ทุกข์คือการยึดถืออุปาทานขันธ์ ๕ สมุทัยคือการเกิดขันธ์ ๕ นิโรธ คือการดับขันธ์ ๕ มรรคคืออริยมรรคมีองค์ ๘ ไช่หรือไม่ครับ
กราบขอบพระคุณมากครับ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ความหมายของอริยสัจจะ
1. ความจริงที่ประเสริฐ ชื่อว่า อริยสัจจะ
2. พระอริยะทั้งหลาย ย่อมแทงตลอดอริยสัจจะเหล่านี้ เพราะฉะนั้น เราจึงเรียกว่า อริยสัจจะ
3. ธรรมที่ทำให้ถึงความเป็น พระอริยะ ชื่อ อริยสัจ
4. ที่ชื่อว่า อริยสัจ เพราะอรรถว่า เป็นสัจจะของพระอริยะดังนี้บ้าง
5. ที่ชื่อว่า อริยสัจ เพราะความที่อริยสัจจะเหล่านั้น อันพระอริยะตรัสรู้แล้วบ้าง
จากที่ถามว่า ธรรมทั้งปวง ย่อมประชุมลงในอริยสัจ 4 ธรรมในที่นี้หมายถึงอะไร
ธรรมทั้งปวงในที่นี้ ก็หมายถึงสภาพธรรมที่มีจริงทั้งหมด คือ ธรรมที่เ่ป็นปรมัตถธรรม 4 คือ จิต เจตสิก รูป และพระนิพพาน ครับ เพราะเป็นสัจจะ-ความจริงทั้งหมดครับ ในเมื่อสภาพธรรมทั้งหมดที่มีจริง เป็นสัจจะ จึงไม่พ้นจากอริยสัจ 4 ซึ่งจะขอแบ่งอริยสัจ แต่ละอริยสัจ ว่ามีสภาพธรรมที่มีจริงอะไรบ้างครับ
๑. ทุกขอริยสัจ ความจริงอย่างประเสริฐ คือสภาพที่ทนได้ยาก หมายถึง สภาพธรรมที่เกิดดับ และทำให้เวียนว่ายตายเกิดอยู่ในสังสารวัฏฏ์ คือ จิต ๘๑ เจตสิก ๕๑ รูป ๒๘ ซึ่งเป็นโลกียธรรมทั้งหมด จิต ๘๑ เจตสิก ๕๑ รูป ๒๘ เป็นความจริงอย่างประเสริฐ เพราะผู้ที่ตรัสรู้ความจริง คือทุกขธรรมเหล่านี้แล้ว เป็นผู้เข้าถึงความประเสริฐ คือเปลี่ยนจากปุถุชนเป็นพระอริยเจ้า
๒. สมุทัยอริยสัจ องค์ธรรมได้แก่ โลภเจตสิก ๑ เป็นความจริงอย่างประเสริฐคือเหตุเกิดขึ้นแห่งทุกข์ ได้แก่ ตัณหา หรือ โลภเจตสิก ซึ่งเป็นสภาพธรรมที่มีลักษณะติดข้อง ทำให้เพลิดเพลินในภพใหม่ เป็นเหตุของการเวียนว่ายตายเกิดต่อไป เป็นโลกียธรรม
๓. นิโรธอริยสัจ องค์ธรรมได้แก่ พระนิพพาน ความจริงอย่างประเสริฐ คือความดับทุกข์ หมายถึง พระนิพพานเป็นสภาพธรรมที่ดับกิเลส ดับทุกข์ทั้งปวง เมื่อถึงการดับขันธปรินิพพานแล้ว จะไม่มีการเวียนว่ายตายเกิดอีก พระนิพพาน เป็นโลกุตตรธรรม
๔. มัคคอริยสัจ องค์ธรรมได้แก่ มรรคมีองค์ ๘ ในมรรคจิตตุปบาททั้ง ๔ เป็นความจริงอย่างประเสริฐ คือหนทางดับทุกข์ ได้แก่ มรรคมีองค์ ๘ ที่เกิดขึ้นเป็นมรรคสมังคี ทำกิจประหารกิเลสเป็นสมุจเฉท ทำให้บุคคลที่อบรมมรรคมีองค์ ๘ นั้นเปลี่ยนจากปุถุชนเป็นพระอริยบุคคลตามลำดับขั้น
-------------------------------------------------------------
ดังนั้น จากคำถามที่ว่า
ทุกข์คือการยึดถืออุปาทานขันธ์ ๕ สมุทัยคือการเกิดขันธ์ ๕ นิโรธคือการดับขันธ์ ๕ มรรคคืออริยมรรคมีองค์ ๘ ใช่หรือไม่ครับ
