[เล่มที่ 58] พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๔ - หน้า 326
๒. สุปัตตชาดก
ว่าด้วยนางกาแพ้ท้อง
อ่านหัวข้ออื่นๆ ... [เล่มที่ 58]
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๔ - หน้า 326
๒. สุปัตตชาดก
ว่าด้วยนางกาแพ้ท้อง
[๔๗๕] ข้าแต่มหาราช พระยากาชื่อสุปัตตะเป็นกาอยู่ในเมืองพาราณสี อันกาแปดหมื่นแวดล้อมแล้ว.
[๔๗๖] นางกาสุปัสสาภรรยาของพระยากานั้นแพ้ท้อง ปรารถนาจะกินพระกระยาหารมีค่ามา ที่คนหุงต้มแล้วในห้องเครื่อง.
[๔๗๗] ข้าพระบาทเป็นทูตของพระยากาทั้งสองนั้น ถูกนายใช้ให้มา จึงได้เป็นผู้มาในที่นี้ข้าพระบาทจะกระทําความจงรัก ต่อเจ้านายจึงได้จิกจมูกของคนเชิญเครื่องให้เป็นแผล.
จบ สุปัตตชาดกที่ ๒
อรรถกถาสุปัตตชาดกที่ ๒
พระศาสดาเมื่อประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน ทรงปรารภภัตข้าวสาลี เจือด้วยเนยใสใหม่ในรสปลาตะเพียนแดง ที่พระสารีบุตรเถระถวายแก่พระพิมพาเทวี จึงตรัสเรื่องนี้ มีคําเริ่มต้นว่าพาราณสฺสํ มหาราช ดังนี้. เรื่องนี้เป็นเหมือนเรื่องในอัพภันตรชาดกซึ่งได้กล่าวไว้ในหนหลังนั่นแล.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๔ - หน้า 327
ก็แม้ในกาลนั้น โรคลมในท้องของพระเถรีกําเริบขึ้น. พระราหุลภัทระจึงบอกแก่พระเถระ. พระเถระให้พระราหุลภัทระนั่งในโรงฉันแล้วไปยังพระราชนิเวศน์ของพระเจ้าโกศลราช นําเอาภัตข้าวสาลีเจือด้วยเนยใสใหม่ในรสปลาตะเพียนแดง แล้วได้ให้แก่พระราหุลภัทระนั้น. พระราหุลภัทระได้นําไปถวายพระเถรีผู้เป็นพระชนนี.พอพระเถรีนั้นเสวยเท่านั้น โรคลมในท้องก็สงบระงับ. พระราชาทรงส่งพวกราชบุรุษไปให้สอดแนมดู ตั้งแต่นั้นมาได้ถวายภัตเห็นปานนั้นแก่พระเถรี. อยู่มาวันหนึ่ง ภิกษุทั้งหลายนั่งสนทนากันในโรงธรรมสภาว่า ดูก่อนอาวุโสทั้งหลาย พระธรรมเสนาบดี ยังพระเถรีให้อิ่มหนําด้วยโภชนะเห็นปานนี้. พระศาสดาเสด็จมาแล้วตรัสถามว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บัดนี้ พวกเธอนั่งสนทนากันด้วยเรื่องอะไร เมื่อภิกษุทั้งหลายกราบทูลให้ทรงทราบแล้ว จึงตรัสว่าดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สารีบุตรให้สิ่งที่มารดารองราหุลปรารถนาในบัดนี้เท่านั้นก็หามิได้ แม้ในกาลก่อนก็ได้ให้แล้วเหมือนกัน แล้วทรงนําเอาเรื่องในอดีตมาสาธก ดังต่อไปนี้ :-
