ตรองพิจารณาว่า พระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงนั้น ทรงแสดงว่าอย่างไร ซึ่งพระธรรมนี้ ถ้าพระองค์ไม่ทรงเห็นประโยชน์ ก็จะไม่ทรงแสดง แต่เนื่องจากว่าทรงเห็นประโยชน์ว่ามีผู้ที่ได้อบรมเจริญบารมีมาแล้ว สามารถที่จะฟัง พิจารณาและอบรมเจริญปัญญา จึงทรงแสดง ซึ่งเป็นการแสดงความจริงของสิ่งที่มีจริงทั้งหมดที่สัตว์โลกไม่รู้ จนกว่าจะได้ฟังคำจริงแต่ละคำที่พระองค์ทรงแสดง

จะเห็นได้ว่าแต่ละบุคคลที่เกิดมาในโลกนี้ หลายคนก็สมบูรณ์ด้วยทรัพย์สมบัติมีความสุขในชีวิต บางคนอาจจะคิดว่าพอแล้ว ไม่มีความจำเป็นอะไรอีกในชีวิต เพราะได้รับความสำเร็จทุกอย่าง แต่ ตราบใดที่ยังไม่ได้ศึกษาพระธรรม ผู้นั้นชื่อว่า ยังไม่รู้จักพระสัมมาสัมพุทธเจ้า นั่นก็หมายความว่ายังไม่เข้าใจธรรมด้วย ถ้าเป็นผู้ที่เห็นประโยชน์ของพระธรรม ต้องศึกษา ต้องฟัง ถึงแม้ว่าจะยาก ก็จะต้องค่อยๆ ฟัง ค่อยๆ สะสมความเข้าใจไปทีละเล็กทีละน้อย ดีกว่าปล่อยให้เป็นสิ่งที่ยากไปเรื่อยๆ โดยไม่ฟัง เพราะฉะนั้น จึงควรเห็นประโยชน์ของปัญญาอันเนื่องมาจากได้อาศัยคำจริงทุกคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งจะเป็นที่พึ่งที่แท้จริงสำหรับชีวิต เพราะเหตุว่าที่พึ่งที่แท้จริงในชีวิตไม่ใช่ทรัพย์สินเงินทอง ยศถาบรรดาศักดิ์ เพราะทรัพย์สินเงินทองยศถาบรรดาศักดิ์ ไม่ทำให้พ้นจากทุกข์ได้ แต่ปัญญา สามารถทำให้พ้นจากทุกข์ทั้งปวงได้ และปัญญาจะเจริญขึ้นได้ ก็ต้องอาศัยการฟังพระธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดง

จึงควรอย่างยิ่งที่พุทธบริษัทจะเคารพบูชาพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ด้วยการฟังพระธรรม ด้วยความเคารพ อบรมเจริญปัญญา ค่อยๆ เข้าใจคำของพระองค์ ซึ่งลึกซึ้ง ยากที่จะเข้าใจ แต่ก็สามารถเข้าใจได้สำหรับผู้ที่เห็นคุณค่าเห็นประโยชน์ อดทน จริงใจ ตั้งใจมั่นที่จะฟังที่จะศึกษาค่อยๆ สะสมความเข้าใจถูกไปทีละเล็กทีละน้อย ไม่ขาดการฟังพระธรรมเป็นปกติในชีวิตประจำวัน

ขอเชิญติดตามอ่านคำอื่นๆ ได้ที่..

บาลี ๑ คำ



ความคิดเห็น 1    โดย chatchai.k  วันที่ 31 ต.ค. 2567

ควรอย่างยิ่งที่พุทธบริษัทจะเคารพบูชาพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ด้วยการฟังพระธรรม ด้วยความเคารพ อบรมเจริญปัญญา ค่อยๆ เข้าใจคำของพระองค์ ซึ่งลึกซึ้ง ยากที่จะเข้าใจ แต่ก็สามารถเข้าใจได้สำหรับผู้ที่เห็นคุณค่าเห็นประโยชน์ อดทน จริงใจ ตั้งใจมั่นที่จะฟังที่จะศึกษาค่อยๆ สะสมความเข้าใจถูกไปทีละเล็กทีละน้อย ไม่ขาดการฟังพระธรรมเป็นปกติในชีวิตประจำวัน

ยินดีในกุศลจิตครับ