ขอเรียนถาม เรื่องโอชารูป ซึ่งเป็นหนึ่งในแปดรูปที่แยกออกจากกันไม่ได้
จากคำกล่าวที่เคยได้ยินว่า โอชารูป เป็นรูปที่มาจากอาหารเป็นคำๆ เป็นรูปที่ทำให้เกิดรูปร่าง การเจริญเติมโตทางกายอื่นๆ
อยากทราบว่าทำไมถึงต้องกล่าวว่า เป็นรูปจากอาหารเป็นคำๆ ถ้าไม่เป็นคำๆ จะคืออย่างไร อะไรที่จะพิสูจน์ว่ารูปนี้มีในขั้นการฟัง เข้าใจว่าคงจะเข้าใจยากเพราะรูปนี้รู้ทางใจ แล้วรู้ได้ในขั้นเจริญสติปัฏฐานไหมหรือต้องการเจริญภาวนาเท่านั้นครับ
อนุโมทนาครับ
ขอเรียนว่า อาหารรูป หรือโอชา เป็นรูปหนึ่งใน ๒๘ รูป โดยลักษณะคือ มีการทำให้รูปเกิด (เจริญ) เป็นลักษณะ โดยทั่วไปจะเข้าใจได้ก็คือ สารอาหาร ที่มาจากวัตถุต่างๆ ที่เรากลืนกินเข้าไป (กวฬิงการาหาร) ซึ่งจะมีหน้าที่หล่อเลี้ยงร่างกายให้เจริญเติบโตจริงอยู่ อาหาร อาจจะเข้าสู่ร่างกายโดยไม่ต้องกลื่นเป็นคำๆ ก็ได้ แต่ก็ทำกิจของอาหารเช่นกัน ในขั้นการฟัง การศึกษาก็พอที่จะค่อยๆ เข้าใจได้ระดับหนึ่งว่า เป็นรูปชนิดหนึ่งแต่ผู้ที่ตรัสรู้แล้ว ทรงแทงตลอดตามเป็นจริง จึงทรงแสดงแก่สาวกให้รู้ตาม ผู้ศึกษาย่อมรู้ตามฐานะ รู้ตามสติปัญญาของตนๆ จะรู้ทั้งหมดก็ไม่ใช่ฐานะครับ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
สภาพธรรมที่มีจริง ทั้งนามธรรมและรูปธรรม เป็นการตรัสรู้โดยพระปัญญาของพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า เมื่อพระองค์ทรงตรัสรู้สภาพธรรมตามความเป็นจริงแล้วก็ทรงแสดงพระธรรมเพื่อให้พุทธบริษัทได้ฟัง ได้เข้าใจตามความเป็นจริง ตามกำลังปัญญาของแต่ละบุคคล ในส่วนของรูปธรรม นั้น มีทั้งหมด ๒๘ รูป โอชารูป ก็เป็นหนึ่งใน รูป ๒๘ เป็นรูปที่ละเอียด ในกลุ่มของรูปที่เล็กที่สุดจะมีรูปรวมกัน ๘ รูป ได้แก่ มหาภูตรูป ๔ (ธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุไฟ ธาตุลม) และรูปที่อาศัยเกิดกับมหาภูตรูป อีก ๔ มี สี กลิ่น รส โอชา และโอชานี้ เมื่อสัตว์กลืนกินอาหารเข้าไป ทำให้เกิดรูป ที่เกิดจากโอชา คือ อาหารชรูป ซึ่งจะต้องมีในสัตว์ บุคคลเท่านั้น เป็นธรรมที่มีจริงที่เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย ครับ.
