1.อยากให้ช่วยขยายความและยกตัวอย่างที่เกิดขึ้นด้วยครับ
2. นิพพานมีปัจจัยปรุงแต่งหรือไม่
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
สังขารธรรม คือ ธรรมที่มีปัจจัยปรุงแต่ง หมายถึง สภาพธรรมที่ต้องอาศัยสภาพธรรมอื่นจึงเกิดขึ้นได้แก่ จิต เจตสิก และรูปทั้งหมด เป็นสังขารธรรม เพราะต้องอาศัยสภาพธรรมอื่นๆ เป็นปัจจัย ตัวอย่างเช่น สังขารธรรมไม่ใช่ขณะอื่น เป็นขณะนี้ และสังขารเดี๋ยวนี้ ก็คือ เห็น เพราะเกิด ถ้าไม่มีปัจจัย ปรุงแต่งก็ไม่เกิดขึ้นเห็น เสียงก็เป็นสังขาร เพราะมีปัจจัยปรุงแต่ง ซึ่งต้องอาศัยมหาภูตรูปจึงเกิดได้ แต่ขณะนี้สังขารเกิดดับอยู่ก็ไม่รู้ ก็เพราะมีอวิชชาความไม่รู้อยู่ มีเห็น มีสิ่งที่ปรากฏทางตา มีกาย มีแข็งที่กระทบ มีรู้แข็ง แต่ไม่ปรากฏความหน่ายในโลกที่เกิดดับเลย ถ้ายังไม่รู้ว่า แข็ง เป็นต้น เป็นธรรม ก็เป็นไปไม่ได้ที่จะหน่ายในสังขารธรรม
ธรรมที่ไม่มีปัจจัยปรุงแต่ง หมายถึง พระนิพพาน ซึ่งเป็นสภาพที่เที่ยงเพราะปราศจากความแปรปรวนเปลี่ยนแปลงเป็นสุข เพราะไม่เกิดไม่ดับทนอยู่ในสภาพเดิมได้และเป็นอนัตตาเพราะเป็นสภาพธรรมที่ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใครnที่ทรงแสดงว่า "นิพฺพานํ ปรมํ สุขํ" (นิพพานเป็นสุขอย่างยิ่ง) ความสุขในที่นี้ไม่ใช่หมายถึงสุขเวทนาแต่หมายถึงความสุขที่เป็นความสงบระงับจากสังขารทั้งปวง เพราะว่าสังขารธรรมทั้งปวงไม่เที่ยง เป็นทุกข์ความดับสิ้นสังขารทั้งปวงคือพระนิพพานจึงเที่ยงและเป็นสุข แต่ทั้งสังขารธรรมและวิสังขารธรรมต่างก็เป็นอนัตตา ครับ
ขออนุโมทนา
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
๑. สิ่งที่มีจริง เป็นสภาพธรรมที่ทรงไว้ซึ่งลักษณะของตน ใครๆ ก็เปลี่ยนแปลงความเป็นจริงของสิ่งที่มีจิรงให้เป็นอย่างอื่นไม่ได้ และสิ่งที่มีจริงที่เกิดขึ้นเป็นไปนั้น ไม่พ้นจากชีวิตประจำวัน เป็นสิ่งที่มีจริงที่เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย ไม่มีใครบังคับบัญชาให้สภาพธรรมหนึ่งสภาพธรรมใดเกิดขึ้นเป็นไปได้ ไม่มีสภาพธรรมอย่างหนึ่งอย่างใดที่เกิดขึ้นเองลอยๆ แต่เกิดเพราะเหตุปัจจัย ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใครทั้งสิ้น เมื่อประมวลแล้วก็คือ จิตทั้งหมด เจตสิกทั้งหมด และรูปทั้งหมด เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย เป็นสังขตธรรม ไม่ใช่สัตว์บุคคลตัวตนเลยแม้แต่น้อย ทุกคำที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงเกื้อกูลให้ผู้ที่ได้ฟังมีความเข้าใจที่ถูกต้อง น้อมไปสู่ความเป็นสภาพธรรมที่ไม่ใช่เราอย่างแท้จิรง ทุกคำของพระองค์ แสดงถึงสิ่งที่มีจริงถึงที่สุด คือ ไม่ใช่เรา
