ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
เมื่อวันที่ ๒๙ - ๓๐ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๕๖ ที่ผ่านมา ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ได้รับเชิญจาก พลตรีหญิงนันทา เกษหอม เพื่อไปพักผ่อนและสนทนาธรรม ที่ บ้านสวนนันทา อำเภอเขาคิชฌกูฏ จังหวัดจันทบุรี
พี่นันท์ หรือ พลตรีหญิงนันทา เกษหอม ปัจจุบันท่านดำรงตำแหน่งประธานชมรมดนตรีและนาฏศิลป์ วังพญาไท เคยได้รับคำประกาศเกียรติคุณจากโรงพยาบาลพระมงกุฏเกล้าฯ ว่าเป็นผู้ที่เสียสละทำงานเพื่อส่วนรวมอย่างดียิ่ง ทั้งยังเป็นผู้ก่อตั้งและเป็นประธานชมรมศิษย์พยาบาลทหารบกท่านแรก ซึ่งต่อมา ท่านก็ได้รับเลือกเป็นนายกสมาคมพยาบาลทหารบกท่านแรก อีกด้วย
ข้าพเจ้าได้รู้จักท่าน เมื่อคราวงานแสดงกัลยาณจิตและการสนทนาธรรม เนื่องในโอกาสวันครบรอบอายุ ๘ รอบ ๙๖ ปี คุณย่าสงวน สุจริตกุล ณ บ้านอัมพวา รีสอร์ทแอนด์สปา อำเภออัมพวา จังหวัดสมุทรสงคราม เมื่อปลายปีที่แล้ว
(ภาพอาจารย์อรรณพ หอมจันทร์ และ พลตรีหญิงนันทา เกษหอม)
ท่านเป็นผู้หนึ่งในการจัดการแสดงและร่วมแสดงในงานดังกล่าวด้วย เนื่องจากท่านเป็นผู้มีความสามารถทางด้านดนตรีและนาฏศิลป์ รวมทั้งการประพันธ์บทร้อยกรองต่างๆ เป็นที่ปรากฏ ที่สำคัญที่สุด ท่านเป็นผู้ที่สนใจในธรรม ฟังธรรมบรรยายจากท่านอาจารย์มานาน ด้วยกุศลจิตและกุศลศรัทธา ท่านจึงมีความประสงค์ที่จะกราบเรียนเชิญท่านอาจารย์ ไปพักผ่อนและสนทนาธรรมที่บ้านสวนของท่าน สักครั้งหนึ่ง ในชีวิต และความปรารถนาของท่าน ก็ได้ประสบความสำเร็จแล้วด้วยดีในคราวนี้
พี่นันท์ ได้จัดรถตู้อย่างดีสองคัน เพื่อมารับสมาชิกที่จะไป ที่หน้าพระราชวังพญาไท จากนั้น ก็เดินทางไปรับท่านอาจารย์ที่บ้านที่คลองตัน แล้วคณะทั้งหมด ก็ออกเดินทางมุ่งหน้าสู่จังหวัดจันทบุรี โดยคณะของเราทั้งหมด ได้แวะพักรับประทานอาหารกลางวัน ที่ ร้านอาหารแถวอำเภอแกลง จังหวัดระยอง ที่คุณแอ๊ว (นภา จันทรางศุ) นางฟ้าประจำมูลนิธิฯ เป็นผู้ค้นหาร้านอร่อยนี้ จากกูเกิ้ล
นอกจากจะเป็นร้านที่ทำอาหารต่างๆ ได้อร่อย มีรสชาติความเป็นพื้นบ้าน อาหารไทยแท้ๆ ที่หารับประทานได้ยากในสมัยนี้ เนื่องจากอาหารตามร้านใหญ่ๆ ทั่วไปในปัจจุบัน มักมีรสชาติที่เหมือนๆ กันหมด คือ เปรี้ยวไป เค็มไป มันไป เผ็ดไป และ หวานไป เป็นต้น
ที่นี่ ยังเป็นที่ท่องเที่ยวเชิงเกษตร ที่สาธิตการปลูกสะละ (ท่านว่า ไม่ใช่สละ อย่างที่เราเรียกกันอยู่) สะละ นี้ เพิ่งมีการปลูกแพร่หลาย เป็นที่นิยมรับประทานกันโดยทั่วไป เมื่อราวยี่สิบปีมานี้เอง คุณแอ๊ว ผู้ใจดี ซื้อมาให้ทุกท่านได้รับประทานถึงสามถุงใหญ่ หอม หวาน อร่อยมากครับ
หลังรับประทานอาหารเสร็จ ก็ออกเดินทางต่อ ราวบ่ายสามโมงครึ่ง คณะของเราก็เดินทางถึง บ้านสวนนันทา ที่มีบรรยากาศล้อมรอบไปด้วยสวนผลไม้ นานาชนิด รวมถึง สวนยางพารา ที่มีผู้นิยมนำมาปลูกแทนผลไม้ขึ้นชื่อต่างๆ ที่มีมาแต่เดิม