ในอดีตกาล เมื่อพระเจ้าพรหมทัตครองราชสมบัติอยู่ในพระนครพาราณสี พระโพธิสัตว์บังเกิดในกําเนิดกา พอเจริญวัย ได้เป็นหัวหน้ากาแปดหมื่นตัว ได้เป็นพระยาชื่อว่าสุปัตต์ ส่วนอัครมเหสีของพระยากาสุปัตต์ ได้เป็นนางกาชื่อว่าสุปัสสา. เสนาบดี ชื่อว่าสุมุขะ. พระยากาสุปัตต์นั้นแวดล้อมด้วยกาแปดหมื่นตัว อาศัยเมือง
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๔ - หน้า 328
พาราณสีอยู่ วันหนึ่ง พระยากาสุปัตต์พานางกาสุปัสสาไปหาอาหารได้บินไปทางเหนือโรงครัวของพระเจ้าพาราณสี. พ่อครัวปรุงโภชนะอันมีปลาและเนื้อชนิดต่างๆ เป็นเครื่องประกอบ เมื่อพระราชาเสด็จแล้ว เปิดภาชนะไว้หน่อยหนึ่ง ให้ไอร้อนระเหยออกไปอยู่ นางกาสุปัสสาสูดกลิ่นปลาและเนื้อแล้ว ประสงค์จะกินโภชนะของพระราชาตลอดวันนั้นไม่พูดเลยในวันที่สองอันพระยากาสุปัตต์กล่าวว่า มาเถิดนางผู้เจริญ พวกเราจักไปหากินกัน จึงกล่าวว่า ท่านไปเถิด ดิฉันมีการแพ้ท้องอย่างหนึ่ง เมื่อพระยากาสุปัตต์กล่าวว่า แพ้ท้องอะไรนางจึงกล่าวว่า ดิฉันอยากกินโภชนะของพระเจ้าพาราณสี แต่ไม่สามารถจะได้โภชนะนั้น ข้าแต่ท่านผู้ประเสริฐ เพราะฉะนั้นดิฉันจึงจักละชีวิต. พระโพธิสัตว์กําลังนั่งคิดอยู่ พอดีสุมุขเสนาบดีมาถามว่า ข้าแต่มหาราช ท่านไม่สบายใจเพราะอะไร? พระราชาจึงบอกเนื้อความนั้น. เสนาบดีจึงทูลให้พระราชาและพระอัครมเหสีแม้ทั้งสองนั้นเบาใจว่า ข้าแต่มหาราช พระองค์อย่าคิดร้อนใจไปเลยแล้วทูลไปว่า วันนี้ท่านทั้งสองจงอยู่ที่นี้แหละข้าพเจ้าจักไปนําภัตนั้นมา แล้วก็หลีกไป. เสนาบดีนั้นให้พวกกาประชุมกันแล้วบอกเหตุนั้นให้ทราบแล้วกล่าวว่า มาเถอะท่านทั้งหลาย พวกเราจักไปนําภัตมา จึงพร้อมกับพวกกาบินเข้าไปยังพระนครพาราณสี แบ่งกาเป็นพวกๆ ไว้ในที่ไม่ไกลโรงครัว แล้ววางไว้ เพื่อต้องการอารักขาในที่นั้นๆ ส่วนตนเองนั่งจับอยู่บนหลังคาโรงครัวพร้อมกับกานักสู้
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๔ - หน้า 329
รบ ๘ ตัว. และเมื่อกําลังคอยเวลาที่พ่อครัวจะนําพระกระยาหารไปถวายพระราชา ได้กล่าวกะกาเหล่านั้นว่า เมื่อพ่อครัวนําพระกระยาหารของพระราชามาอยู่ เราจักทําภาชนะให้ตกลงมา ก็เมื่อภาชนะตกลงไปแล้ว ชีวิตของเราจะไม่มี ท่านทั้งหลาย ๔ ตัวจงคาบภัตให้เต็มปาก อีก ๔ ตัวจงคาบปลาและเนื้อ แล้วนําไปให้พระยากาพร้อมทั้งภรรยาบริโภค