เรียนขอคำปรึกษา เรื่องความรัก ถ้าเราเจอเจอคนที่ใช่ และเขามีคู่แล้วทำไง จะตัดใจอย่างไร
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
วิบากกรรม ในทางพระพุทธศาสนา คือขณะที่เห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส รู้สิ่งที่กระทบสัมผัสที่ดีหรือไม่ดี แต่ขณะใดที่เป็นกุศลจิต หรือ อกุศลจิต ไม่ใช่วิบาก ไม่ใช่ผลของกรรม ครับ ดังนั้นขณะที่เจอ ก็ไม่พ้นจากสภาพธรรมที่มีจริง ที่เป็น จิต เจตสิก อะไรเจอ ไม่ใช่เราที่เจอ แต่เป็นสภาพธรรมที่เห็น ได้ยิน เห็นสิ่งที่ปรากฏทางตา แล้วนึกคิดเป็นรูปร่างสัณฐาน และคิดต่อด้วยความจำในสมมติบัญญัติว่าเป็นผู้หญิง เป็นคนนั้น เป็นคนนี้ ชื่อนี้ มีแฟน มีเจ้าของแล้ว ตามบัญญัติที่เป็นเรื่องราวที่ไม่มีจริง เพราะฉะนั้น สิ่งที่มีจริงและเป็นวิบากกรรมจริงๆ คือ ขณะที่จิตเห็นเกิดเห็นสิ่งที่ปรากฏทางตา ขณะที่เห็นรูปที่สวย รูปที่ดี ก็เป็นวิบากกรรมที่ดี ได้ยินเสียงที่เพราะ เสียงที่ดี ก็เป็นวิบากที่ดีในขณะนั้น
เพราะฉะนั้น ในชีวิตประจำวัน เราเจอใคร เมื่อไม่รู้ความจริง ก็เป็นเรื่องราว เจอสัตว์ บุคคล แท้ที่จริง วิบากกรรมจริงๆ ก็เป็นเพียงขณะที่เห็นสี ขณะที่ได้ยินเสียง จึงสมมติว่าเจอในขณะนั้นเท่านั้น ครับ
ดังนั้น ที่กล่าวว่าเจอ ก็ได้อธิบายไปแล้วว่าเจอ คือ อะไร และ วิบากรรม คืออะไรส่วนที่กล่าวว่า เจอคนที่ใช่ อะไรคือใช่ ก็ไม่พ้นจากสภาพธรรมที่มีจริงอีกเช่นกัน นั่นคือ จิต เจตสิกที่คิดว่าใช่
เพราะฉะนั้น ในความเป็นจริง เมื่อเห็นรูปที่ดี ได้ยินเสียงที่ดี แต่ในความเป็นจริงไม่ใช่เพียงเห็น ได้ยินเท่านั้น จิต เจตสิกเกิดขึ้นและดับไป และมีจิตอื่นๆ เกิดต่อ จนเกิดจิตที่เป็นกุศล อกุศล ทางชวนจิต คือ ยินดีพอใจในรูปที่สวย หรือ ไม่ยินดีพอใจในรูปที่ไม่สวย
เพราะฉะนั้น ที่กล่าวว่า เจอคนที่ใช่ ก็คือ อกุศลจิตที่เป็นโลภะ ถูกใจในรูปที่สวยอในเสียงที่ดี หรือ ยินดีพอใจ สิ่งที่ทำให้เกิดสุขเวทนา เพราะ อาศัยโสมนัสเวทนา ความสุขใจที่เกิดจากรูปที่ดี เสียงที่ดี ที่สมมติว่า เป็นคนสวย เป็นคนนิสัยดี ก็ทำให้เกิดโลภะ อกุศลจิตที่ชอบใจ จึงกล่าวว่า เป็นคนที่ใช่ เพราะฉะนั้น คนที่ใช่ ก็คือคนที่โลภะติดข้อง ชอบใจ ไม่ใช่เราที่ถูกใจ แต่เป็นโลภะที่ถูกใจ ติดข้อง ครับ