➢ ทุกข์ ไม่ได้หมายถึง สภาพธรรมที่ยึดถือใน ขันธ์ 5 แต่หมายถึง สภาพธรรมที่มีจริง ที่เกิดขึ้นและดับไป ชื่อว่าเป็นตัวทุกข์ เพราะ ไม่เที่ยง เพราะฉะนั้น แม้ กุศลธรรม กุศลจิต ก็ชื่อว่าเป็นทุกขอริยสัจ เพราะไม่เที่ยงเกิดขึ้นและดับไป สิ่งใดไม่เที่ยง สิ่งนั้นเป็นทุกข์ และ สภาพธรรมอื่นๆ รูปธรรม รูป ก็เป็นสภาพธรรมที่เป็นทุกข์ เพราะไม่เที่ยง ส่วนการยึดถือในอุปาทานขันธ์ ที่ ยึดถือด้วยโลภะ นั้น โลภะนั้น เป็นสภาพธรรมที่เป็นสมุทัย คือ เป็นเหตุแห่งทุกข์ และ ตัว โลภะเองก็ไม่พ้นจากความเกิดขึ้นและดับไป เป็นตัวทุกข์ด้วยประการหนึ่ง ครับ ดังนั้น ทุกขอริยสัจจะ จึงกินความหมาย กว้างขวาง ที่เป็นสภาพธรรมที่เกิดขึ้นและดับไป เป็นทุกข์ ครับ
----------------------------------------------
สมุทัยคือการเกิดขันธ์ ๕
➢ สมุทัย คือ เหตุแห่งทุกข์ มุ่งหมายถึง สภาพธรรมที่เป็นโลภเจตสิก เพราะฉะนั้น การเกิดขึ้นของขันธ์ 5 จึงมุ่งหมายถึง สภาพธรรมที่เกิดขึ้นและดับไป เป็น ทุกขอริยสัจจะ ครับ
นิโรธคือการดับขันธ์ ๕
➢ ถูกต้องครับ สภาพธรรมที่ไม่มีขันธ์ 5 ดับขันธ์ 5 คือ พระนิพพาน ที่เป็นนิโรธสัจจะ ครับ
มรรคคืออริยมรรคมีองค์ ๘
➢ ถูกต้อง ครับ โดยนัยสูงสุด คือ อริยมรรคมีองค์ 8 แต่ ขณะที่เกิดปัญญารู้ความจริง ที่เป็นการเจริญสติปัฏฐาน ที่รู้ความจริงในขณะนี้ ขณะนั้น ก็ชื่อกำลังดำเนินทางที่ประเสริฐ ทางแห่งอริยมรรค ที่เป็น มัชฌิมาปฏิปทา
ขออนุโมทนา ครับ
อ้างถึง "ทุกขอริยสัจ ความจริงอย่างประเสริฐ คือสภาพที่ทนได้ยาก หมายถึง สภาพธรรมที่เกิดดับ และทำให้เวียนว่ายตายเกิดอยู่ในสังสารวัฏฏ์ คือ จิต ๘๑ เจตสิก ๕๑ รูป ๒๘ ซึ่งเป็นโลกียธรรมทั้งหมด"
แล้วจิตอีก 8 ดวง เจตสิก 1 ดวงล่ะครับ
กราบขอบพระคุณมากครับ
เรียนความเห็นที่ 2 ครับ
โลกกุตตรจิต 8 มรรคจิต 4 ผลจิต 4 คือ ไม่ใช่สภาพธรรมที่เป็นทุกข์ เพราะ มีพระนิพพานเป็นอารมณ์ อันเป็นธรรมที่เหนือโลก เหนือไปจากการนำมาซึ่งความทุกข์ ครับ ส่วน เจตสิก อีก 1 คือ โลภเจตสิก เป็น สมุทัยไม่ใช่ ทุกขอริยสัจ ครับ
ขออนุโมทนา
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
อริยสัจจ์ ๔ เป็นธรรมที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้และทรงแสดง อริยสัจจ์ ๔ เป็นธรรมที่มีจริงที่ทำให้ผู้รู้แจ้งถึงความเป็นพระอริยะ ห่างไกลจากข้าศึกคือกิเลสตามลำดับขั้น เป็นสัจจะของพระอริยเจ้าทั้งหลาย เป็นสัจจะ ที่พระอริยเจ้าทั้งหลายตรัสรู้แล้ว ว่าโดยประเภทแล้ว มี ๔ คือ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ และ มรรค, ทุกข์ หมายถึงสภาพธรรมที่เกิดดับ เกิดแล้วย่อมดับไป