เมื่อพระราชาถามว่า เสนาบดีไปไหน พวกท่านพึงบอกว่า จักมาข้างหลัง. ลําดับนั้น พ่อครัวจัดแจงชนิดโภชนะของพระราชาเสร็จแล้ว จึงเชิญภาชนะไปด้วยหาบ เข้าไปยังราชตระกูล. ในเวลาที่พ่อครัวไปถึงพระลานหลวง กาเสนาบดีจึงให้สัญญาแก่กาทั้งหลาย แล้วตนเองโฉบลงจับที่อกของคนเชิญเครื่องกระหน่ําด้วยกรงเล็บ เอาจงอยปากเช่นกับปลายหอกจิกปลายจมูกของคนเชิญเครื่องนั้น บินขึ้นเอาปีกและเท้าทั้งสองปิดปากของเขาไว้. พระราชาเสด็จดําเนินอยู่บนท้องพระโรง ทอดพระเนตรไปทางพระแกลใหญ่ทรงเห็นกิริยาของกานั้น จึงทรงให้เสียงแก่คนเชิญเครื่องตรัสว่าแน่ะภัตตาหารกะผู้เจริญ เจ้าจงทิ้งภาชนะทั้งหลายเสีย จับเอาเฉพาะกาเท่านั้น. คนเชิญเครื่องนั้นจึงทิ้งภาชนะทั้งหลายแล้วจับกาไว้แน่น.ฝ่ายพระราชาก็ตรัสว่า จงมาทางนี้. ขณะนั้น กาเหล่านั้นมากินจนเพียงพอแก่ตน แล้วได้คาบเอาส่วนที่เหลือไปโดยทํานองที่กล่าวแล้วนั่นแหละ. ลําดับนั้น พวกกาที่เหลือจึงมากินส่วนที่เหลือ. ส่วนกาทั้ง ๘ ตัวนั้นบินไปให้พระยากาพร้อมทั้งปชาบดีบริโภคภัตนั้น. ความ
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๔ - หน้า 330
แพ้ท้องของนางกาสุปัสสาก็สงบลง. คนเชิญเครื่องนํากาเข้าไปถวายพระราชา. ลําดับนั้น พระราชาได้ตรัสถามกานั้นว่า กาผู้เจริญเจ้าไม่ละอายเราทั้งยังจิกจมูกของคนเชิญเครื่องให้แหว่งด้วย ทําลายภาชนะภัตตาหารให้แตกด้วย และไม่รักษาชีวิตของตนด้วย เพราะเหตุไรเจ้าจึงได้กระทํากรรมเห็นปานนี้. กากราบทูลว่า ข้าแต่มหาราชราชาของพวกข้าพระพุทธเจ้าอาศัยกรุงพาราณสีอยู่ ข้าพระพุทธเจ้าเป็นเสนาบดีของพระราชานั้น ภรรยานามว่าสุปัสสาของพระราชานั้นแพ้ท้อง ประสงค์จะบริโภคโภชนะของพระองค์ พระราชาจึงบอกการแพ้ท้องของภรรยานั้นแก่ข้าพระพุทธเจ้า. ข้าพระพุทธเจ้าจึงสละชีวิตเพื่อพระราชานั้นนั่นแลจึงได้มา บัดนี้ ข้าพระพุทธเจ้าได้ส่งโภชนะไปให้แก่ภรรยาของพระยากานั้นแล้ว ความปรารถนาแห่งใจของข้าพระพุทธเจ้าถึงที่สุดแล้ว ด้วยเหตุนี้ข้าพระพุทธเจ้าจึงได้กระทํากรรมปานนี้ เมื่อจะแสดงเนื้อความให้แจ่มแจ้ง จึงกล่าวคาถาเหล่านี้ว่า :-
ข้าแต่มหาราช พระยากาชื่อสุปัตตะเป็นกาอยู่ในเมืองพาราณสี อันกาแปดหมื่นแวดล้อมแล้ว.
นางกาสุปัสสาชายาของพระยากานั้นแพ้ท้อง ปรารถนาจะกินพระกระยาหารอันมีค่ามากที่คนหุงต้มแล้วในห้องเครื่อง.