หลังจากนั้น ทุกท่านก็ขนของเข้าบ้านพักหลังใหญ่ ซึ่งมีห้องนอนถึง ๓ ห้อง มีห้องครัวกว้างขวาง พร้อมเครื่องทำครัวเพียบพร้อม มีห้องรับประทานอาหารกว้างขวาง เป็นบ้านธรรมดาๆ ที่ดูสะอาดสะอ้าน โล่งโปร่งสบาย ด้วยหน้าต่างรอบบ้าน น่าอยู่ครับ ที่สำคัญ พี่นันท์ ที่นอกจากจะเป็นผู้มากความสามารถในด้านต่างๆ แล้ว ยังมีฝีมือทำอาหารที่อร่อยมากๆ ด้วย เดินทางคราวนี้ ทั้งอาจารย์อรรณพ และ ข้าพเจ้า มีความเห็นตรงกัน ว่าได้ลิ้มรสอาหารอร่อย รสชาติกลมกล่อม ดั้งเดิมแท้ๆ จริงๆ
คณะสี่หนุ่มของเรา (คือ อาจารย์อรรณพ พี่สมพร คุณคำปั่น และข้าพเจ้า) ได้ที่พักเป็นบ้านหลังเล็กน่ารัก มีห้องน้ำในตัว อยู่ข้างบ้านหลังใหญ่นั่นเอง มีตั่งตัวใหญ่ สำหรับนั่งพักนั่งคุย ซักซ้อมดนตรี ตกดึก ก็เป็นที่นอนของข้าพเจ้า ที่สมัครใจกางมุ้งรับลมอยู่ภายนอกบ้าน นานแล้วที่ไม่ได้นอนมุ้ง นึกกลัวอยู่เหมือนกัน นอนสอบสวนความคิดตนเองอยู่นาน ว่ากลัวอะไร? ทราบว่า กลัวร้อนหนึ่ง กลัวคนหนึ่ง เพราะนอนข้างนอกคนเดียว คิดถึงคำท่านอาจารย์ที่ว่า เราอยู่คนเดียวในโลก ในที่สุดก็คิดว่า เราอยู่คนเดียวในโลก ก็จริง แต่คืนนี้ ขออยู่กับเสียงสนทนาธรรมของท่านอาจารย์ที่เปิดไว้ข้างๆ หู ตลอดทั้งคืนจนหลับจะดีกว่า ตื่นขึ้นกลางดึกเมื่อใด ก็กดเทปเวียนฟังจนหลับต่อถึงเช้า รู้สึกตัวเมื่อใหร่ ก็อุ่นใจเมื่อนั้น ที่ไหนๆ ก็ปลอดภัย เมื่อมีเสียงของท่านอาจารย์ "เสียง" ที่ทำให้บุคคลมากมาย ตลอดระยะเวลาหลายสิบปีที่ผ่านมาปลอดจากภัย คือ กิเลส และ ความไม่รู้ เพราะเหตุว่า ขณะใด ที่มีความเข้าใจ ภัยจากกิเลส และ ความไม่รู้ จะมีมาแต่ไหน?
พี่นันท์ เรียนเชิญท่านอาจารย์เดินชมต้นไม้ได้ครู่เดียว ก็มีฝนโปรยลงมา กาลแห่งการสนทนาธรรม จึงเริ่มต้นขึ้นด้วยความเรียบง่ายและเป็นกันเองอย่างยิ่ง ด้วยความเมตตาของท่านอาจารย์ เรานั่งสนทนากันหน้าบ้าน มองเห็นสวนสวยโดยรอบ บ้าน ซึ่ง บัดนั้น ได้กลายเป็นสถานที่ๆ ประเสริฐไปแล้ว ใน ณ กาลครั้งนั้น ด้วยว่า ไม่ว่าท่านอาจารย์ จะย่างก้าวไปในที่แห่งใด ที่นั้นๆ ย่อมประเสริฐ ด้วยเสียงของพระธรรม จากความเมตตาของท่านผู้เป็นกัลยาณมิตร มิตรผู้มีแต่ให้ความเมตตา ปรารถนาดี เกื้อกูล ทุกคน โดยเสมอกัน โดยไม่เลือก โดยไม่หวังผลตอบแทนใดๆ เลย ตลอดระยะเวลาร่วม ๖๐ ปีมาแล้ว
หลายครั้ง หลายหน ที่ข้าพเจ้ามีความคิดขึ้นมา ในขณะที่ฟังท่านสนทนาธรรมในที่ต่างๆ ว่า ไม่น่าเชื่อว่า ข้าพเจ้าจะได้เป็นผู้หนึ่ง ที่มีโอกาสอันแสนประเสริฐในสังสารวัฏฏ์ ที่มีโอกาสได้มานั่งฟังธรรมที่ถูกต้อง เที่ยงตรง จากท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ในท่ามกลางมวลหมู่กัลยาณมิตร ณ เวลานี้ เพราะ ขณะที่ท่านเริ่มบรรยายธรรมครั้งแรก เมื่อปีพุทธศักราช ๒๔๙๙ นั้น ข้าพเจ้ายังไม่เกิดเลย และ เมื่อท่านอาจารย์บรรยาย "แนวทางเจริญวิปัสสนา" ที่วัดมหาธาตุฯ เมื่อปีพุทธศักราช ๒๕๑๐ นั้น ข้าพเจ้าก็มีอายุเพียง ๖ ขวบ เท่านั้น
