กราบนมัสการพระคุณเจ้า ครับ
เชิญคลิกอ่านที่นี่ครับ ... องค์คุณของพระโสดาบัน [โอคธสูตร]
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
การศึกษาพระธรรม เป็นเรื่องที่ละเอียด เพราะเป็นพระปัญญาตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า แม้แต่หนทางการบรรลุธรรม ดับกิเลส คือ อริยมรรค ก็เป็นหนทางที่ลึกซึ้ง เพราะเป็นหนทางที่ทวนกระแสกิเลส คือ อวิชชา ทวนด้วยเกิดปัญญา ความเข้าใจถูก ซึ่งคำว่าปัญญา ในพระพุทธศาสนา ก็ใช้หลายคำ เช่น ปัญญา สัมมาทิฏฐิ ทัสสนะ แม้แต่คำว่า ญาณ ก็เป็นชื่อหนึ่งของปัญญาเช่นกัน ซึ่ง ผู้ถามได้กล่าวถึงประเด็นในเรื่องญาณ ๑๔ เป็นต้น ว่า ผู้ที่จะบรรลุธรรม จะต้องถึง ญาณ ๑๔ แต่ในเรื่องของญาณ นั้น เป็นปัญญาระดับสูง ที่เป็นวิปัสสนาญาณแต่ละขั้น จนถึงปัญญาดับกิเลสได้ ซึ่งเป็นเรื่องที่ไกล และยากกว่าจะไปถึงจุดนั้น คือ ญาณแต่ละขั้น แต่ก่อนจะถึงญาณแต่ละขั้นที่เป็นผลนั้น สำคัญที่สุดคือ เหตุที่จะไปถึงญาณแต่ละขั้นนั้นอบรมอย่างไร สำคัญที่สุดอยู่ตรงนี้ เพราะเมื่อกล่าวถึงผล ก็จะต้องมีเหตุที่ถูกต้องด้วย ครับ
เหตุที่ถูกต้อง ก็จะต้องเริ่มจากปัญญาขั้นต้น จึงจะถึง ญาณ ปัญญาขั้นสูงได้ครับ การอบรมปัญญาจึงจะต้องเป็นไปตามลำดับเสมอ โดยเริ่มจากปัญญาขั้นการฟังให้เข้าใจ เมื่อความเข้าใจเพิ่มขึ้น สติและปัญญาย่อมเกิดระลึกรู้ความจริงในขณะนี้ ว่าเป็นธรรมไม่ใช่เรา ซึ่งเป็นปัญญาขั้นปฏิบัติ คือ การเจริญสติปัฏฐานนั่นเอง และเมื่อสติปัฏฐานเกิดบ่อยๆ จนปัญญารู้ทั่วในสภาพธรรม ย่อมถึงปัญญาระดับวิปัสสนาญาณขั้นที่ ๑ ได้ และปัญญาก็เจริญขึ้นไปตามลำดับของญาณแต่ละขั้น ซึ่งเป็นหน้าที่ของธรรมทั้งสิ้นที่เกิดขึ้นปรุงแต่งให้เป็นไปอย่างนั้น ดังนั้น แทนที่เราจะให้ความสำคัญกับผลที่สูง คือ ญาณ ที่เป็นวิปัสสนาญาณแต่ละขั้น ก็ย้อนกลับมาที่เหตุที่จะอบรมให้ถึงจุดนั้น ว่าเราเข้าใจถูกต้องหรือไม่ ว่าอบรมอย่างไร หากเราเข้าใจผิดในหนทางการอบรมปัญญาตั้งแต่ต้น เช่น จะต้องนั่งสมาธิ ทำกำหนด ต้องปฏิบัติ ต้องทำ เป็นต้น แม้จะกล่าว หรือ รู้ว่าจะต้องเป็นญาณขั้นๆ ต่างๆ แต่ก็ไม่มีทางถึงได้เลย เพราะเหตุผิดตั้งแต่ต้น ครับ เพราะฉะนั้น การจะเข้าใจถูกได้ จะต้องเริ่มจากเหตุที่ถูกต้อง คือ อาศัยการฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรมที่ถูกต้อง ย่อมถึงปัญญาขั้นสูงได้ ครับ แต่ต้องใช้ระยะเวลายาวนาน นับชาติไม่ถ้วน เพราะสะสมกิเลสมามาก สะสมปัญญามาน้อย แต่ถึงได้ หากก้าวแรกถูกต้อง และ ไม่หลงทางไปทางอื่น อันเป็นทางที่ผิด คือ ทางที่ทำ ทางที่จะปฏิบัติ ซึ่งเป็นแต่ตัวเราที่จะทำ ไม่ใช่ปัญญา ครับ
