ณ กาลครั้งหนึ่ง ที่ บ้านพลโท ชัชพัชร์ คุณกนกรัตน์ แย้มงามเรียบ อ. เมือง จ. นครสวรรค์ ๒๑-๒๒ ก.ย. ๒๕๖๗
โดย วันชัย๒๕๐๔  19 ต.ค. 2567
หัวข้อหมายเลข 48732

วันที่ ๒๑-๒๒ กันยายน พุทธศักราช ๒๕๖๗ ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ประธานกรรมการมูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา และ คณะอาจารย์ มศพ. ผู้ช่วยศาสตราจารย์อรรณพ หอมจันทร์ กรรมการมูลนิธิศึกษาและเผยแพร่พระพุทธศาสนา อาจารย์วิชัย เฟื่องฟูนวกิจ และ อาจารย์คำปั่น อักษรวิลัย ปธ.๙ ได้รับเชิญจาก พลโท ชัชพัชร์ คุณกนกรัตน์ แย้มงามเรียบ เพื่อไปสนทนาธรรม ณ บ้านเลขที่ ๕๕/๔๙ หมู่ ๒ ตำบลหนองปลิง อำเภอเมือง จังหวัดนครสวรรค์

ข้อความบางตอนจาก การสนทนาธรรม ช่วงบ่ายของวันเสาร์ที่ ๒๑ กันยายน พุทธศักราช ๒๕๖๗ (นาทีที่ ๒๙.๒๖)

ท่านอาจารย์ : การเรียนทุกอย่าง ต้องมีการตั้งต้น เพราะฉะนั้น ไม่มีใครสามารถจะไปเข้าใจอริยสัจ ๔ โดยไม่รู้ว่า "ธรรม" คือ อะไร เพราะฉะนั้น เวลาฟัง-สนทนากัน เป็นมงคล ถูกต้องไหม? ใน มงคล ๓๘ มีทั้งการฟังธรรม ทั้งการสนทนาธรรม

ทั้งหมดเริ่มจาก ไม่คบคนพาล คนพาลคือคนไม่รู้ความจริง พูดอะไรไม่ตรงกับคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่พูดว่า มงคล ๓๘ แต่รู้ไหม ทำไมจึงเป็น มงคลข้อที่ ๑ ไม่คบคนพาล คือคนไม่รู้ความจริง ต้องพาลแน่ เพราะไม่รู้ความจริง พูดธรรมก็ต้องผิดแน่ เพราะไม่รู้จักธรรม

เพราะฉะนั้น การที่จะได้ฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นลาภอันประเสริฐ ยิ่งกว่าลาภใดๆ ทั้งสิ้น ทุกคนต้องจาก ยศถาบรรดาศักดิ์ ทรัพย์สิน เงินทอง (ทั้ง) หมด เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ เดี๋ยวนี้ก็ได้ แต่..อะไรติดตามไป? ..อกุศล ที่ไม่รู้ความจริงเท่าไหร่

แต่ถ้าได้ฟัง ก็ยังมีกุศลที่ได้เข้าใจความจริง ติดตามไป เป็นพื้นฐาน เป็นสิ่งที่ปลูกฝังไว้ในจิต ที่จะเป็นประโยชน์อย่างยิ่ง ที่จะทำให้ มีโอกาสได้ฟังอีก สนใจอีก เข้าใจอีก "รู้ว่า ไม่ใช่มีเราทำ" แต่ความเข้าใจถูก ต้องตามลำดับ

ไม่มีความเข้าใจอะไรเลย ไปปฏิบัติธรรม ได้อย่างไร? พระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ได้สอนให้เข้าใจความจริง แต่ให้ไปปฏิบัติ มีที่ไหนในพระไตรปิฎก? เพราะปัญญาต้องตามลำดับ เด็กแรกเกิดแล้วให้ไปกระโดดสูงๆ ได้ไหม? จนกว่าจะค่อยๆ โต

เพราะฉะนั้น ปัญญาที่จะมีกำลังถึงระดับที่ประจักษ์ การเกิด-ดับเดี๋ยวนี้ ลองคิดดู ไม่ใช่วันนี้แน่!! ไม่ใช่ชาตินี้แน่!! แต่ว่า ถ้าไม่ฟังต่อไป และทรงแสดงว่า ฟังอย่างไร จึงสามารถจะเข้าใจได้ น่าสนใจใช่ไหม ฟังอย่างไร ก็ฟังมาเรื่อย ฟังทุกอย่าง แล้ว ฟังอย่างไร? จะเข้าใจธรรม