บัดนี้ กาลเวลาได้ล่วงมา ถึงปีพุทธศักราช ๒๕๕๖ แล้ว ร่วม ๖๐ ปี แล้ว ที่เสียงของพระธรรมที่ถูกต้อง ซื่อตรงอย่างยิ่งนั้น ยังคงดำรงอยู่ จะไม่ให้ข้าพเจ้าคิดว่า การที่ยังเป็นผู้ที่มีโอกาส ได้ฟังการบรรยายธรรมจากท่านอาจารย์อยู่ในเวลานี้นั้น ช่างเป็นโอกาสและกาลเวลาที่แสนประเสริฐยิ่งสักเพียงไหน ในสมัยที่ผู้คนมากมาย แสวงหาธรรม แต่ไม่มีโอกาสได้พบ หรือ แม้ว่าพบแล้ว ก็ไม่สามารถเข้าใจในหนทางที่ถูกต้องนี้ได้ กลับถูกโลภะ พาไป ลากจูงไปสู่หนทางที่ไม่ทำให้เข้าใจ พาไปสู่หนทางยึดติด อยู่ในวังวนของสังสารวัฏฏ์ ออกไม่ได้
ปัญญา คือ ความรู้ถูก ความเข้าใจถูก ในสภาพธรรมะที่มีจริง ที่กำลังปรากฏในขณะนี้ เท่านั้น ที่จะนำพาบุคคล เวียนออกจากสังสารวัฏฏ์ได้ หาใช่ความติดข้อง คือ โลภะ ซึ่งพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงเปล่งคำอุทานที่ใต้ต้นพระศรีมหาโพธิ์ เมื่อหลังที่ทรงตรัสรู้ว่า ทรงพบนายช่างผู้สร้างเรือน คือ สังสารวัฏฏ์แล้ว ซึ่งก็คือ โลภะ ความติดข้องนี้เอง แม้จะพูดอย่างนี้ แม้จะกล่าวอย่างนี้ เมื่อยังไม่มีปัจจัยพอ บุคคลก็ไม่สามารถเข้าใจได้ แต่ละคนก็เป็นแต่ละหนึ่งตามการสะสม จริงๆ ท่านจึงกล่าวเตือนบ่อยๆ ว่า พระธรรมไม่สาธารณะแก่บุคคลทั่วไป จึงเป็นผู้ที่ช่วยให้ตนเองรอดก่อน แล้วจึงเกื้อกูล แก่บุคคล ตามกาละ และ โอกาส ด้วยความเป็นมิตร ด้วยความเมตตา ไม่ใช่ด้วยความอยาก ความติดข้อง ต้องการ ท่านกล่าวในการสนทนาธรรมครั้งนี้ ไว้อย่างน่าประทับใจประโยคหนึ่งว่า
..........
"...ช่วยใครได้? นอกจากเป็นเพื่อน หวังดี และ ทำสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับเขา ให้ความรู้ รับได้แค่ไหน ก็เรื่องของเขา ไม่ใช่เรื่องเราจะเดือดร้อน แล้วเราเป็นเพื่อนตลอด หวังดีตลอด รอได้ จนกว่าเขาจะเข้าใจพระธรรม..."
.........
กราบท่านอาจารย์ครับ อันดับต่อไป ข้าพเจ้าขอนำความการสนทนาธรรม ระหว่างพี่จำเนียร กับ ท่านอาจารย์ มาฝากให้ทุกๆ ท่านพิจารณา
พี่จำเนียร ผู้ซึ่งเป็นกัลยาณมิตรคนหนึ่งของพี่นันท์ เป็นผู้ที่ชักชวนพี่นันท์ ให้ได้มาพบและฟังพระธรรมกับท่านอาจารย์ เป็นตอนหนึ่งของการสนทนา ที่มีความไพเราะจับใจทุกๆ ท่าน ในวันนั้นเป็นอย่างยิ่งแม้ว่าอากาศในตอนเย็นของวันแรกที่เราไปถึง จะมีความร้อนอบอ้าวบ้างพอควร แต่พระธรรมที่ได้ยิน ได้ฟัง เหมือนหยาดน้ำทิพย์ ที่หลั่งรด ชโลมใจ ให้แช่มชื่น เยือกเย็น สุดที่จะพรรณาได้
พี่จำเนียร ที่ท่านอาจารย์บอกว่า การที่จะดับความไม่เข้าใจ ความไม่รู้ที่เป็นตัวตน ที่เรามีอยู่ตลอดเวลา คือ การรู้ความจริง
ท่านอาจารย์ เพราะว่า ความจริง ไม่มีตัวตนไงคะ แต่ถ้ายังไม่รู้ว่า อะไรจริง ก็ต้องคิดว่า สิ่งนั้นแหละ เป็นตัวตน อย่าง "ได้ยิน" อย่างนี้ มี แต่เข้าใจว่า "เป็นเรา" ความจริง "ได้ยิน" เกิด เพราะเหตุปัจจัย แล้วก็ดับ ไม่กลับมาอีกเลย "เรา" จะอยู่ไหน? หมดแล้ว!! พอสิ่งใดสิ่งหนึ่ง เกิดอีก ความเป็นเรา ก็ไปยึดถือสิ่งนั้นอีก เพราะ ไม่รู้ อะไรก็ตาม ที่เกิดมีขึ้น ด้วยความไม่รู้ ก็ทำให้เข้าใจว่า เป็นสิ่งหนึ่งสิ่งใด ที่เที่ยง ไม่รู้การเกิด การดับ ของสิ่งนั้น
พี่จำเนียร ที่นี้ จากการฟัง "เสียง" มีจริง นึกได้ ว่าเป็นธรรมะ ตามขึ้นมาในบางครั้ง
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น ขณะนั้น "คิด" ไม่ใช่ "รู้เสียง"
พี่จำเนียร ขณะนั้นเป็น "คิด"?