สิ่งที่ถูกใจ หรือ คนที่ใช่ ก็คือ คนที่โลภะติดข้อง ซึ่งสักวันโลภะก็อาจไม่ติดข้อง ไปติดข้องอย่างอื่น ก็ไม่ใช่คนที่ใช่ ไม่ใช่คนที่ถูกใจ ในอีกจิตคนละขณะ เพราะฉะนั้น การจะได้เห็น การได้ยินสิ่งใดบ่อยๆ คือ เห็นหน้าคนนี้ รูปร่างสัณฐานอย่างนี้ ก็ต้องมีเหตุในอดีตที่ทำมา หากไม่มีเหตุในอดีตที่ทำมา ก็ไม่เจอไม่เห็น อันสมมติเรียกว่าได้อยู่ร่วมกัน ครับ เพราะฉะนั้น บางคนเจอคนที่ใช่ ถูกใจ คือ ถูกใจด้วยโลภะ แต่คนนั้น มีหน้าตารูปร่างไม่ดี เสียงไม่เพราะ แต่คนนั้นก็ต้องอยู่ร่วมกัน คือได้เห็นสิ่งที่ปรากฏทางตาที่ไม่ดี ได้ยินเสียงไม่เพราะ บ่อยๆ จะกล่าวว่าเป็นวิบากกรรมที่ดีไม่ได้ เพราะขณะนั้นเห็นไม่ดี ได้ยินไม่ดี ขณะนั้นจิตนั้นเป็นวิบากที่ไม่ดี ครับ
การเจอคนที่ใช่ ได้อยู่ร่วมกัน ไม่ได้เป็นการตัดสินว่าจะเป็นวิบากกรรมที่ดี เพราะการเจอคนที่ใช่ คือโลภะที่เป็นอกุศลจิตเกิดขึ้น โลภะที่เกิดขึ้น ไม่ได้เป็นตัวตัดสินว่าจะทำให้เกิดวิบากที่ดี แต่กุศลกรรมที่ทำในอดีต ย่อมเป็นปัจจัยให้ได้เห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส รู้กระทบสัมผัสที่ดี ขณะใด ขณะนั้นเป็นวิบากที่ดี ครับ
ทุกอย่างเป็นไปตามเหตุปัจจัย เมื่อยังไม่มีเหตุปัจจัยที่จะได้เห็น ได้ยิน ในลักษณะอย่างนี้ ที่สมมติว่ามีแฟน มีคู่ครอง ก็ย่อมไม่ได้ แต่สิ่งที่เป็นสาระของชีวิต ที่เป็นการเห็นที่ประเสริฐ การได้ลาภอันประเสริฐ คือการได้มีศรัทธาในพระพุทธศาสนา เพราะเป็นไปเพื่อดับกิเลส และเจริญขึ้นในสิ่งที่ประเสริฐ คือ ปัญญา อันจะนำมาซึ่งความสุขในโลกนี้และโลกหน้า สิ่งอื่นๆ ก็เป็นเพียงความสุขชั่วคราว เพียงขณะที่โสมนัสเวทนาเกิดแล้วก็ดับไป หาสาระอะไรไม่ได้ คือไม่สามารถทำให้ชีวิต คือขณะจิตสะสมสิ่งที่ดีคือปัญญา และละคลายกิเลสอะไรได้
แต่การได้ศึกษาพระธรรม พบหนทางที่ถูก ย่อมประเสริฐที่สุดในชีวิตที่เกิดมา จึงควรใช้เวลาเท่าที่มีอยู่ เป็นผู้เจริญกุศล อบรมปัญญาในชีวิตที่เหลือน้อย ครับ สมดังเรื่องที่ท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี กำลังจะไปเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้าในตอนกลางคืน ซึ่งจะเป็นวันที่ท่านจะได้บรรลุธรรม ยักษ์ได้กล่าวคาถาที่น่าฟัง เปรียบเทียบกันระหว่าง การได้หญิง ได้ทรัพย์สมบัติ กับการก้าวไปของท่านอนาถะที่จะทำให้ท่านมีศรัทธา บรรลุธรรม ว่าเทียบกันไม่ได้
เชิญอ่าน ครับ
สุทัตตสูตร [การก้าวไปที่ประเสริฐ คือ ก้าวไปสู่ความเข้าใจพระธรรมที่ถูกต้อง]
ขออนุโมทนา
ขอบคุณครับ อนุโมทนาครับ
เหมือนกับเป็นสิ่งไม่แน่นอนในเรื่องเนื้อคู่ เราเกิดทุกชาติมีแต่เปลี่ยนแปลงครับ
ท่านไม่ให้ยึดติดใช่ไหมครับ ในบางชาตินางพิมพายังเกิดเป็นมเหสีพระอานนท์
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
[๑๖๕๔] ผู้ใดคบชู้ในภรรยาผู้อื่น ย่อมเดือดร้อนในภายหลังว่า หญิงที่ไม่มีใครหวงแหน มีอยู่เป็นอันมาก ไม่ควรที่เราจะคบหาภรรยาผู้อื่นเลย.