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๔ - หน้า 331
ข้าพระพุทธเจ้าเป็นทูตของพระยากาทั้งสองนั้น ถูกนายใช้ให้มาจึงได้เป็นผู้มาในที่นี้ ข้าพระพุทธเจ้าจะกระทําความจงรักต่อเจ้านาย จึงได้จิกจมูกของคนเชิญเครื่องให้เป็นแผล.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า พาราณสฺสํ แปลว่า ในเมืองพาราณสี. นิวาสิโก แปลว่า ผู้อยู่ประจํา บทว่า ปกฺกํ ได้แก่จัดแจงแล้วโดยประการต่างๆ. อาจารย์บางพวกสาธยายว่า สิทฺธํแปลว่า สําเร็จแล้ว. บทว่า ปจฺจคฺฆํ ได้แก่ อันร้อนยิ่ง ไม่ได้ครอบไว้.อีกอย่างหนึ่ง ชื่อว่า ปัจจัคฆะ. เพราะบรรดาชนิดของปลาและเนื้อทั้งหลาย ปลาและเนื้อที่เขาให้สุกแต่ละอย่างมีค่ามาก ดังนี้ก็มี. บทว่าเตสาหํ ปหิโต ทูโต รฺโ จมฺหิ อิธาคโต ความว่าข้าพระพุทธเจ้าเป็นทูต คือเป็นผู้กระทําตามคําสั่งของพระยากาแม้ทั้งสองนั้น ทั้งพระยากาก็ส่งมาด้วย เพราะฉะนั้น จึงได้มาในที่นี้.บทว่า ภตฺตุ อปจิตึ กุมฺมิ ความว่า ข้าพระพุทธเจ้านั้นได้มาอย่างนี้แล้ว ย่อมจะกระทําความจงรัก คือสักการะและสัมมานะแก่เจ้านายของตน. บทว่า นาสายมกรํ วณํ ความว่า ข้าแต่มหาราชเพราะเหตุนี้ ข้าพระพุทธเจ้าจึงไม่ย่นย่อ ต่อพระองค์และชีวิตของตนจึงได้เอาจะงอยปากจิกจมูกของคนเชิญเครื่องให้เป็นแผล เพื่อจะทําให้ภาชนะภัตตาหารตกไป ข้าพระพุทธเจ้าได้กระทําจงรักต่อพระราชา
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ชาดก เล่ม ๓ ภาค ๔ - หน้า 332
ของข้าพระพุทธเจ้าแล้ว บัดนี้ ขอพระองค์จงลงพระอาญาแก่ข้าพระพุทธเจ้า ตามที่ทรงพระประสงค์เถิด พระพุทธเจ้าข้า.
พระราชาได้สดับคําของกานั้นแล้ว ทรงพระดําริว่า ก่อนอื่นพวกเราก็เป็นมนุษย์เหมือนกัน ให้ยศใหญ่แก่คนผู้เป็นมนุษย์ ก็ยังไม่อาจทําความสบายใจแก่เราได้ แม้จะให้บ้านเป็นต้นก็ยังไม่ได้บุคคลผู้จะเสียสละชีวิตให้แก่เรา สัตว์นี้เป็นกา ยังสละชีวิตแก่พระราชาของตนได้ นับว่าเป็นสัปบุรุษชั้นเยี่ยม มีเสียงไพเราะ เป็นธรรมกถึกจึงทรงเลื่อมใสในคุณทั้งหลายของกานั้น และทรงบูชากานั้นด้วยเศวตฉัตร. กานั้นก็บูชาพระราชานั่นแหละด้วยเศวตฉัตรของตนที่ได้แล้วกล่าวคุณทั้งหลายของพระโพธิสัตว์. พระราชารับสั่งให้เรียกพระโพธิสัตว์นั้นมาแล้วทรงสดับธรรม ได้ทรงตั้งภัตตาหารตามทํานองเครื่องเสวยของพระองค์ เพื่อพระยากาและประชาบดีแม้ทั้งสองนั้น ทรงให้หุงข้าวสุกจากข้าวสารทนานหนึ่งทุกวัน เพื่อพวกกาที่เหลือนอกนี้ และพระองค์เองทรงตั้งอยู่ในโอวาทของพระโพธิสัตว์ ทรงประทานอภัยแก่สัตว์ทั้งปวง ทรงรักษาศีลห้าเป็นประจํา. อนึ่งโอวาทของพระยากาสุปัตต์ ดําเนินไปอยู่ถึง เจ็ดร้อยปี.
พระศาสดาครั้นทรงนําพระธรรมเทศนานี้มาแล้ว จึงทรงประชุมชาดกว่า พระราชาในครั้งนั้น ได้เป็นพระอานนท์ในบัดนี้กาเสนาบดีในครั้งนั้น ได้เป็นพระสารีบุตรให้บัดนี้ กาสุปัสสาในครั้งนั้น ได้เป็นมารดาพระราหุลในบัดนี้ ส่วนกาสุปัตตะ คือเราตถาคต ฉะนี้แล.
จบ อรรถกถาสุปัตตชาดกที่ ๒