ท่านอาจารย์ ค่ะ เสียงดับแล้ว เสียงดับแล้ว เพราะฉะนั้น ต้องรู้ ในขณะที่ เสียงปรากฏ ถึงจะชื่อว่า รู้เสียง เข้าใจเสียง ต้องในเมื่อสิ่งนั้น ยังมี
พี่จำเนียร ก็จะเป็นอย่างนี้ ทุกๆ ทาง
ท่านอาจารย์ จนกว่า ความเข้าใจ มั่นคงขึ้น อย่าง "เห็น" ไม่ใช่ "ได้ยิน" เรารู้ยังไม่มั่นคง เพราะมันเหมือนพร้อมกัน ไม่ใช่ว่า เรารู้เห็นจริงๆ ไม่ใช่เรารู้ ตรงกำลังได้ยินจริงๆ เพราะฉะนั้น ไม่ใช่ความมั่นคง ที่จะเข้าใจว่า เห็น เป็น เห็น ไม่ใช่ได้ยินเลย แค่นี้ค่ะ และ ได้ยินนี้ ก็ได้ยิน ไม่ใช่เห็น พร้อมกันไม่ได้ และได้ยิน ถ้าไม่เกิดขึ้น เสียงจะปรากฏได้ไหม? ก็ไม่ได้ นี่คือ "โลก" ปรากฏ เพราะมีธาตุรู้ ซึ่งกำลังรู้ สิ่งหนึ่งสิ่งใด ตื่นขึ้นมาก็เห็น ก็รู้ว่า มีฟ้า มีภูเขา มีอะไร แต่ความจริง มีเห็น กับ สิ่งที่ปรากฏให้เห็น แล้วดับ แต่ว่า จากการที่สิ่งนั้น เกิดดับ สืบต่อ ไม่ขาดสาย รวดเร็ว จนปรากฏเป็นนิมิต รูปร่าง สัณฐาน ให้รู้ได้
เพราะฉะนั้น "สภาพจำ" ก็จะ จำๆ ๆ ๆ ไม่ว่าสิ่งนั้น ปรากฏให้เห็น หรือว่า ปรากฏทางหู จำแล้ว ถ้าเราไปถามว่า นี่เสียงอะไร? ตอนนี้ เรานึกชื่อเป็น แต่ว่า ถ้าเรายังไม่ถาม ว่าเสียงอะไร? แต่เสียงนี้ เราจำแล้ว เราถึงได้จำได้ พอได้ยินเสียงอีก เราก็ว่าอันนี้ เคยได้ยินเสียงอย่างนี้ แม้ว่าไม่ใช่เสียงนั้น แต่ว่าสภาพของเสียงที่เหมือนกัน เกิดขึ้นเป็นอย่างนั้น เราก็จำได้ อย่างเสียงคนอย่างนี้ เห็นไหม? พอโทรศัพท์มา ก็รู้ว่าใคร? เพราะว่าจำได้ ว่าเสียงนี้ ไม่ต้องไปถามว่า เสียงใคร? แต่ว่า พอเสียงนี้ "สภาพจำ" จำทันที ว่า เสียงนี้ เนี่ย เสียงนี้ เมื่อกี้นี้ ก็ได้ยิน เรายังไม่รู้เลย ว่าเสียงอะไร?
นี่คือ ความเป็นไป ที่รวดเร็ว ที่เกิดมาแล้ว ก็ต้องเป็นอย่างนี้ คือ ต้องรู้ รู้ รู้ มีสิ่งที่ปรากฏ ตั้งแต่เกิดมา ลืมว่า ถ้าไม่มีธาตุรู้ หรือ สภาพรู้ อะไร ก็ปรากฏไม่ได้ ง่ายนิดเดียว แค่นี้ ถ้าไม่มีธาตุรู้ อะไร ก็ปรากฏไม่ได้
แต่ไม่ยอม กับกลายเป็น สิ่งที่ปรากฏนั่น มันจริงนะ มันเป็นอย่างนี้เอง เป็นเรื่องเป็นราว ต่อไป แต่ ไม่รู้เลยว่า เพียงแค่ไม่มีจิต หรือ ธาตุรู้ สิ่งต่างๆ ก็ไม่มี ปรากฏไม่ได้เลย ว่ามี เพราะ ไม่มีธาตุ ที่ไป "รู้" สิ่งนั้น อย่างเรา รู้ว่า นี่เสียง เปลี่ยนแล้ว ใช่ไหม? สัญญาเขาจำ ยังไม่รู้ ยังไม่ต้องเรียก
อย่างเครื่องดนตรี มีตั้งหลายอย่าง เราก็ไม่รู้เลยว่าอะไรบ้าง ถ้าเราไม่ใช่นักดนตรี ได้แต่ฟัง แต่ว่า ฟังแล้วจำ พอเสียงนี้มาอีก เรารู้ว่า นี่ๆ เสียงที่เคยได้ยิน เสียงนี้ ที่เคยได้ยิน แต่ยังไม่รู้ ว่าเสียงอะไร? พอถาม ได้ยินชื่อ ตอนนี้บวกเข้าไปอีก อ้อ เสียงนั้น เสียงนี้ มันยุ่งเหยิง สลับซับซ้อน จนกระทั่ง ความไม่รู้ ปรุงแต่ง กลายเป็น โลกเที่ยง เป็นทุกสิ่ง ทุกอย่าง ที่มีจริงๆ
