[เล่มที่ 33] พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย เอกนิบาต-ทุกนิบาต เล่ม ๑ ภาคที่ ๒ - หน้า 450
พาลวรรคที่ ๕
สูตรที่ ๑ ว่าด้วยคนพาล ๒ จําพวก 343/450
สูตรที่ ๒ ว่าด้วยคนพาล ๒ จําพวก 344/450
สูตรที่ ๓ ว่าด้วยคนพาล ๒ จําพวก 345/450
สูตรที่ ๔ ว่าด้วยคนพาล ๒ จําพวก 346/450
สูตรที่ ๕ ว่าด้วยคนพาล ๒ จําพวก 347/451
สูตรที่ ๖ ว่าด้วยคนพาล ๒ จําพวก 348/451
สูตรที่ ๗ ว่าด้วยคนพาล ๒ จําพวก 349/451
สูตรที่ ๘ ว่าด้วยคนพาล ๒ จําพวก 350/452
สูตรที่ ๙ ว่าด้วยคนพาล ๒ จําพวก 351/452
สูตรที่ ๑๐ ว่าด้วยคนพาล ๒ จําพวก 352/452
สูตรที่ ๑๑ ว่าด้วยคนพาล ๒ จําพวก 353/452
สูตรที่ ๑๒ ว่าด้วยคนพาล ๒ จําพวก 354/453
สูตรที่ ๑๓ ว่าด้วยคนพาล ๒ จําพวก 355/453
สูตรที่ ๑๔ ว่าด้วยคนพาล ๒ จําพวก 356/453
สูตรที่ ๑๕ ว่าด้วยคนพาล ๒ จําพวก 357/454
สูตรที่ ๑๖ ว่าด้วยคนพาล ๒ จําพวก 358/454
สูตรที่ ๑๗ ว่าด้วยคนพาล ๒ จําพวก 359/454
สูตรที่ ๑๘ ว่าด้วยคนพาล ๒ จําพวก 360/454
สูตรที่ ๑๙ ว่าด้วยคนพาล ๒ จําพวก 361/455
สูตรที่ ๒๐ ว่าด้วยคนพาล ๒ จําพวก 362/455
อรรถกถาสูตรที่ ๑ 456
อรรถกถาสูตรที่ ๒ 456
อรรถกถาสูตรที่ ๓ 456
อรรถกถาสูตรที่ ๔ 457
อรรถกถาสูตรที่ ๕ 457
อรรถกถาสูตรที่ ๖ 457
อรรถกถาสูตรที่ ๗ เป็นต้น 457
อรรถกถาสูตรที่ ๑๑ 458
อรรถกถาสูตรที่ ๑๒ เป็นต้น 458
อ่านหัวข้ออื่นๆ ... [เล่มที่ 33]
พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย เอกนิบาต-ทุกนิบาต เล่ม ๑ ภาคที่ ๒ - หน้า 450
พาลวรรคที่ ๕
สูตรที่ ๑
[๓๔๓] ๙๗. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย คนพาล ๒ จำพวกนี้ ๒ จำพวกเป็นไฉน คือ คนที่นำเอาภาระที่ยังมาไม่ถึงไป ๑ คนที่ไม่นำเอาภาระที่มาถึงไป ๑ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย คนพาล ๒ จำพวกนี้แล.
จบสูตรที่ ๑
สูตรที่ ๒
[๓๔๔] ๙๘. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บัณฑิต ๒ จำพวกนี้ ๒ จำพวกเป็นไฉน คือ คนที่นำภาระที่มาถึงไป ๑ คนที่ไม่นำเอาภาระที่ยังไม่มาถึงไป ๑ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บัณฑิต ๒ จำพวกนี้แล.