จิต เป็นสภาพธรรมที่มีจริง เป็นสภาพธรรมที่เป็นใหญ่เป็นประธานในการรู้แจ้งอารมณ์ เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัยแล้วดับไป และทุกขณะของชีวิตไม่มีขณะใดเลยที่จะปราศจากจิตแม้แต่ขณะเดียว เพราะเหตุว่าจิตขณะหนึ่งเกิดแล้วดับไปเป็นปัจจัยให้จิตขณะต่อไปเกิดสืบต่อทันที
เจตสิก (สภาพธรรมที่เกิดประกอบพร้อมกับจิต) ก็เป็นสภาพธรรมที่มีจริง เป็นสภาพธรรมที่เกิดพร้อมกับจิต ดับพร้อมกันกับจิต รู้อารมณ์เดียวกันกับจิต และในภูมิที่มีขันธ์ ๕ (คือมีทั้งรูปธรรมและนามธรรม) เจตสิกก็อาศัยที่เกิดที่เดียวกันกับจิตด้วย ซึ่งเป็นเรื่องที่ละเอียดมาก ตัวอย่างของเจตสิก เช่น ผัสสะ (สภาพธรรมที่กระทบอารมณ์) เวทนา (ความรู้สึก) โลภะ (ความติดข้อง) โทสะ (ความโกรธ) โมหะ (ความไม่รู้) สติ (สภาพที่ระลึกเป็นไปในกุศล) หิริ (ความละอายต่อบาป) โอตตัปปะ (ความเกรงกลัวต่อบาป) ปัญญา (ความเข้าใจถูกเห็นถูก) ไม่มีเจตสิกแม้แต่อย่างเดียว ที่เป็นเรา เพราะเป็นธรรมแต่ละหนึ่งๆ เท่านั้น
รูป หรือ รูปธรรม เป็นสภาพธรรมที่ไม่รู้อะไร เช่น สี เสียง กลิ่น รส เป็นต้น รู้อารมณ์อะไรๆ ไม่ได้ เพราะไม่ใช่สภาพรู้, รูปธรรม ก็เป็นสิ่งที่มีจริง เกิดขึ้นเพราะปัจจัยปรุงแต่งแล้วก็ดับไปเช่นเดียวกัน ไม่ใช่เรา
จิต เจตสิก และรูปธรรม ทั้งหมดนี้ เป็นสังขตธรรม เช่น กำลังเห็นในขณะนี้ เกิดแล้วเพราะเหตุปัจจัยหลายอย่าง กล่าวคือ มีอารมณ์ของจิตเห็น คือ ต้องมีสีซึ่งเป็นสิ่งที่ปรากฏทางตา มีเจตสิกเกิดร่วมกับจิตเห็น มีรูปซึ่งเป็นที่เกิดของจิตเห็น คือ จักขุวัตถุ (ตา) ทั้งหมดแสดงถึงความเป็นจริงของ
สภาพธรรมที่เป็นอนัตตา คือ ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตน เมื่อเป็นแต่เพียงสภาพธรรมแต่ละหนึ่งที่เกิดดับ แล้วจะเป็นเราได้อย่างไร ไม่มีเราแทรกอยู่ในสภาพธรรมแต่ละหนึ่งๆ ได้เลย