ขออนุโมทนาที่ร่วมสนทนา
วิปัสสนาญาณที่ ๑๔ มัคคญาณ ... เกิดขึ้นดับกิเลสเป็นสมุจเฉท ตามขั้นของโลกุตตรปัญญาเป็นสมุจเฉทวิมุตติ (ความหลุดพ้นจากกิเลส ด้วยการตัดขาด ด้วยมรรคญาณ กิเลสที่ถูกตัดขาดไปแล้วย่อมไม่กลับมาเกิดได้อีก) ที่ว่าปฏิบัติถึงเฉพาะ (ปฏิ+ปัตติ) สภาพธรรมโดยสติระลึกรู้สภาพธรรมตามความเป็นจริงซึ่งเราเรียกว่า "การปฏิบัติ" ดังนั้นจึงไม่ใช่ "เรา" ที่จะไปปฏิบัติ คนส่วนใหญ่มักเข้าใจว่าการปฏิบัติ คือ การที่เราจะต้องทำกิจกรรมอะไรสักอย่าง เช่น นั่งหลับตา (นั่งสมาธิ) ฯลฯ ดังนั้นที่ถูก คือยังไม่ควรคิดถึง การปฏิบัติ หรือ เมื่อไร สติปัฏฐานจะเกิด แต่ควรสนใจศึกษาเพื่อความเข้าใจ ในสิ่งที่ได้ฟัง เข้าใจขึ้น เข้าใจขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ลำดับแรกที่ควรศึกษาให้เข้าใจถูกคือการรู้ความจริงว่า "ทุกอย่างเป็นธรรมะ ไม่ใช่เรา" (อ้างข้อความบางส่วนจาก..narong..ในการศึกษาปริยัติและการปฏิบัติ)
แม้เราจะจำคำสอนได้หมด และปฏิบัติไม่ละเมิดศีลพระวินัยเลย แต่ก็ไม่สามารถเข้าสู่โสดาบันได้ ถ้าไม่มีญาณ ๑๔ ขึ้นมา ... การจำคำสอนเป็นเรื่องสัญญาเจตสิก ... ไม่ใช่ปัญญาเจตสิก ... ดังนั้นแม้วิปัสสนาญาณขั้นที่ ๑ และสติปัฏฐานไม่สามารถเกิดขึ้นได้ถ้าไม่มีปัญญาเจตสิกและผู้ที่ไม่ละเมิดศีล อย่างน้อยต้องเป็นพระอริยบุคคลระดับพระโสดาบัน
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
เมื่อถึงมรรคญาณ ผลญาณ ก็สามารถดับกิเลสได้ตามลำดับขั้นจริงๆ แต่ก่อนที่จะไปถึงตรงนั้น เป็นสิ่งที่สำคัญ เพราะจะขาดความเข้าใจถูกเห็นถูกตั้งแต่ต้นไม่ได้เลยทีเดียว การดับกิเลส เป็นเรื่องปัญญา ไม่ใช่เรื่องไปทำอะไรด้วยความเห็นผิดหรือด้วยความเป็นตัวตนทั้งสิ้น วิปัสสนาญาณเป็นเรื่องของปัญญาที่แทงตลอดสภาพธรรมแต่ละขั้น ซึ่งเป็นเรื่องที่ไกล การที่วิปัสสนาญาณขั้นต่างๆ จะเกิดขึ้นได้นั้น เป็นผลมาจากการอบรมเจริญสติปัฏฐาน ระลึกรู้สภาพธรรมที่กำลังปรากฏตามความเป็นจริง และที่สติปัฏฐานจะเกิดได้ ก็ต้องมีการฟังพระธรรม ฟังในสิ่งที่มีจริงบ่อยๆ เนืองๆ เพิ่มพูนความมั่นคงในความเป็นจริงของสภาพธรรมซึ่งเป็นสิ่งที่มีจริงในขณะนี้ จึงจะเป็นเหตุปัจจัยให้สติปัฏฐานเกิดได้ ทั้งหมดเป็นธรรมที่มีจริงที่เกิดขึ้นเป็นไปตามเหตุตามปัจจัย ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใครทั้งสิ้น ครับ
...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...