ความจริง "ชั่วคราว" ชั่วขณะ ที่จิตเกิด แล้วดับ และ จิตแต่ละหนึ่ง ไม่เหมือนกันเลย จิตเห็น ไม่ใช่ จิตได้ยิน ไม่ใช่ จิตคิดนึก แต่เขาเกิดรวดเร็ว ปั่นออกมาจนกระทั่ง เป็นเรื่องราว เหตุการณ์ต่างๆ ไม่ต้องทำอะไรเลย เข้าใจถูก เท่านั้นจริงๆ และ จบแล้ว ก็คือ จบ ไม่เข้าใจ คือ ไม่เข้าใจ ฟังใหม่ ก็คือ ฟังใหม่ เข้าใจใหม่ ก็ค่อยๆ เพิ่มความเข้าใจขึ้น เท่านั้นเอง หนทางที่จะละ ความเป็นตัวตน
ไม่อย่างนั้น ถ้าด้วยความเป็นตัวตน " แล้วเมื่อไหร่ เราจะรู้อย่างนี้? " "เรา" มาแล้ว !!! "อยากรู้" มาแล้ว !!! กลายเป็นว่า "ตัวตน" ฟังธรรมะ ไม่ใช่ฟัง เพื่อรู้ความจริงว่า ไม่มีตัวตน !!! ถ้าหาวิธีอยู่ร่ำไป ก็คือว่า ไม่ได้เข้าใจธรรมะ
อ.อรรณพ แต่สิ่งที่ ท่านอาจารย์ พูดอยู่เนืองๆ เรื่องเหล่านี้ ว่าเป็นธรรมะ ไม่ใช่ตัวเรา ก็ค่อยๆ เข้าใจไป แต่เฉพาะ ขณะที่เข้าใจ นะครับ แล้วตอนที่ไม่เข้าใจ ตอนลืมไป ก็จะยาก ที่ว่า นี่ใคร จะไม่คิด ไม่จำ ว่าเป็น ท่านอาจารย์ที่เคารพ ที่ได้แสดงธรรม สำคัญว่าเป็นอาจารย์ แน่นอน
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น จะมีปัญญาอยู่ตลอดเวลา ไม่ได้ จะมีความไม่รู้ อยู่ตลอดไป ไม่ได้ ถ้ามีการฟังธรรมะ เมื่อไหร่ ความไม่รู้ ที่เคยมี ค่อยๆ น้อยลง ในขณะที่เข้าใจ
เพราะฉะนั้น เวลาที่เข้าใจ ก็ดับแล้ว หมดแล้ว ไม่ต้องไปกังวล ถ้ากังวล แสดงว่า ความเข้าใจของเรา น้อยมาก แม้แต่คำที่ไม่เปลี่ยนเลย คือ สิ่งที่มีจริง เกิดตามเหตุปัจจัย แล้วก็ดับไป เพราะฉะนั้น ปัญญา ที่ว่าคม มั่นคง ก็คือ ขณะนี้ ตามปรกติ สามารถเพิ่มความเข้าใจ จนไม่หวั่นไหว เหมือนกับที่ว่า ดับแล้ว ก็คือ ไม่ใช่เรา เกิดใหม่ ก็มีเหตุปัจจัย ถ้าเป็นอย่างนี้เมื่อไหร่ ก็แสดงว่าขณะนั้น ความเข้าใจเรา มั่นคงขึ้น
พี่จำเนียร อย่างเมื่อวันวิสาขบูชา ที่ท่านอาจารย์ถามว่า จะทราบได้อย่างไร ว่าฟังแล้ว เข้าใจพระธรรม ก็นึกถึงคำตอบของตัวเอง มันนึกไม่ได้ว่าอย่างไร ถึงจะเรียกว่า เข้าใจ
ท่านอาจารย์ เพราะเหตุว่า เราไม่ใช่ไปหาคำตอบ มาตอบ เป๊ะ แต่ว่า ชีวิตวันนี้ของเรา เรา "คิด" ใช่ไหม? "คิด" ดีขึ้น บ้างหรือยัง? หรือ คิดเหมือนเดิม? โกรธคนนี้ ก็ยังโกรธไว้ตั้งหลายปี คิดไหม? ว่ามีประโยชน์อะไร? พอตายแล้ว ก็ไม่รู้จักแล้ว คนนี้ แต่ความโกรธ ตามไปในใจ
เพราะฉะนั้น "ความคิด" หรือ วิตักกะเจตสิก จึงสำคัญ จนกระทั่ง เป็นสัมมาสังกัปปะ ในมรรคมีองค์ ๘ เพราะเหตุว่า จริงๆ แล้ว ถ้าเราไม่มีความจำ เราก็ไม่คิด แต่เราคิด ถึงสิ่งที่จำ ทีนี้ คิดถึงสิ่งที่จำนี่ ด้วยจิตเดิมๆ ที่เป็นอกุศล ไม่ได้ฟังธรรมะ ยิ่งเป็นอกุศลมาก ใช่ไหม? พอได้ฟังธรรมะแล้ว การที่เราเห็นประโยชน์ ของกุศล และ เห็นโทษ ของอกุศล เพราะว่า อกุศล เป็นโทษจริงๆ ยังไม่ต้องไปถึงอะไร ก็ต้องฟังธรรมะทั้งหมด แล้วก็จริงทั้งหมด คือ อกุศลเป็นโทษ ทำร้ายเรา คิดดูสิ ใครมาทำร้ายเราได้ ไม่มีใครมาทำร้ายเราได้เลย ต้องใช้คำนั้น มาทำร้าย "จิต" ไม่ได้
