"ผู้มีปัญญา ไม่ควรคำนึงถึงสิ่งที่ล่วงไปแล้ว ไม่ควรหวังสิ่งที่ยังมาไม่ถึง สิ่งใดล่วงไปแล้ว สิ่งนั้นก็ละไปแล้ว สิ่งใดที่ยังมาไม่ถึงเล่า สิ่งนั้นก็ยังไม่ได้มาถึง บุคคลใดเห็นแจ้งซึ่งธรรมที่เกิดขึ้นเฉพาะหน้าในที่นั้นๆ บุคคลนั้นได้รู้ธรรมนั้นแล้ว ควรเจริญไว้เนืองๆ อย่าให้ง่อนแง่น คลอนแคลน ความเพียรเผากิเลส ควรทำวันนี้แหละ ใครเล่าจะรู้ว่าความตายจะมีในวันพรุ่งนี้ เพราะความผัด เพี้ยนต่อมัจจุราชผู้มีเสนาใหญ่ย่อมไม่มีแก่เราทั้งหลาย มุนีผู้สงบย่อมสรรเสริญบุคคลผู้มีธรรมเป็นเครื่องอยู่ อย่างนี้ ผู้มีความเพียรเผากิเลสไม่เกียจคร้านทั้งกลางวันและกลางคืน นั่นแลว่า ผู้มีราตรีเดียวเจริญ"
ภัทเทกรัตตคาถา เนติปกรณ์ แปลโดย อ.สมพร ศรีวราทิตย์
พระมหากัจจายนะเถระกล่าวว่า.....
"ท่านผู้มีอายุ เรารู้ภาษิตที่แสดงโดยย่อนั้นโดยพิสดารว่า เมื่อบุคคลคิดว่า ในกาลล่วงแล้ว ตากับรูป หูกับเสียง จมูก กับกลิ่น ลิ้นกับรส กายกับสิ่งที่พึงถูกต้องกาย ใจกับอารมณ์ ที่เกิดกับใจของเราแล้วอย่างนั้น ความกำหนัดพอใจในสิ่งนั้น ก็ผูกวิญญาณ เพราะวิญญาณอันความกำหนัดพอใจผูกพันแล้ว ผู้นั้นย่อมเพลิดเพลินในสิ่งนั้นๆ อย่างนี้ ชื่อว่า คำนึงถึงสิ่งที่ล่วงไปแล้ว ไม่คิดอย่างนั้นไม่กำหนัดพอใจในสิ่งนั้นๆ ก็ไม่ผูกวิญญาณ ผู้นั้นย่อมไม่ผูกพันในสิ่งนั้นๆ ผู้ไม่เพลิดเพลินในสิ่งนั้นๆ อย่างนี้ ชื่อว่าไม่คำนึงถึงสิ่งที่ล่วงแล้ว"
เนติปกรณ์...แปลโดย อ. สมพร ศรีวราทิตย์.
คำนึงที่ล่วงแล้วด้วยอำนาจกิเลส และสิ่งที่ยังมาไม่ถึง ด้วยอำนาจของกิเลส มี โลภะ เป็นต้น
ขออนุโมทนา
ขออนุโมทนาครับ
ขณะที่สติปัฏฐานเกิด ชื่อว่าผู้มีราตรีหนึ่งเจริญค่ะ
ทำไมต้องใช้คำว่า "ผู้มีราตรีหนึ่งเจริญ" คะ
หมายความถึง ผู้ที่ไม่ประมาท
ที่ใช้คำว่า ผู้มีราตรีหนึ่งเจริญ เพราะให้มีสติอยู่กับปัจจุบัน คือ การเจริญสติปัฏฐานเป็นปกติค่ะ
ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
ขออนุโมทนาครับ
ขออนุโมทนาค่ะ