จบสูตรที่ ๒
สูตรที่ ๓
[๓๔๕] ๙๙. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย คนพาล ๒ จำพวก ๒ จำพวกเป็นไฉน คือ คนที่เข้าใจว่าควรในของที่ไม่ควร ๑ คนที่เข้าใจว่าไม่ควรในของที่ควร ๑ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย คนพาล ๒ จำพวกนี้แล.
จบสูตรที่ ๓
สูตรที่ ๔
[๓๔๖] ๑๐๐. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บัณฑิต ๒ จำพวกนี้ ๒ จำพวกเป็นไฉน คือ คนที่เข้าใจว่าไม่ควรในของที่ไม่ควร ๑ คนที่เข้าใจ
พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย เอกนิบาต-ทุกนิบาต เล่ม ๑ ภาคที่ ๒ - หน้า 451
ว่าควรในของที่ควร ๑ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บัณฑิต ๒ จำพวกนี้แล.
จบสูตรที่ ๔
สูตรที่ ๕
[๓๔๗] ๑๐๑. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย คนพาล ๒ จำพวกนี้ ๒ จำพวกเป็นไฉน คือ คนที่เข้าใจว่าเป็นอาบัติในข้อที่ไม่เป็นอาบัติ ๑ คนที่เข้าใจว่าไม่เป็นอาบัติในข้อที่เป็นอาบัติ ๑ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย คนพาล ๒ จำพวกนี้แล.
จบสูตรที่ ๕
สูตรที่ ๖
[๓๔๘] ๑๐๒. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บัณฑิต ๒ จำพวกนี้ ๒ จำพวกเป็นไฉน คือ คนที่เข้าใจว่าไม่เป็นอาบัติในข้อที่ไม่เป็นอาบัติ ๑ คนที่เข้าใจว่าเป็นอาบัติในข้อที่เป็นอาบัติ ๑ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บัณฑิต ๒ จำพวกนี้แล.
จบสูตรที่ ๖
สูตรที่ ๗
[๓๔๙] ๑๐๓. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย คนพาล ๒ จำพวกนี้ ๒ จำพวกเป็นไฉน คือ คนที่เข้าใจว่าเป็นธรรมในข้อที่ไม่เป็นธรรม ๑ คน ที่เข้าใจว่าไม่เป็นธรรมในข้อที่เป็นธรรม ๑ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย คนพาล ๒ จำพวกนี้แล.
จบสูตรที่ ๗
พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย เอกนิบาต-ทุกนิบาต เล่ม ๑ ภาคที่ ๒ - หน้า 452
สูตรที่ ๘
[๓๕๐] ๑๐๔. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บัณฑิต ๒ จำพวกนี้ ๒ จำพวกเป็นไฉน คือ คนที่เข้าใจว่าไม่เป็นธรรมในข้อที่ไม่เป็นธรรม ๑ คนที่เข้าใจว่าเป็นธรรมในข้อที่เป็นธรรม ๑ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บัณฑิต ๒ จำพวกนี้แล.
จบสูตรที่ ๘
สูตรที่ ๙
[๓๕๑] ๑๐๕. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย คนพาล ๒ จำพวกนี้ ๒ จำพวกเป็นไฉน คือ คนที่เข้าใจว่าเป็นวินัยในข้อที่ไม่เป็นวินัย ๑ คนที่เข้าใจว่าไม่เป็นวินัยในข้อที่เป็นวินัย ๑ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย คนพาล ๒ จำพวกนี้แล.
จบสูตรที่ ๙
สูตรที่ ๑๐
[๓๕๒] ๑๐๖. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บัณฑิต ๒ จำพวกนี้ ๒ จำพวกเป็นไฉน คือ คนที่เข้าใจว่าไม่เป็นวินัยในข้อที่ไม่เป็นวินัย ๑ คนที่เข้าใจว่าเป็นวินัยในข้อที่เป็นวินัย ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย บัณฑิต ๒ จำพวกนี้แล.