เพราะฉะนั้น เราคุ้มครองกาย แต่เราไม่ได้คุ้มครองจิต แต่พระธรรมที่เข้าใจ แม้แต่แต่ละคำ ที่เราได้ยิน "อุปนิสสยโคจร" "โคจร" เป็นอีกชื่อหนึ่ง ของอารมณ์ เกิดมาแล้ว ที่จะไม่มีอารมณ์ปรากฏ เป็นไปไม่ได้ เพราะว่า มีจิต ก็ต้องมีอารมณ์ปรากฏ ตลอดเวลา เดี๋ยวทางตา เดี๋ยวทางหู จมูก ลิ้น กาย ถ้าเราคบ สิ่งที่ดี กัลยาณมิตร ได้ฟังสิ่งที่ดี ได้เข้าใจความจริง เราสะสม เป็นอุปนิสสัย เราจะไม่ละทิ้ง มิตรที่ดี ไปทำไม? คบกันทำไม? ไม่ใช่ไปเที่ยวสนุกสนาน แต่เพื่อประโยชน์ คือ ได้ฟัง สิ่งที่จริง
เพราะฉะนั้น ในบรรดากัลยาณมิตรทั้งหลาย พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงเป็นกัลยาณมิตร สำหรับทุกคนด้วย ไม่เว้นเลย บางคน เขาก็เป็นกัลยาณมิตร เฉพาะบางคน ไม่ใช่ ถ้ากัลยาณมิตรจริงๆ มิตร คือ หวังดี ไม่ได้ทำร้ายใครเลย มีอยู่ในใจที่คิดว่า เจริญเมตตา มากเท่าไหร่ มีแต่คุณ ไม่มีโทษเลย
เพราะฉะนั้น การฟังธรรมะ คือ ได้ฟังสิ่งที่เป็นประโยชน์ ทุกวันนี้ ถึง ๖ โมงเช้า ฟัง ๓ ทุ่ม ฟัง (รายการแนวทางเจริญวิปัสสนา ทางวิทยุเอเอ็ม) เพื่อเป็นอุปนิสสัย สะสม ก็เราตื่นเช้ามา เราก็กินโน่น กินนี่ กลางวัน ไปโน่น มานี่ เย็น เราก็สะสม สิ่งต่างๆ เหล่านั้น นั่น ไม่ใช่กัลยาณมิตร แต่ว่า สิ่งที่ดี ที่เป็นประโยชน์ ถ้าเราได้สะสม แล้วเราเห็นประโยชน์ เราจะมีอุปนิสสัย ด้วยเหตุนี้ บางคนฟังธรรมะ บางคนไม่ฟังเลย เปิดก็ไม่ฟัง พูดก็ไม่ฟัง อะไรก็ไม่ฟัง ก็ไม่มีอุปนิสสัย แต่ที่จะมีอุปนิสสัยได้ ก็คือ ฟังบ่อยๆ จนกระทั่งคุ้น จนกระทั่ง เป็นอุปนิสสัยของเรา
เพราะฉะนั้น อารมณ์ สิ่งที่จิตรู้ ไม่ใช่ไม่มีความสำคัญ สำคัญ เพราะว่า ทุกอย่าง สะสมอยู่ในจิต ถ้าไม่ใช้คำว่า "โคจร" ซึ่งเป็นอารมณ์ ก็เป็น "อุปนิสสยปัจจัย" "นิสยะ" หมายความถึง ที่อาศัย "อุป" แปลว่า ที่มีกำลัง ที่อาศัย ที่มีกำลัง เพราะเราคุ้นเคย เราเสพบ่อยๆ ถ้าเราเสพน้อย ไม่คุ้น ก็ไม่มีกำลัง แต่พอเราเสพบ่อยๆ คุ้นเคย ก็มีกำลังไปไหน? ก็หันไป ทางที่มีกำลัง ที่ได้สะสมมาแล้ว ไม่มีใครไปบังคับเลย ปัจจัยทั้งนั้น ธรรมะทั้งนั้น อนัตตาทั้งนั้น
เพราะฉะนั้น ถ้าเราได้ฟังแล้ว มีความเข้าใจเพิ่มขึ้น "อุปนิสสยโคจร" สิ่งที่เป็นปัญญา เป็นความเห็นถูกทั้งหมด สะสมไป เพื่อ "อารักขโคจร" "อุปนิสสย" เหมือนกัน แต่เป็น "อารักขโคจร" เพราะเหตุว่า "คุ้มครอง" อะไรก็คุ้มครองไม่ได้ นอกจาก กุศลธรรมคุ้มครองใจ
คิดดู ใจ ซึ่งไม่มีอะไรคุ้มครองเลย ถึงตัวเลย โลภะ โทสะ โมหะ มานะ อะไรๆ มาได้ทุกวี่ทุกวัน เรียกว่าออกไปได้รวดเร็วมาก แต่ถ้ามีธรรมะคุ้มครอง ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ไม่อย่างนั้น เราฟังธรรมะไม่รู้เรื่อง จะว่าอารักขา หรือจะว่า คุ้มครอง หรือจะว่า สังวร หรือจะว่าอย่างไร ไม่รู้ใช่ไหม? แต่พอฟังเข้าใจแล้ว ทุกคำ จะออกมา ตรงตามที่เราเข้าใจ ไม่ว่าจะใช้คำไหน
แล้วเราจะต้องกลัวอะไร? ไม่มีอะไรที่น่ากลัวเลย "คนชั่ว" นี่เราไม่กลัวเลย คนทุจริต คนเบียดเบียนใคร เราก็ไม่กลัว เพราะเขาชั่ว ไปกลัวเขาทำไม? อยู่ดีๆ ไปกลัวคนชั่ว ไม่เห็นน่ากลัวเลยคนชั่ว เขาชั่ว ใช่ไหม?