ต้องเปลี่ยนนิสัย จากไม่ไตร่ตรองอย่างละเอียด เป็นการที่ "ทุกคำ" ต้องไตร่ตรองรอบด้าน ถ้าพูดถึง "ธรรม" ต้องเริ่มจาก ธรรมคืออะไร? เดี๋ยวนี้มีไหม? ไม่อย่างนั้นจะศึกษาอะไร ถ้าเดี๋ยวนี้ไม่มี!!

เพราะฉะนั้น จึงรู้ความหมายของการศึกษาว่า ถ้าไม่ฟังให้เข้าใจก่อน สามารถจะ "รู้ตรงแข็ง" นี้ ได้ไหม? ว่า ขณะที่ "แข็ง" ปรากฏ ต้องไม่มีอะไรปรากฏ!! โลกทั้งโลกหายไปไหน เมื่อความจริงปรากฏ!! จึงเป็น "อนัตตา" ไม่ใช่ "อัตตา" ทีละเล็ก ทีละน้อย ค่อยๆ ฟัง

ไม่ต้องรีบร้อนไปละกิเลส เพราะว่า ปัญญาเท่านั้นที่ค่อยๆ รู้ความจริง จึงละ อย่างอื่นที่ไม่รู้ จะไปละความรู้ ไม่มีทาง ก็ต้องไม่รู้ไปเรื่อยๆ เพราะไม่รู้ทุกขณะ ต้องมีเหตุผล ต้องมีการสนทนาธรรม ไม่คบคนพาล ไม่ได้หมายความว่า ไม่ไปทานข้าวกับเขา ไม่ไปไหนมาไหนกับเขา ญาติเรา พี่น้องเรา เพื่อนเรา มีตั้งเยอะ จะไม่ให้ไปคบหรือ? แต่..ไม่คบกับ "ความเห็นผิด" ใดๆ ไม่ว่าของใคร!! เพราะว่า ความเห็นผิด-พาล-ไม่รู้ความจริง ก็ต้องเป็นแบบพาล

เพราะฉะนั้น ทุกคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่คบกับ "ความเห็นผิด" เมื่อคบกับ "ความเห็นถูก" ตั้งแต่ต้น ประโยชน์คืออะไร ได้ค่อยๆ รู้ความจริง ซึ่งคนพาลไม่รู้ ตั้งแต่ต้นที่เริ่มฟังคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไปจนถึงมงคลข้อสุดท้าย "รู้แจ้งอริยสัจธรรม" นั่นคือความหมายที่แท้จริงของ "มงคล"

ไม่ใช่ว่า มงคล แล้วเป็นลาภ เป็นชื่อเสียง เป็นเกียรติยศ แต่มงคลทั้งหมด ถ้ามีความเข้าใจถูก ลาภ ชื่อเสียง เกียรติยศ ฐานะ เงินทอง สำคัญไหม? แล้วก็ถูกเขาด่า ถูกเขาว่า ทุกวัน เพราะ ไม่ใช่คนดี ใครจะไปกราบไปไหว้คนไม่ดีบ้าง? หรือความไม่ดีบ้าง?

เพราะฉะนั้น สิ่งที่ดี ก็ต้องดี เพราะว่า เป็นผู้ที่ตรง-สัจจะบารมี ตรงต่อความเป็นจริง ตั้งแต่เริ่มฟัง และตลอดไป เท่าที่มีปัจจัยที่จะได้ฟัง นิสัยใหม่คือไตร่ตรอง ธรรมคืออะไร ถ้าตอบไม่ได้ แล้วไปปฏิบัติธรรมได้หรือ? ค้านกันอยู่ในตัว!! ถูกไหม?

เพราะฉะนั้น เป็นคนที่มีเหตุผล เป็นผู้ที่เคารพความจริง เป็นผู้ที่รู้จักคุณ ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เหนือบุคคลใดทั้งสิ้น เพราะฉะนั้น ใครคิดเปลี่ยนคำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า นับถือพระองค์ เคารพพระองค์หรือเปล่า? พระองค์ตรัสว่าอย่างนี้ แล้วพูดอย่างอื่น!!