...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
กพฬีการาหาร หมายถึง โภชนาหาร คือ ข้าว น้ำและของที่รับประทานได้ทุกชนิด ที่ทำให้ผู้ที่ดื่มกินแล้ว สามารถดำรงชีวิตสืบต่อไปได้ แต่เมื่อกล่าวถึงสภาวธรรม ในอาหารที่กลืนกินเข้าไปนั้น มีสภาวรูป ๘ รูป คือ ดิน น้ำ ไฟ ลม สี กลิ่น รส โอชา
โอชารูป รูปเดียวเท่านั้นที่เป็นอาหารปัจจัย นำมาซึ่งผล คือ อาหารชรูป เมื่อเข้าไปอยู่ในร่างกายของสัตว์แล้ว ทำให้ร่างกายเจริญเติบโตและมีกำลังแข็งแรง ฉะนั้น สภาพธรรมของ กพฬีการาหาร ก็คือ โอชารูป
ซึ่ง โอชารูป ที่อยู่ในอาหาร ที่เป็นคำๆ นั้น เป็นปัจจัยเมื่อทานเข้าไปแล้ว มีการย่อย ของเตโชธาตุ คือ ธาตุไฟ เป็นปัจจัยให้เกิดรูปใหม่ กลาปใหม่เกิดขึ้นในร่างกาย เป็นปัจจัยให้ร่างกาย เจริญเติบโต เพราะอาศัยอาหารที่เป็นคำๆ ที่เป็น กพฬีการาหาร อัน เป็นโอชารูป ครับ
ส่วนที่ใช้ว่า เป็นคำๆ ในอาหารที่เป็นปัจจัยให้เกิดรูปอื่นๆ นั้น เพราะแสดงโดยนัยเปรียบเทียบว่า การบริโภคอาหาร ก็ทานเป็นคำๆ ใช่ไหมครับ ไม่ใช่ ดื่มอาหาร แต่ก็ต้องทานอาหาร เป็นคำๆ แต่เมื่อเราเข้าใจโดยละเอียดแล้ว อาหารประเภทไหน ไม่ว่าจะเป็น แบบเหลว มีน้ำซุป ที่ไม่เป็นคำๆ หรือ เป็นอาหารหยาบ ที่เป็น ข้าว เป็นต้น ล้วนแล้วแต่ มี โอชารูป ที่เป็นปัจจัยให้เกิดรูปอื่นๆ ทำให้ร่างกายเจริญเติบโต ครับ
คำถามที่ว่า อะไรที่จะพิสูจน์ว่ารูปนี้มีในขั้นการฟัง
ซึ่งผู้ถามได้ถามว่า จะรู้ได้อย่างไรว่ามีโอชารูป แม้ในขั้นการฟัง พิจารณาโดยทั่วไป ได้ครับว่า ร่างกายเจริญเติบโตได้ ก็เพราะอาศัยอาหาร ถ้าเด็กไม่ทานอาหารเลย ตลอดเวลา หรือทานน้อยมาก การเจริญเติบโตของร่างกาย ที่อาศัยรูปใหม่ๆ ที่เกิด จาก โอชารูปเป็นปัจจัยก็มีไม่ได้ ดังนั้น ที่เห็นเด็กบางคนเติบโตไม่ดี ตามประเทศในทวีปแอฟริกา ก็เพราะยากจน ไม่ได้ทานอาหารเท่าที่ควร รูปใหม่ที่ทำให้ร่างกายเจริญเติบโต จึงมีน้อย ครับ เพราะ ไม่ได้การบริโภคอาหาร ที่เป็นโอชารูปนั่นเองครับ นี่คือ การพิจารณาในขั้นการฟังในเรื่อง โอชารูปมีจริงหรือไม่
ส่วนการจะรู้ลักษณะของโอชารูป จริงๆ นั้น จะต้องเป็นปัญญาระดับสูง ที่เป็นการเจริญสติปัฏฐานที่รู้ลักษณะของสภาพธรรมที่เป็นโอชารูปตามความเป็นจริง ซึ่ง พระพุทธเจ้า ทรงแสดงความจริงของสภาพธรรมต่างๆ ที่เกิดขึ้น ตามเหตุปัจจัย โดยอาศัยสภาพธรรมต่างๆ เป็นปัจจัยให้เกิดขึ้น ครับ ดังนั้นการศึกษาเรื่องสภาพธรรม แม้แต่เรื่องโอชารูป ก็เพื่อเข้าใจความจริงครับว่า มีแต่เพียงสภาพธรรม ที่เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัย และไม่มีเราที่จะทำให้อะไรเกิดขึ้นเลย และทุกอย่างก็ไม่พ้นจากสภาพธรรม ไม่ใช่เรา ไม่ใช่สัตว์ บุคคล ครับ
ขออนุโมทนาที่ร่วมสนทนา
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาค อรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ขอบคุณ และขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านด้วยครับ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ขอบคุณ และขออนุโมทนาในกุศลจิตของท่านอาจารย์และทุกๆ ท่านด้วยครับ