* ธรรมคือสิ่งที่มีจริงที่กำลังปรากฏในขณะนี้ทีละหนึ่งตามความเป็นจริง ไม่ได้ปรากฏรวมๆ เลย เช่น สี เสียง กลิ่น รส เย็น-ร้อน อ่อน-แข็ง ตึง-ไหว ก็เป็นธรรมแต่ละอย่าง เห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส รู้สิ่งที่กระทบกาย คิดนึก ก็เป็นธรรมแต่ละอย่าง
* แต่เพราะความไม่รู้ตามความเป็นจริง และการที่สภาพธรรมแต่ละอย่างเกิดดับสืบต่อรวดเร็วสุดประมาณ เป็นนิมิตของสิ่งต่างๆ ให้รู้ เราจึงจำและคิดว่าสิ่งที่ปรากฏให้รู้นั้นเป็นสิ่งที่รวมๆ คือเป็นรูปร่าง รูปทรง ส่วนหยาบ ส่วนละเอียด เป็นคน สัตว์ ต้นไม้ หรือวัตถุสิ่งของต่างๆ ซึ่งเราได้สะสมความคุ้นชินในการจำและคิดว่าเป็นรวมๆ เป็นตัวตน เช่นนี้มาแสนนาน จนเป็นความยึดมั่นถือมั่น ที่ยากจะละคลายได้
* ดังนั้นการที่จะเข้าใจธรรมจริงๆ จึงต้องศึกษาธรรมด้วยความละเอียดและตรงตามความเป็นจริงว่า ไม่มีเรา แต่มีธรรมแต่ละหนึ่ง ที่ปรากฏลักษณะของสภาพธรรมนั้นทีละหนึ่งให้รู้ได้ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ
* ความเข้าใจในความเป็นธรรมแต่ละหนึ่งเริ่มตั้งแต่เข้าใจในขั้นการฟังพระธรรม การพิจารณาไตร่ตรองในแต่ละคำ ซึ่งแสดงถึงความเป็นธรรมแต่ละอย่าง เมื่อมีความเข้าใจในขั้นการฟังเพิ่มขึ้น ละเอียดขึ้น จนเป็นความเข้าใจที่มั่นคงว่าทุกอย่างเป็นธรรม ไม่ใช่เรา ก็จะเป็นปัจจัยให้สติปัญญาในขั้นระลึกรู้ตรงลักษณะสภาพธรรมที่กำลังปรากฏทีละหนึ่ง เกิดขึ้น เจริญขึ้นโดยความเป็นอนัตตา ไม่ใช่ด้วยความเป็นเราที่คิด เป็นเราที่จะไปทำอะไรเลยทั้งสิ้น
โดย อ.อรรณพ หอมจันทร์
อ่านหัวข้ออื่นๆ คลิกที่นี่ ... คติธรรม
กราบขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
ขออนุโมทนาครับ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
กราบขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