สังขตธรรม เป็นสภาพธรรมที่มีปัจจัยปรุงแต่งเกิดขึ้นแล้วดับไป ถ้าเข้าใจคำนี้ ก็พิจารณาได้ว่า ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้น ต้องมีปัจจัยปรุงแต่ง มิฉะนั้น เกิดไม่ได้ และสิ่งใดก็ตามที่มีปัจจัยปรุงแต่งเกิดขึ้นแล้วต้องดับไป ไม่มีอะไรเหลือเลย ซึ่งตลอด ๔๕ พรรษาแห่งการแสดงพระธรรมของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า คำนี้ คือ สังขตธรรม ไม่เปลี่ยนความหมายเป็นอย่างอื่น เพราะหมายถึงสภาพธรรมที่เกิดแล้วเพราะปัจจัยปรุงแต่งให้เกิด ถ้าหากได้ยินคำว่า “สังขตธรรม” ขณะใด ก็หมายความถึงสภาพธรรมใดๆ ก็ตามที่มีปัจจัยปรุงแต่งเกิดขึ้นแล้วดับไปนั่นเอง เมื่อจิตเป็นสภาพธรรมที่อาศัยเหตุปัจจัยเกิดขึ้น จิตก็เป็นสังขตธรรม เจตสิกเป็นสภาพธรรมที่อาศัยจิตเกิดขึ้น เจตสิกก็เป็นสังขตธรรม เช่น ความชอบใจ ความต้องการ เป็นโลภเจตสิก ความขุ่นเคืองใจ ความหยาบกระด้างของจิต เป็นโทสเจตสิก เจตสิกแต่ละชนิด ไม่ใช่จิต เพราะเหตุว่า เจตสิกเกิดร่วมกับจิต ดับพร้อมจิต แต่ว่าเจตสิกมีหลายชนิด และบางชนิดก็เกิดกับจิตประเภทหนึ่ง อีกบางชนิดก็เกิดกับจิตอีกประเภทหนึ่ง เพราะฉะนั้น จิตประเภทหนึ่งก็มีเจตสิกเกิดร่วมด้วยมากน้อยต่างๆ กัน และเป็นแต่ละประเภทด้วย เช่น ขณะที่ชอบ สนุกสนานเบิกบานใจ ไม่ใช่ในขณะที่กำลังโกรธขุ่นเคืองใจ เป็นต้น นี้คือความเป็นจริงของธรรม
เมื่อเริ่มฟังพระธรรม ก็เริ่มเข้าใจว่า สังขตธรรมทั้งหลาย กล่าวคือ จิต เจตสิก รูป เป็นสภาพที่ไม่เที่ยง เพราะทันทีที่เกิดขึ้นแล้วก็ดับไป เพราะฉะนั้น ไม่มีใครรู้ว่า สภาพธรรมเหล่านี้เกิดจริงๆ และดับจริงๆ แต่เมื่อพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงความจริงจากการที่พระองค์ได้ตรัสรู้ ก็เป็นหนทางให้พุทธบริษัทได้ศึกษาพระธรรมพิจารณาพระธรรม และอบรมเจริญปัญญาความเข้าใจถูกเห็นถูกได้ ประการที่สำคัญ ทั้งหมดที่กล่าวถึงนี้ มีจริงๆ ในขณะนี้ ไม่ต้องไปแสวงหาที่ไหนเลย อยู่ที่เดี๋ยวนี้ ขณะนี้ แต่ละขณะจริงๆ
อ้างอิงจากหัวข้อ ภาษาบาลีสัปดาห์ละคำ [คำที่ ๕๓๓] สงฺขตา ธมฺมา
๒. พระนิพพาน เป็นสภาพธรรมที่ไม่เกิด ไม่ดับ ไม่มีปัจจัยปรุ่งแต่งให้เกิดขึ้นได้เลย แต่มีจริง พระอริยบุคคลขั้นต่างๆ เท่านั้นที่ประจักษ์แจ้งพระนิพพานได้
การเป็นพระอริยบุคคลขั้นต่า่งๆ เป็นได้ด้วยปัญญา และต้องเป็นปัญญาของแต่ละบุคคลจริงๆ ด้วยความเข้าใจที่ถูกต้องในหนทางที่เป็นไปเพื่อความบริสุทธิ์แห่งจิต คือ อริยมรรคมีองค์ ๘ มีสัมมาทิฏฐิ เป็นต้น ถ้าไม่มีปัญญาเลย ก็ไม่สามารถเป็นพระอริยบุคคล ได้ ครับ
...ยินดีในความดีของทุกๆ ท่านครับ...
สาธุ ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ
ขออนุโมทนาครับ
ขออนุโมทนาครับ