ต้องเริ่มต้นจากขั้นแรกก่อน ถ้าขั้นแรกยังไม่เข้าใจ จะกระโดดไปขั้น ๑๔ เป็นไปไม่ได้ ขณะที่ประเสริฐที่สุดในชีวิต คือ ขณะที่ฟังธรรมแล้วเข้าใจ ยังเกิดแสนยาก เช่น ท่านพระอานนท์บอกว่าปฏิจจสมุปบาทง่ายสำหรับท่าน พระพุทธเจ้าตรัสว่า เธออย่าได้กล่าวอย่างนั้น ปฏิจจสมุปบาทเป็นธรรมที่ละเอียดลึกซึ้ง ญาณ ๑๔ ก็เช่นกันค่ะ
หมดจดแจ่มแจ้ง ถ้าเราไปกำหนดผลญาณ ๑๔ ก่อน ผลก็จะไปขวางเหตุที่จะเกิดญาณ เราปฏิบัติพิจารณาแค่ไหน ก็จะไม่ได้อะไรเลย ถ้าไม่ทำเหตุหรือมรรคให้ถูกเสียก่อน
ขออนุโมทนา
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
" ดังนั้น แทนที่เราจะให้ความสำคัญกับผลที่สูง คือ ญาณ ที่เป็นวิปัสสนาญาณแต่ละขั้น ก็ย้อนกลับมาที่เหตุที่จะอบรมให้ถึงจุดนั้น ว่าเราเข้าใจถูกต้องหรือไม่ ว่าอบรมอย่างไร"
"เหตุย่อมสมควรแก่ผล"
ขอบคุณ และขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านด้วยครับ
ขออภัยนะโยม อาตมาเรียนมาน้อย ญาน ๑๔ ที่พูดกันอยู่นี่ มีญานอะไรบ้างละโยม เรียงมาข้อๆ เลยนะ
กราบนมัสการพระคุณเจ้าครับ
๑. นามรูปปริจเฉทญาณ ๒. ปัจจยปริคคหญาณ ๓. สัมมสนญาณ ๔. อุทยัพพยญาณ ๕. ภังคญาณ ๖. ภยญาณ ๗. อาทีนวญาณ ๘. นิพพิทาญาณ ๙. มุญจิตุกัมยตาญาณ ๑๐. ปฏิสังขารญาณ ๑๑. สังขารุเปกขาญาณ ๑๒. อนุโลมญาณ ๑๓. โคตรภูญาณ ๑๔. มัคคญาณ
เออ สาธุ อาตมาสงสัยอีกนิดนะโยม
ความเป็นโสดาบัน เขาเข้ากันได้ด้วยเหรอ
กราบนมัสการพระคุณเจ้า ครับ
ความเป็นพระโสดาบัน เข้าถึงได้ ด้วยปัญญา ที่เป็นนามธรรม ครับ แต่ไม่ใช่การเข้าถึง ด้วยกิริยาอาการภายนอก แต่ด้วย การอบรมปัญญา แก่กล้า จนปัญญาถึงพร้อม ถึงโลกุตตรปัญญา ประจักษ์พระนิพพาน ถึงความเป็นพระโสดาบันด้วยปัญญา ครับ
กราบนมัสการ ครับ
ถ้างั้นก็ช่วยอธิบายธรรมของพระโสดาบันให้ฟังหน่อยสิโยม
ว่าธรรมของพระโสดาบันมีเท่าไหร่ อะไรบ้าง
กราบนมัสการพระคุณเจ้า ครับ