อ้างอิงจาก ... ชนสันธชาดก ... พระราชาผู้ยังชนให้ตั้งมั่นด้วยดีในกุศลธรรม
เจอคนที่มีคู่แล้ว เราก็ไม่เข้าไปกระทำอะไรที่เป็นการผิดศีล เพราะการกระทำผิดศีล เป็นเหตุทำให้ผลที่ไม่ดีเกิดขึ้นในภายหน้า นำมาซึ่งความทุกข์ ความเดือดร้อนฝ่ายเดียวเท่านั้น ไม่นำสุขมาให้เลย ในฐานะที่ยังมีกิเลสอยู่ ความติดข้องยินดีพอใจ ก็เกิดขึ้นเป็นธรรมดา แต่ผู้ที่ได้ฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม ก็ย่อมเข้าใจว่า ความติดข้องที่มีกำลัง ก็อาจจะเป็นเหตุให้ล่วงเป็นทุจริตกรรมประการต่างๆ ได้ เพราะฉะนั้น จะประมาทกำลังของกิเลสไม่ได้เลย ถึงแม้จะไม่ได้เป็นคู่ครองกับคนคนนั้นที่คิดว่าเป็นคนที่เรารัก แต่ก็ไม่ได้เป็นเครื่องกั้นการเจริญขึ้นของกุศล เราก็สามารถมีเมตตากับคนนั้นได้ คอยช่วยเหลือเขาได้ เป็นต้น เพราะชีวิตไม่ได้จบแค่ชาตินี้ชาติเดียว ยังต้องเดินทางต่อไปอีกในสังสารวัฏฏ์ เพราะฉะนั้นแล้ว การสะสมความดี และการอบรมเจริญปัญญาเท่านั้น ที่จะเป็นที่พึ่งได้อย่างแท้จริง
ส่วนอกุศลทั้งหลาย เป็นที่พึ่งไม่ได้เลยแม้แต่น้อย ครับ
...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...
ขอเชิญสหายธรรม ร่วมให้คำแนะนำในกระทู้นี้ ครับ
ขออนุโมทนา
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ทรงตรัสรู้ชอบด้วยพระองค์เอง
เจอคนที่ใช่ และเขามีคู่แล้วทำไง
เกือบถูกหวย แปลว่าไม่ถูก เกือบได้ แปลว่า ไม่ได้
เกือบใช่ แปลว่า ไม่ใช่ แต่ยังคิดเพราะติดข้องในโลภะในสิ่งที่เป็นของคนอื่น ที่เคยติดข้อง กำลังติดข้อง และติดข้องต่อไป ตราบที่ยังไม่รู้ว่าคิดหวัง ณ ขณะนี้ เป็นปัจจัยให้ขณะต่อไป ต้องการ และผูกพันเป็นพืชเชื้อให้กับอาสวะกิเลสต่อไป
ยังไม่มีแฟน
ไม่รู้เป็นวิบากกรรมแต่ชาติก่อนหรือเปล่า
แม้มีคนที่ใช่ ที่สวยงาม ก็ยังมีคนที่งามกว่าอีก และมีคนที่งามกว่าอีก อีกมากมายต่อไปไม่จบสิ้น และที่สุดของความงามก็คือความชราไม่น่าดู ถ้ายังไม่เห็นว่าขณะที่โลภะ ความติดข้องเป็นทุกข์ ก็คิดปรุงไปไม่จบสิ้น อาสวะขณะนี้เป็นปัจจัยให้กรรมวัตร กรรมวัตรเป็นปัจจัยให้วิบากขณะต่อไป และเป็นต่อไป หิวต่อไป ติดข้องต่อไป ตราบเมื่อเข้าใจในอริยสัจจธรรม จึงเป็นปัจจัยให้ทราบว่า สุขแท้คือความไม่เร่าร้อนในสุข ทุกข์ในคนที่ใช่ของคนอื่น และไม่เร่าร้อนในโลภะของตัวเอง พ้นทุกข์ร่วมกันนะครับ