จบสูตรที่ ๑๐
สูตรที่ ๑๑
[๓๕๓] ๑๐๗. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อาสวะย่อมเจริญแก่คน ๒ จำพวก ๒ จำพวกเป็นไฉน คือ ผู้ที่รังเกียจสิ่งที่ไม่น่ารังเกียจ ๑ ผู้ที่
พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย เอกนิบาต-ทุกนิบาต เล่ม ๑ ภาคที่ ๒ - หน้า 453
ไม่รังเกียจสิ่งที่น่ารังเกียจ ๑ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อาสวะย่อมเจริญแก่คน ๒ จำพวกนี้แล.
จบสูตรที่ ๑๑
สูตรที่ ๑๒
[๓๕๔] ๑๐๘. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อาสวะย่อมไม่เจริญแก่คน ๒ จำพวก ๒ จำพวกเป็นไฉน คือ ผู้ที่ไม่รังเกียจสิ่งที่ไม่น่ารังเกียจ ๑ ผู้ที่รังเกียจสิ่งที่น่ารังเกียจ ๑ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อาสวะย่อมไม่เจริญแก่คน ๒ จำพวกนี้แล.
จบสูตรที่ ๑๒
สูตรที่ ๑๓
[๓๕๕] ๑๐๙. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อาสวะย่อมเจริญแก่คน ๒ จำพวก ๒ จำพวกเป็นไฉน คือ ผู้ที่เข้าใจว่าควรในของที่ไม่ควร ๑ ผู้ที่เข้าใจว่าไม่ควรในของที่ควร ๑ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อาสวะย่อมเจริญแก่คน ๒ จำพวกนี้แล.
จบสูตรที่ ๑๓
สูตรที่ ๑๔
[๓๕๖] ๑๑๐. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อาสวะย่อมไม่เจริญแก่คน ๒ จำพวก ๒ จำพวกเป็นไฉน คือ ผู้ที่เข้าใจว่าไม่ควรในของที่ไม่ควร ๑ ผู้ที่เข้าใจว่าควรในของที่ควร ๑ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อาสวะย่อมไม่เจริญแก่คน ๒ จำพวกนี้แล.
จบสูตรที่ ๑๔
พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย เอกนิบาต-ทุกนิบาต เล่ม ๑ ภาคที่ ๒ - หน้า 454
สูตรที่ ๑๕
[๓๕๗] ๑๑๑. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อาสวะย่อมเจริญแก่คน ๒ จำพวก ๒ จำพวกเป็นไฉน คือ ผู้ที่เข้าใจว่าเป็นอาบัติในข้อที่ไม่เป็นอาบัติ ๑ ผู้ที่เข้าใจว่าไม่เป็นอาบัติในข้อที่เป็นอาบัติ ๑ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อาสวะย่อมเจริญแก่คน ๒ จำพวกนี้แล.
จบสูตรที่ ๑๕
สูตรที่ ๑๖
[๓๕๘] ๑๑๒. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อาสวะย่อมไม่เจริญแก่คน ๒ จำพวก ๒ จำพวกเป็นไฉน คือ ผู้ที่เข้าใจว่าไม่เป็นอาบัติในข้อที่ไม่เป็นอาบัติ ๑ ผู้ที่เข้าใจว่าเป็นอาบัติในข้อที่เป็นอาบัติ ๑ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อาสวะย่อมไม่เจริญแก่คน ๒ จำพวกนี้แล.
จบสูตรที่ ๑๖
สูตรที่ ๑๗
[๓๕๙] ๑๑๓. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อาสวะย่อมเจริญแก่คน ๒ จำพวก ๒ จำพวกเป็นไฉน คือ ผู้ที่เข้าใจว่าเป็นธรรมในข้อที่ไม่เป็นธรรม ๑ ผู้ที่เข้าใจว่าไม่เป็นธรรมในข้อที่เป็นธรรม ๑ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อาสวะย่อมเจริญแก่คน ๒ จำพวกนี้แล.