เชิญคลิกอ่านที่นี่ครับ ... องค์คุณของพระโสดาบัน [โอคธสูตร]
คิดว่าจะได้เจอพระโสดาบัน จะได้ฟังธรรมจากท่าน เพราะถ้าเข้าได้จริง พูดได้ อธิบายได้ และตรงกับพระไตรปิฎก ถ้ายังอธิบายไม่ได้ ยังต้องเปิดหนังสือ ก็แสดงว่ายังไม่ถึงใช่หรือไม่? ตามความเป็นจริงแล้ว ความเป็นพระโสดาบัน คือผู้ได้บรรลุธรรม เพราะละสังโยชน์เบื้องต่ำได้ ๓ ประการ มิใช่หรือ? และเรียกคนๆ นั้น ว่าผู้แรกเข้าสู่กระแสแห่งธรรม มีความไม่ตกต่ำเป็นธรรมดา น่าจะไม่ใช่การเข้าถึง ใช่หรือเปล่าโยม? ส่วนธรรม หรือ องค์คุณของพระโสดาบัน ก็มีอยู่ในโอคธสูตร ตามที่โยมยกมา
กราบนมัสการพระคุณเจ้า ครับ
จากคำถามที่ว่า
คิดว่าจะได้เจอพระโสดาบัน จะได้ฟังธรรมจากท่าน เพราะถ้าเข้าได้จริง พูดได้ อธิบายได้ และตรงกับพระไตรปิฎก ถ้ายังอธิบายไม่ได้ ยังต้องเปิดหนังสือ ก็แสดงว่ายังไม่ถึงใช่หรือไม่?
ผู้ที่จะรู้ว่าใครเป็นพระโสดาบัน ผู้นั้นจะต้องมีปัญญาเสมอ หรือ มากกว่า และรู้จิตของผู้นั้น ส่วนการอธิบายได้ ด้วยความเป็นพหูสูตขั้นการฟัง แต่ไม่ใช่ตัวตัดสินว่าเป็นพระโสดาบัน ครับ
ตามความเป็นจริงแล้ว ความเป็นพระโสดาบัน คือผู้ได้บรรลุธรรม เพราะละสังโยชน์เบื้องต่ำได้ ๓ ประการ มิใช่หรือ? และเรียกคนๆ นั้น ว่าผู้แรกเข้าสู่กระแสแห่งธรรม มีความไม่ตกต่ำเป็นธรรมดา น่าจะไม่ใช่การเข้าถึง ใช่หรือเปล่าโยม?
- แล้วแต่การใช้ศัพท์ กราบนมัสการ ครับ
ถ้ายุ่งยากเรื่องการใช้ศัพท์มากนัก ก็ไม่ต้องเป็นพหูสูต ไม่ต้องเป็นพระโสดาบัน ไม่ต้องเป็นพระสกทาคามี ไม่ต้องเป็นพระอนาคามี ไม่ต้องเป็นพระอรหันต์ เป็นพระธรรมดา เป็นคนธรรมดา ดีกว่ามั้ยโยม จะได้ไม่ต้องมากังวลเรื่องคุณธรรม ความรู้ หรือต้องไปเปรียบเทียบกับใคร ว่าคนนั้นเหนือกว่าคนนี้ คนนี้เหนือกว่าคนโน้น หรือต้องรู้เสมอคนไหน หมดมานะ คือความถือตัวด้วย น่าจะดีกว่านะโยม
กราบนมัสการครับ