อนุโมทนาครับ
ขออนุญาตร่วมสนทนาด้วยนะครับ
จริงๆ คนเราทุกคนก็เกิดมาในโลกนี้คนเดียว แล้วก็ตายจากโลกนี้ไปคนเดียว แม้ขณะที่มีชีวิตแต่ละขณะ ก็อยู่คนเดียวกับในโลกทาง ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ไม่มีคนอื่นเลย แต่เพราะอวิชชาความไม่รู้ จึงยึดติดสภาพธรรมที่ปรากฏ ว่าเป็นเรา เป็นเขาด้วยโลภะความติดข้อง เมื่อไม่ได้ในสิ่งที่ติดข้องต้องการก็เกิดความทุกข์ใจ เป็นเรื่องธรรมดาที่เกิดกับทุกคน
แต่ถ้าได้ฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรมที่พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงก็จะเป็นปัจจัยให้มีความเข้าใจธรรมตามความเป็นจริง และค่อยๆ พิจารณาได้ว่า ความติดข้องซึ่งเป็นอกุศลนำมาซึ่งทุกข์ แต่สิ่งที่ควรมีกับบุคคลอื่นคือความเมตตา ซึ่งเป็นกุศลไม่นำมาซึ่งความทุกข์ และสูงสุดคือ ดับความติดข้องและกิเลสอื่นๆ ได้เป็นสมุจเฉท ไม่ต้องทุกข์อีกเลย
แต่ทั้งหมดก็ต้องเริ่มจากการฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรมบ่อยๆ เนืองๆ ครับ เพราะเป็นที่พึ่งอันประเสริฐที่จะนำทางชีวิตไปในทางที่ถูกต้องดีงามครับ
ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกท่านครับ
อ่านแล้วดีครับ ทุกคำตอบ ขออนุโมทนาทุกท่าน
ขอบคุณครับ อนุโมทนาบุญด้วยครับ
ทำใจค่ะ ... อย่าไปยุ่งกับคนมีคู่แล้วเลย บาปกรรมเปล่าๆ และอย่าไปโทษวิบากเลยค่ะ มันเกิดจากอกุศลจิตล้วนๆ (โลภมูลจิต)
กุศล/อกุศลวิบาก ส่งผลแค่ทำให้ ...
- เห็นดี/ไม่ดี,
- ได้ยินดี/ไม่ดี,
- รู้กลิ่นดี/ไม่ดี,
- รู้รสดี/ไม่ดี,
- รู้สัมผัสทางกายดี/ไม่ดี,
- รับอารมณ์ดี/ไม่ดี,
- พิจารณาอารมณ์ดี/ไม่ดี
ดังนั้น การที่คุณไปชอบแฟนคนอื่น เป็นเพราะกิเลสล้วนๆ ไม่เกี่ยวกับอกุศลวิบากเลย
คุณบอกว่าตั้งแต่เกิดมายังไม่เคยมีแฟน ถ้าคุณหล่อ/รวย/นิสัยดี แต่ไม่เคยสมหวังในความรักเลย อาจเป็นเพราะกรรมเก่าก็ได้ที่สำคัญ ... คุณต้องพิจารณากรรมในปัจจุบัน คือ นิสัยตัวเองที่ทำให้ไม่มีแฟนด้วย เช่น ตั้งสเปกสูงเกินไปไหม, ปิดกั้นตัวเองจากเพศตรงข้ามไหม, กล้าจีบผู้หญิงไหม, สุภาพกับผู้หญิงไหม, อยู่กับคุณแล้วสบายใจไหม เป็นต้น
รักษา ศีล ๕ ไว้นะครับ พูดดี คิดดี ทำดี ได้มนุษย์สมบัติแน่นอน