จบสูตรที่ ๑๗
สูตรที่ ๑๘
[๓๖๐] ๑๑๔. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อาสวะย่อมไม่เจริญแก่คน ๒ จำพวก ๒ จำพวกเป็นไฉน คือ ผู้ที่เข้าใจว่าไม่เป็นธรรมในข้อที่ไม่เป็น
พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย เอกนิบาต-ทุกนิบาต เล่ม ๑ ภาคที่ ๒ - หน้า 455
ธรรม ๑ ผู้ที่เข้าใจว่าเป็นธรรมในข้อที่เป็นธรรม ๑ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อาสวะย่อมไม่เจริญแก่คน ๒ จำพวกนี้แล.
จบสูตรที่ ๑๘
สูตรที่ ๑๙
[๓๖๑] ๑๑๕. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อาสวะย่อมเจริญแก่คน ๒ จำพวก ๒ จำพวกเป็นไฉน คือ ผู้ที่เข้าใจว่าเป็นวินัยในข้อที่ไม่เป็นวินัย ๑ ผู้ที่เข้าใจว่าไม่เป็นวินัยในข้อที่เป็นวินัย ๑ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อาสวะย่อมเจริญแก่คน ๒ จำพวกนี้แล.
จบสูตรที่ ๑๙
สูตรที่ ๒๐
[๓๖๒] ๑๑๖. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อาสวะย่อมไม่เจริญแก่คน ๒ จำพวก ๒ จำพวกเป็นไฉน คือ ผู้ที่เข้าใจว่าไม่เป็นวินัยในข้อที่ไม่เป็นวินัย ๑ ผู้ที่เข้าใจว่าเป็นวินัยในข้อที่เป็นวินัย ๑ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อาสวะย่อมไม่เจริญแก่คน ๒ จำพวกนี้แล.
จบสูตรที่ ๒๐
จบพาลวรรคที่ ๕
จบทุติยปัณณาสก์
พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย เอกนิบาต-ทุกนิบาต เล่ม ๑ ภาคที่ ๒ - หน้า 456
พาลวรรคที่ ๕ (๑)
อรรถกถาสูตรที่ ๑
วรรคที่ ๕ สูตรที่ ๑ (ข้อ ๓๔๓) มีวินิจฉัยดังต่อไปนี้.
บทว่า อนาคตํ ภารํ วหติ ความว่า เป็นนวกะ พระเถระมิได้เชื้อเชิญ ก็กระทำภาระ ๑๐ อย่าง ในพระบาลีนี้ว่า ถวายโรงอุโบสถ ๑ ตามประทีป ๑ ตั้งน้ำดื่ม ๑ ตั้งอาสนะ ๑ นำฉันทะมา ๑ นำปาริสุทธิมา ๑ บอกฤดู ๑ นับภิกษุ ๑ โอวาท ๑ สวดปาติโมกข์ ๑ ท่านเรียกว่า ภาระหน้าที่ของพระเถระ ดังนี้ ชื่อว่านำพาภาระที่ยังไม่มาถึง.
บทว่า อาคตํ ภารํ น วหติ ความว่า เป็นพระเถระอยู่ ไม่กระทำภาระ ๑๐ นั้นแหละด้วยตน หรือไม่ชักชวนมอบหมายผู้อื่น ชื่อว่าไม่นำพาภาระที่มาถึงเข้า.
จบอรรถกถาสูตรที่ ๑
อรรถกถาสูตรที่ ๒
แม้ในสูตรที่ ๒ (ข้อ ๓๔๔) ก็พึงทราบเนื้อความโดยนัยนี้แหละ.
จบอรรถกถาสูตรที่ ๒
อรรถกถาสูตรที่ ๓
ในสูตรที่ ๓ (ข้อ ๓๔๕) มีวินิจฉัยดังต่อไปนี้.