เพราะฉะนั้น ถ้าเรามีความดี เป็นที่คุ้มครอง เราไม่หวั่นไหวเลย ไม่ว่าใครทำอะไร? ทางวาจา หรือ ทางกาย ก็อกุศลของเขา เขาทำร้ายเราไม่ได้เลย ถ้ามีความมั่นคงจริงๆ ว่า ใครทำร้ายเราไม่ได้ นอกจาก อกุศล ใกล้ตัวที่สุด ทำร้ายทันที ไม่ต้องหาคนมายืนถือปืนอยู่ข้างหน้า ทำร้ายได้ทันทีเลย เพราะว่าใกล้ชิดมาก แต่ว่า ถ้ามีธรรมะที่เป็นฝ่ายคุ้มครอง ไม่ว่าอะไรจะมาเผชิญหน้า ตา หู จมูก ลิ้น กาย ไม่หวั่นไหวเลย กลัวอะไร? ก็เป็นธรรมะทั้งนั้น ก็เป็นเพียงสิ่งที่ปรากฏ ถ้าสามารถมีความเข้าใจแล้ว ยังมีเมตตาได้ด้วยซ้ำไป
เพราะฉะนั้น เมตตาที่ว่าเจริญ ไม่จำกัด เพราะว่ามีแต่ประโยชน์ มีแต่คุณ เวลานี้ ที่ประเทศไทย ขาดที่สุด ก็คือ คุณธรรม แล้วก็ ไม่มีความเข้าใจธรรมะ แล้วจะมีอะไรเป็นที่พึ่ง? ชาติ ศาสนา ไม่ได้เข้าใจเลย แล้วจะเอาอะไรมาเป็นที่พึ่งได้? แต่ถ้ามีความเข้าใจ ประเทศไทยทั้งหมด เป็นคนดี ถ้ามีความเข้าใจธรรมะทุกคน
เพราะฉะนั้น ถ้าเราไม่แก้ให้ตรงจุด ไม่มีทางแก้ปัญหา แก้ ที่สำคัญที่สุดคือ ให้เข้าใจความจริง เพื่อคุณธรรม ถ้าทุกคนเข้าใจถูก จะประพฤติในทางที่ดี ใช่ไหม? ไม่มีการทำให้คนอื่นเดือดร้อน ตัวเราเอง ก็ไม่เดือดร้อนด้วย
พี่จำเนียร เริ่มต้นที่ตัวเอง?
ท่านอาจารย์ แน่นอน ไม่มีใครในโลก อยู่คนเดียวในโลก แค่เกิดมา ก็คนเดียวแล้ว ไม่มีใครเลย ขณะปฏิสนธิจิตขณะแรก เกิดแล้ว ใครก็พามาไม่ได้ พ่อแม่ก็ไม่ได้พามา พี่น้อง เพื่อนฝูงก็ไม่ได้พามากรรม พามา
เพราะฉะนั้น เราจะไม่เห็นหรือว่า กรรม ต้องเกิดจากจิต มีอย่างหนึ่งอย่างใด คือ กุศลกรรม หรือ อกุศลกรรม และ ถ้าไม่มีจิต ก็ไม่ "คิด" หรอก ใช่ไหม? ไม่มีจิตเห็น ไม่มีจิตคิด เห็นแล้วคิด ทุกสิ่งทุกอย่าง สำคัญที่ "คิด" เพราะฉะนั้น ฟังธรรมะแล้ว เราจะรู้ได้อย่างไรว่า เราดีขึ้นหรือเปล่า? ถ้าเรา "คิดดีขึ้น" ชัดเจน ไม่ต้องไปถึงไหน ถ้าเราคิดดี ก็เป็นผลมาจาก การฟังธรรมะเข้าใจ
อ.กุลวิไล ท่านอาจารย์พูดถึง ประเทศไทย ขาดคุณธรรม ก็คือ ธรรมะที่ดีนั่นเอง แต่การที่จะให้ อย่างที่ดิฉันได้สนทนากับท่านอาจารย์ตอนแรกว่า จะให้เขาฟังธรรมะ ถ้าไม่ได้สะสมมา ยากมากเพราะเหตุว่า ถ้าไม่มีพระธรรมเป็นที่พึ่ง หรือว่า ไม่ได้สะสมการฟังธรรมะ แน่นอน ไม่มีธรรมะที่อารักขะ คือ รักษา ทุกคนคิดในทางลบหมดเลย มองคนอื่นเป็นศัตรู หรือว่า มีความเห็นแก่ตัวมาก เพราะว่า เรามีความคิดในทางลบหมด ค่ะท่านอาจารย์
ท่านอาจารย์ เพราะฉะนั้น ใครช่วยได้? นอกจากเป็นเพื่อน หวังดี และ ทำสิ่งที่ดีที่สุดกับเขา ให้ความรู้ รับได้แค่ไหน ก็เรื่องของเขา ไม่ใช่เรื่องเราจะเดือดร้อน แล้วเราเป็นเพื่อนตลอด หวังดีตลอด รอได้ จนกว่าเขาจะเข้าใจพระธรรม
อ.กุลวิไล ก็เห็นประโยชน์ นะคะ ท่านอาจารย์ อย่างที่ท่านอาจารย์กล่าวว่า ไม่มีใครทำร้ายจิตใจของเราได้ นอกจากกิเลสของเราเอง และ ถ้าเราไม่ได้สะสมการฟังพระธรรม อกุศลจิตก็มาก เพราะความเป็นเราเยอะ เพราะฉะนั้น ความติดข้องต้องการ ความขุ่นเคืองใจ ก็มีในชีวิตประจำวัน ก็ดูผลจากการฟังธรรมะ ก็คือ "คิด" ว่าเป็นทางดีขึ้น หรือ คิดแย่ลง อันนี้ ก็แค่ "อารักขโคจร" แต่สูงสุด ก็คือ ต้องรู้ธรรมะไม่ใช่เรา ในขณะนั้นด้วย