เป็นไปกับด้วยสังสารวัฏฏ์ เป็นไปในฝ่ายเกิด ซึ่งก็คือ สภาพธรรมที่กำลังมีกำลังปรากฏในขณะนี้ ไม่พ้นไปจากจิต เจตสิก และ รูปเลย ซึ่งเป็นสภาพธรรมที่เกิดเพราะปัจจัยปรุงแต่ง ไม่ได้เกิดขึ้นเอง แต่เกิดเพราะเหตุปัจจัย เมื่อเกิดแล้วก็ตั้งอยู่ไม่ได้ ต้องมีความดับไปเป็นธรรมดา, สมุทัย เป็นเหตุแห่งทุกข์ ที่มีสภาพธรรมที่เป็นทุกข์นี้ ก็เพราะตัณหา ตราบใดที่ยังมีตัณหา ก็ยังไม่พ้นจากทุกข์ในสังสารวัฏฏ์ มีการเกิดการตายอย่างไม่จบสิ้น จนกว่าจะถึงความเป็นพระอรหันต์ จึงจะสามารถดับตัณหาได้อย่างหมดสิ้น, นิโรธ เป็นความดับทุกข์ ดับกิเลส ได้แก่ พระนิพพาน ซึ่งเป็นสภาพธรรมที่ไม่เกิดไม่ดับ ไม่มีปัจจัยปรุงแต่งให้เกิด เป็นธรรมที่ตรงกันข้ามกับกิเลส ตรงกันข้ามกับสังสารวัฏฏ์อย่างสิ้นเชิง ผู้ที่จะประจักษ์แจ้งพระนิพพาน ต้องเป็นพระอริยบุคคลขั้นต่างๆ เท่านั้น , มรรค เป็นหนทางอันประเสริฐที่จะดำเนินไปถึงซึ่งความดับทุกข์ ได้แก่ อริยมรรคมีองค์ ๘ มีสัมมาทิฏฐิ ความเห็นถูกต้อง เป็นต้น อันเป็นทางอันประเสริฐที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า และ พระอริยสงฆ์สาวก ดำเนินไปแล้ว ทั้งหมดนั้น ล้วนเป็นสภาพธรรมที่มีจริง ทั้งหมด ที่ทำให้ผู้ที่รู้แจ้งถึงความเป็นพระอริยบุคคล พระธรรมที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดง ทั้งหมด เพื่อความเข้าใจถูกเห็นถูก เพื่อละคลายกิเลสทุกๆ ประการ มีความเห็นผิด ความไม่รู้ เป็นต้น ความเข้าใจของผู้ที่ได้ฟัง ได้ศึกษา จะต้องเจริญขึ้นไปตามลำดับ ตามกำลังปัญญาของแต่ละบุคคล โดยไม่ขาดการฟังการศึกษา เห็นประโยชน์ในการรู้ความจริง ซึ่งก็คือ สภาพธรรมที่กำลังมีกำลังปรากฏในขณะนี้ ซึ่งไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าเป็นธรรม สิ่งที่จะต้องศึกษาให้เข้าใจ ไม่พ้นไปจากธรรมที่มีจริงในขณะนี้ ไม่พ้นไปจากตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ
-โลกุตตรจิต ๘ เป็นไปในฝ่ายวิวัฏฏะ ไม่ได้เป็นไปในฝ่ายเกิดเลย กล่าวคือ มรรคจิต ๔ (โลกุตตรกุศลจิต) เกิดขึ้นมีพระนิพพานเป็นอารมณ์ ดับกิเลสตามสมควรแก่มรรคจิตนั้นๆ และ ผลจิต (โลกุตตรวิบาก) เกิดขึ้นมีพระนิพพานเป็นอารมณ์ เป็นผลแห่งการที่ดับกิเลสได้แล้ว ครับ
...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...
อริยสัจ 4 คือ นี้ทุกข์ นี้เหตุให้เกิดทุกข์ นี้ความดับทุกข์ นี้ข้อปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์ ค่ะ
กราบขอบพระคุณอาจารย์ทุกท่านมากครับ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
ขอกราบอนุโมทนา และกราบขอบพระคุณครับ
กราบอนุโมทนาค่ะ
สาธุ