บทว่า อกปฺปิเย กปฺปิยสญฺี ได้แก่ ผู้มีความสำคัญในสิ่งที่เป็นอกัปปิยะ คือ เนื้อราชสีห์เป็นต้น อย่างนี้ว่า นี้เป็นกัปปิยะ.
(๑) วรรคนี้มี ๒๐ สูตร แต่อรรถกถาแก้ไว้เพียง ๑๖ สูตร จึงลงเลขข้อสูตรกำกับไว้.
พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย เอกนิบาต-ทุกนิบาต เล่ม ๑ ภาคที่ ๒ - หน้า 457
บทว่า กปฺปิเย อกปฺปิยสญฺี ได้แก่ ผู้มีความสำคัญในสิ่งที่เป็นกัปปิยะ มีเนื้อจระเข้และเนื้อแมวเป็นต้น อย่างนี้ว่า นี่เป็นอกัปปิยะ.
จบอรรถกถาสูตรที่ ๓
อรรถกถาสูตรที่ ๔
ในสูตรที่ ๔ (ข้อ ๓๔๖) พึงทราบตามนัยที่กล่าวแล้วนั่นแหละ.
จบอรรถกถาสูตรที่ ๔
อรรถกถาสูตรที่ ๕
ในสูตรที่ ๕ (ข้อ ๓๔๗) มีวินิจฉัยดังต่อไปนี้.
บทว่า อนาปตฺติยา อาปตฺติสญฺี ได้แก่ เป็นผู้มีความสำคัญในเรื่องที่ไม่เป็นอาบัติ เป็นต้นว่า ภิกษุทำความสะอาดภัณฑะ รมบาตร ตัดผม เข้าบ้านโดยบอกลานั้นอย่างนี้ว่า นี้เป็นอาบัติ. บทว่า อาปตฺติยา อนาปตฺติสญฺี ได้แก่ เป็นผู้มีความสำคัญในอาบัติเพราะไม่เอื้อเฟื้อต่อเรื่องเหล่านั้นนั่นแหละ นั้นอย่างนี้ว่า นี้ไม่เป็นอาบัติ.
จบอรรถกถาสูตรที่ ๕
อรรถกถาสูตรที่ ๖
ในสูตรที่ ๖ (ข้อ ๓๔๘) พึงทราบเนื้อความโดยนัยที่กล่าวแล้วนั่นแล.
จบอรรถกถาสูตรที่ ๖
อรรถกถาสูตรที่ ๗ - ๑๐
ในสูตรที่ ๗ - ๑๐ (ข้อ ๓๔๙ - ๓๕๒) มีเนื้อความง่ายทั้งนั้น.
จบอรรถกถาสูตรที่ ๗ - ๑๐
พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย เอกนิบาต-ทุกนิบาต เล่ม ๑ ภาคที่ ๒ - หน้า 458
อรรถกถาสูตรที่ ๑๑
ในสูตรที่ ๑๑ (ข้อ ๓๕๓) มีวินิจฉัยดังต่อไปนี้.
บทว่า อาสวา ได้แก่ กิเลส. บทว่า น กุกฺกุจฺจายิตพฺพํ ความว่า ความไม่ปรารถนาไม่วิจารณ์ส่วนในสงฆ์ ชื่อว่าสิ่งที่ไม่ควรรำคาญ. บทว่า กุกฺกุจฺจายิตพฺพํ ความว่า ไม่รำคาญความปรารถนาวิจารณ์ส่วนในสงฆ์นั้นนั่นแหละ.
จบอรรถกถาสูตรที่ ๑๑
อรรถกถาสูตรที่ ๑๒ เป็นต้น
ในสูตรที่ ๑๒ (ข้อ ๓๕๔ - ๓๖๒) พึงทราบโดยนัยที่กล่าวแล้วในหนหลังนั่นแล.
จบอรรถกถาสูตรที่ ๑๒ เป็นต้น
จบพาลวรรคที่ ๕
จบทุติยปัณณาสก์