เพราะเหตุใด ตทาลัมพจิตที่เกิดจาก "อกุศลวิบาก" จึงเป็นจิตที่เกิดพร้อมอุเบกขาเวทนาเพียงอย่างเดียว
ทำไมจึงไม่สามารถเกิดพร้อมโทมนัสเวทนาได้ครับ
กราบเรียนถามอาจารย์วิทยากรด้วยความเคารพครับ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้สภาพธรรมตามความเป็นจริง แล้วทรงแสดงธรรม ซึ่งเป็นสิ่งที่มีจริงนั้น ให้สัตว์โลกได้รู้ตาม ธรรมซึ่งเป็นสิ่งที่มีจริงนั้น ไม่มีใครจะไปเปลี่ยนแปลงได้ เป็นจริงอย่างไรก็เป็นจริงอย่างนั้น หนึ่งในธรรมที่มีจริงนั้น คือ จิต ซึ่งเป็นสภาพธรรมที่เป็นใหญ่เป็นประธานในการรู้แจ้งอารมณ์ เมื่อเกิดขึ้นย่อมกระทำกิจหนึ่งกิจใด ตามสมควร แม้แต่ตทาลัมพนจิต ก็เช่นเดียวกัน เป็นจิตที่เกิดขึ้นรับผลของกรรมรับรู้อารมณ์ต่อจากชวนจิต เมื่อรูปนั้นยังไม่ดับ ก็เป็นปัจจัยให้จิตขณะต่อไปเกิดขึ้นรับรู้อารมณ์นั้นต่อได้ ซึ่งเป็นการตรัสรู้โดยบุคคลผู้เลิศผู้ประเสริฐที่สุด คือ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า และถ้าจะศึกษาแล้ว ก็จะเข้าใจว่า จิตที่จะกระทำตทาลัมพนกิจได้นั้น ล้วนแต่เป็นวิบากจิตทั้งสิ้น (ไม่ใช่กุศล ไม่ใช่อกุศล ไม่ใช่กิริยา) มี ๑๑ ดวง ได้แก่ คือ อุเบกขาสันตีรณจิต ๒ ดวง โสมนัสสันตีรณจิต ๑ ดวง และ มหาวิบาก ๘ ดวง
ดังนั้น ตทาลัมพนจิต จะไม่เกิดกับโทมนัสเวทนา เพราะจิตที่เกิดพร้อมโทมนัสเวทนาคือ อกุศลจิตประเภทโทสมูลจิต
ที่สำคัญที่สุด ประโยชน์ของการศึกษาพระธรรม โดยเฉพาะพระอภิธรรม ไม่ใช่การศึกษาวิชาพระพุทธศาสนาที่เป็นวิชาการ และไม่ใช่เป็นเรื่องของการหาคำตอบ เป็นตัวเลข แต่ศึกษาพระอภิธรรมเพื่อเข้าใจตัวจริงของสภาพธรรมในขณะนี้ ดังนั้น การศึกษาเรื่องจิต เจตสิก รูป คือ เพื่อให้เข้าใจว่าไม่มีเรา มีแต่ธรรมที่เป็นไป เป็นไปตามเหตุปัจจัย ซึ่งการศึกษาด้วยจิตที่ถูกเช่นนี้ ย่อมนำมาซึ่งความเจริญขึ้นของปัญญา แต่ไม่ใช่สัญญาที่เป็นความจำในเรื่่องราวเป็นตัวเลขต่างๆ ซึ่งชาตินี้ตายไปก็ลืมหมด แต่ความจำด้วยความเข้าใจ ว่ามีแต่ธรรม ไม่ใช่เรา ซึ่งเป็นการเจริญขึ้นของปัญญาที่เป็นไปเพื่อละกิเลส คือ มีความเข้าใจถูกว่าเป็นแต่เพียงธรรม ย่อมสะสมต่อไปในชาติหน้า ซึ่งก็จะทำให้เกื้อกูลต่อการเจริญสติปัฏฐาน คือ ทำให้เกิดสติระลึกรู้ลักษณะของสภาพธรรมที่มีจริงในขณะี้นี้ว่าเป็นธรรมไม่ใช่เรา และเป็นไปเพื่อดับกิเลสได้ เพราะศึกษาด้วยความเห็นถูกในเรื่องพระอภิธรรม ครับ
ขออนุโมทนา
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ธรรมละเอียดลึกซึ้งอย่างยิ่ง แสดงถึงความเป็นจริงของสภาพธรรมแต่ละอย่างโดยไม่ปะปนกัน เป็นจริงอย่างไร ก็เป็นจริงอย่างนั้น ที่ได้ฟัง ได้ศึกษาเรื่องจิตประเภทต่างๆ เกิดกับเจตสิกประเภทใดบ้าง ก็เพื่อเข้าใจว่า ไม่มีเรา ไม่ใช่เรา เป็นธรรมที่เกิดขึ้นทำกิจหน้าที่เท่านั้น แม้ ตทาลัมพณจิต ก็เช่นเดียวกัน เป็นธรรมที่เกิดขึ้นทำกิจหน้าที่ ไม่ใช่เราเลย และก็เป็นการยากอย่างยิ่ง ที่จะรู้ถึงตทาลัมพณจิตในชีวิตประจำวัน เพราะแม้แต่เห็น ได้ยิน เป็นต้น ก็ยากที่เข้าใจว่าเป็นธรรม เพราะคุ้นเคยกับความเป็นเรามาอย่างเนิ่นนานในสังสารวัฏฏ์
แหนทางแห่งการอบรมเจริญปัญญา ที่เริ่มจากการฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรมเป็นปกติในชีวิตประจำวัน ก็จะค่อยๆ ทำให้ความเข้าใจถูกเห็นถูกเจริญขึ้นไปตามลำดับ เข้าใจเท่าที่จะเข้าใจได้ เพราะเหตุว่าสิ่งที่ควรศึกษาให้เข้าใจ ก็ไม่พ้นจากขณะนี้เลย ซึ่งเป็นจิต เจตสิก และ รูป ครับ
...ยินดีในความดีของทุกๆ ท่านครับ...
ยินดีในคุณความดีของทุกๆ ท่านครับ
กราบขอบพระคุณอาจารย์ทั้งสองในความเกื้อกูลครับ
ขออนุโมทนา
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
ขออนุโมทนาครับ