เพราะฉะนั้น ในการสนทนาธรรมบางแห่ง พูดภาษาไทย คนแปล แปลไม่ตรง!! บอกว่า ตามพระวินัยปิฎก พระภิกษุไม่รับและไม่ยินดี ในเงินและทอง คนนั้นรู้ทุกคำในภาษาไทย แต่แปลว่า พระภิกษุไม่ยินดีในกาม คือรูป เสียง กลิ่น รส โผฐฐัพพะ ตรงไหม? กับ คำที่พระองค์ทรงบัญญัติ ภิกษุไม่รับและไม่ยินดีด้วย เพราะว่าบางคนไม่รับ แต่เอาไปเก็บไว้ใต้หมอน ไม่รับจากมือ แต่ไปรับจากคนที่รับให้ (ไวยาวัจกร) แล้วก็เอาไปเก็บไว้ใต้หมอน แล้วก็ดูว่ายังอยู่หรือเปล่า ไม่รับจริง แต่ยินดีในเงินและทองหรือเปล่า?

แล้วภิกษุต่างกับคฤหัสถ์อย่างไร? ในเมื่อคฤหัสถ์ไม่ต้องบวชเลย อนาถบิณฑิกเศรษฐี เป็นพระโสดาบัน วิสาขามิคารมารดา เป็นพระโสดาบัน จิตตคฤหบดี เป็นใคร? ระดับไหน? อนาคามี!!

เพราะฉะนั้น ไม่ใช่ว่าไปบวชจึงจะศึกษาธรรม รู้ธรรม เข้าใจธรรม คำของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ตลอด ไม่ว่าเขาจะเป็นใคร จึงมีพุทธบริษัท ที่เป็นอุบาสก อุบาสิกา มีภิกษุ สมัยโน้นมีภิกษุณีด้วย ภิกษุ ภิกษุณีในครั้งโน้น อุบาสก อุบาสิกา แล้ว อุบาสก อุบาสิกา พระองค์ไม่ได้ตรัสว่า ไม่ให้ยินดีในเงินและทอง เพราะรู้ตัวเอง ยังจะต้องมีชีวิตในเพศคฤหัสถ์ ตามที่สะสมมา เพราะฉะนั้น ยังมีบ้าน ยังมีข้าวของในบ้าน ยังมีบุตรหลาน ยังมีทรัพย์สมบัติให้บุตรหลาน

แต่เมื่อใดเป็นภิกษุ ออกจากบ้าน ทิ้งบ้าน ไม่มีบ้าน!! ไปไหน? ไปกลางป่าก็ได้ ลอมฟางก็ได้ ที่ว่างก็ได้ อยู่ได้เพราะละชีวิตคฤหัสถ์ ไม่รับและไม่ยินดีในเงินและทอง มีชีวิตอยู่ด้วยคำข้าวและสิ่งที่คนอื่นให้ ด้วยความศรัทธา เคารพในความที่สามารถละอาคารบ้านเรือนได้ เพื่ออะไร? เห็นไหม? ถ้าละไป มีเงินเยอะๆ ในพระไตรปิฎกใช้คำว่าอะไร? เศรษฐีหัวโล้น!! จริงไหม? ต้องตรง!!

ธรรมเป็นเรื่องที่ตรง ถ้าไม่ตรง จะไม่ได้ฟังคำนี้ แล้วจะรู้สึกไหมว่าผิด!! แต่เมื่อได้ฟังคำนี้ เริ่มคิดว่าตัวเองผิด ไม่เป็นพระอีกต่อไป มาเป็นคฤหัสถ์ตามอัธยาศัย ศึกษาธรรมได้ สนทนาธรรมได้ ปฏิบัติธรรมได้ อบรมเจริญปัญญาได้ รู้แจ้งอริยสัจธรรมได้ ถึงความเป็นพระอรหันต์ได้ แต่เมื่อเป็นพระอรหันต์แล้ว ก็บวช ไม่สามารถจะมีชีวิตอย่างคฤหัสถ์ได้อีกต่อไป ถูกไหม? จริงไหม? ตรงไหม? พุทธบริษัทในครั้งนั้นมีใครบ้าง

และไม่ได้บอกว่า คฤหัสถ์ต้องมีศีลอย่างภิกษุเลย!! เฉพาะผู้ที่สามารถสละอาคารบ้านเรือน เพื่อศึกษาพระธรรม และอบรมเจริญปัญญา ในเพศที่ละอาคาร แล้วจะไปปลูกบ้านไหม? แล้วจะมีทุกสิ่งทุกอย่างเหมือนบ้านไหม?