ท่านอาจารย์ ค่อยๆ เป็น ค่อยๆ ไป แค่ "คิด" แค่นี้ก็รู้แล้ว เข้าใจธรรมะ แค่ไหน? ถ้าคิดดีขึ้น แสดงว่าเป็นผลจากการเข้าใจธรรมะ และ ดีขึ้นนี่ ชีวิตประจำวันของเราทั้งนั้นเลย ที่ผ่านมาแล้ว เราดีแค่ไหน?ดีกว่านี้ ได้ไหม? ไม่ว่า ทางกาย ทางวาจา
เพราะฉะนั้น เราห่วงคนอื่น ขณะนั้น เป็นอะไร? เป็นอกุศล เอามาแล้วใช่ไหม? แต่ถ้าเราเป็นมิตรนี่ แล้วแต่บุญกรรม แต่เราก็ทำ สิ่งที่ดีที่สุด สำหรับทุกคนเสมอ คือ เป็นเพื่อน เราจะไม่เป็นศัตรูกับใครเลย ไม่ว่าเขาเป็นใคร นี่คือ การเจริญเมตตา ไม่ใช่ไปนั่งท่อง
ใครเลยจะรู้ว่า ณ กาลครั้งหนึ่ง ท่ามกลางสวนผลไม้อันเงียบสงบ ไกลจากเมืองใหญ่ จะมีเสียงของพระธรรมอันสุขุมลุ่มลึก หลั่งไหลออกมาดังน้ำทิพย์ ชโลมใจ แก่ผู้ใคร่ในธรรมกลุ่มเล็กๆ กลุ่มหนึ่ง พระธรรม อันพระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงแสดงไว้ดีแล้ว บัดนี้ แม้ว่าความแช่มชื่นในใจนั้น จะเหลืออยู่เพียงความทรงจำก็ตาม แต่พระธรรมที่ตราตรึงไว้ในใจนั้น ย่อมยังอยู่ต่อไป เป็นที่พึ่งแก่บุคคล ตราบเท่ากาลนาน
กราบเท้าบูชาคุณ ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง
ขอบพระคุณและขออนุโมทนาในกุศลทุกประการของพี่นันท์ (พลตรีหญิงนันทา เกษหอม)
ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านด้วยครับ
ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ
ขอกราบขอบพระคุณ และขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกท่านค่ะ
ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
จบแล้ว ก็คือ จบ
ไม่เข้าใจ คือ ไม่เข้าใจ
ฟังใหม่ ก็คือ ฟังใหม่
เข้าใจใหม่
ก็ค่อยๆ เพิ่มความเข้าใจขึ้น
เท่านั้นเอง
หนทางที่จะละ ความเป็นตัวตน
กราบเท้าบูชาคุณ ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง
ขอบพระคุณและขออนุโมทนาในกุศลทุกประการของท่านเจ้าภาพ พลตรีหญิงนันทา และผู้เกี่ยวข้องทุกๆ ท่าน
ขอขอบพระคุณและขออนุโมทนาในกุศลจิตและวิริยะของคุณวันชัย มา ณ กาลครั้งนี้
และขออนุโมทนาทุกๆ ท่านด้วยครับ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
"คิด" ดีขึ้น บ้างหรือยัง? หรือ คิดเหมือนเดิม?
โกรธคนนี้ ก็ยังโกรธไว้ตั้งหลายปี
คิดไหม? ว่ามีประโยชน์อะไร?
พอตายแล้ว ก็ไม่รู้จักแล้ว คนนี้
แต่ความโกรธ ตามไปในใจ"
กราบเท้าบูชาคุณ ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง
ขอบพระคุณและขออนุโมทนาในกุศลทุกประการของท่านเจ้าภาพ พลตรีหญิงนันทา และผู้เกี่ยวข้องทุกๆ ท่าน
ขอขอบพระคุณและขออนุโมทนาในกุศลจิตของพี่วันชัย ภู่งาม และทุกๆ ท่านด้วยครับ
ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ
กราบอนุโมทนาค่ะ
ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
ขออนุโมทนาค่ะ
ขอบคุณ และขออนุโมทนาครับ
ขออนุโมทนาครับ
ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
สาธุ ขออนุโมทนาค่ะ
ขออนุโมทนาครับ
ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ
ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
กราบอนุโมทนาค่ะ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