เพราะฉะนั้น ก็เป็นเรื่องที่ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้อย่างไร ทรงบัญญัติไว้อย่างไร ผู้ฟังมีความเคารพสูงสุด ไม่เปลี่ยนความหมาย!! เพื่อคนฟังจะได้เริ่มรู้ความจริง เพราะฉะนั้น สิ่งที่พระโพธิสัตว์ ประพฤติปฏิบัติ จนกระทั่งรู้แจ้งอริยสัจธรรม ไม่ผิดเลย คือ "สัจจะ" ความจริง

บางครั้ง บางชาติ อาจจะมีความผิดพลาดในเรื่องศีล แล้วแต่เพศ แล้วแต่พฤติกรรม แล้วแต่สถานะ แต่ว่า สิ่งหนึ่งซึ่งไม่ขาด คือ "สัจจะ" ต้องตรง ตั้งแต่ขั้นฟัง!!

เพราะฉะนั้น เหตุการณ์ใดๆ ทั้งหมด จะเป็นความผิด ความพลาด ประการใด สามารถแก้ได้ เมื่อพูดความจริง แต่ถ้าไม่พูดความจริง อย่างไรๆ ก็แก้ไม่ได้ ไม่มีทางที่จะให้ถูกต้องได้ เพราะไม่พูดความจริง

กราบเท้าบูชาคุณ ท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ที่เคารพยิ่ง

ยินดีในกุศลทุกประการของท่าน พลโท ชัชพัชร์ คุณกนกรัตน์ แย้มงามเรียบ และครอบครัว


ขอเชิญติดตามบันทึกการสนทนาธรรมในครั้งนี้ ได้ที่ลิงก์ด้านล่าง :


ขอเชิญติดตามเรื่องที่เกี่ยวข้อง ได้ที่ลิงก์ด้านล่าง :

- อาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ เยี่ยมบ้าน เอ ดับเบิ้ลยู คูเปอร์ บ้าน 120 ปี วิถีไม้สักไทย จ.นครสวรรค์

- พลโทชัชพัชร์ แย้มงามเรียบ สมาชิกชมรมบ้านธัมมะ มศพ. ลำดับที่ ๒๖๕๖

- สนทนาปัญหาสารพัน : พุทธวจน



ความคิดเห็น 1    โดย chatchai.k  วันที่ 19 ต.ค. 2567

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์ ด้วยความเคารพยิ่ง

ยินดีในกุศลจิตครับ


ความคิดเห็น 2    โดย เมตตา  วันที่ 19 ต.ค. 2567

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น

กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ ด้วยความเคารพยิ่ง

กราบยินดีในกุศลทุกประการของท่าน พลโท ชัชพัชร์ คุณกนกรัตน์ แย้มงามเรียบ และครอบครัวค่ะ


ความคิดเห็น 3    โดย khampan.a  วันที่ 19 ต.ค. 2567

ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น


กราบเท้าบูชาคุณท่านอาจารย์สุจินต์ บริหารวนเขตต์ที่เคารพยิ่ง

ยินดีในกุศลศรัทธาของท่านพลโทชัชพัชร์และคุณกนกรัตน์ แย้มงามเรียบที่ได้เปิดบ้านจัดสนทนาธรรมอันเป็นไปเพื่อการสะสมความเข้าใจถูกเห็นถูกสำหรับผู้ที่ได้ฟังได้ศึกษาอย่างแท้จริง

ขอบพระคุณและยินดีในกุศลวิริยะของพี่วันชัย ภู่งามที่ได้ถ่ายทอดความงามของพระธรรมและภาพอันสวยงามและยินดีในกุศลจิตของทุกๆ ท่านด้วยครับ