ผมเรียนจบทางวิศวะครับ ระดับปริญญาตรี เรียนจบมีอยู่สองอาชีพที่ผมเล็งๆ ไว้ คือ
1. ทหารรบพิเศษ รู้สึกชอบอาชีพนี้มากที่สุดแล้วครับ แต่ติดตรงเงินน้อย แถมถ้านายสั่งไปฆ่าใครเราไม่มีสิทธิตั้งคำถามว่าเขา (คนที่เราจะไปฆ่า) ผิดจริงไหม เป็นภัยต่อชาติไหม เราทำได้แค่ทำตามคำสั่ง "อย่างเดียว" อาชีพแบบนี้จะเป็นการสร้างเวรสร้างกรรม จองล้างจองผลาญกันในชาติต่อๆ ไปไหมครับ
2. วิศวกร อาชีพนี้เงินเยอะหน่อย แต่อย่างว่าครับ ผมไม่ค่อยชอบซักเท่าไหร่ กลัวว่าทำอาชีพนี้จะเข้าคำที่ท่านพุทธทาสเคยบอกว่า "ทำงานไปพลาง ตกนรกไปพลาง" คือไม่มีความสุขในการทำงาน อยากทำงานแบบ "ทำงานไปพลาง ขึ้นสวรรค์ไปพลาง"
อีกความคิดนึง อยากออกบวชครับ เบื่อชีวิตฆราวาสเหลือเกิน โดยปกติผมรักความสงบ ไม่ใคร่ชอบดูหนัง ฟังเพลง แต่ติดตรงมีหนี้ กยศ. คงต้องทำงานใช้หนี้ก่อนบวชล่ะครับ
จริตผมชอบป่าเขาลำเนาไพร ชอบยิงปืน ชอบอุปกรณ์ทางทหาร ยิ่งได้เห็นอะไรแนวๆ นี้แล้วชอบคิดไปถึงทหารมากๆ ครับ เห็นทิวพุ่มไม้นึกถึงทหาร หรือพลซุ่มยิงซ่อนตัวรอยิงข้าศึก คือในแต่ละวันคิดถึงแต่เรื่องแนวทหารทุกวันเลยครับ สงสัยจังครับว่าภพชาติก่อนเมื่อใกล้ๆ ผมเคยเป็นทหารมาก่อนหรือ?
เรียนมหาวิทยาลัยสบายๆ ในห้องแอร์ไม่สนุกเลยครับ หมอบคลานตามพงหญ้าพร้อมปืนคู่กายซักกระบอกสนุกกว่ากันเยอะ ชอบขนาดนี้ผมควรไปเป็นทหารรบพิเศษดีไหมครับ แอบแปลกใจเหมือนกันครับที่ตัวเองชอบไม่เหมือนคนอื่น
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ชีวิตคฤหัสถ์ เป็นชีวิตที่ยังเป็นไปในกามคุณ ๕ และ ยังจะต้องมีการประกอบอาชีพเพื่อเลี้ยงตน เองและผู้อื่นที่อยู่รอบข้าง ซึ่งคฤหัสถ์ที่ดีก็สามารถประกอบอาชีพที่สุจริตได้ ที่เป็นอาชีพที่ไม่บียดเบียนสัตว์อื่นทางกายและวาจา และงดเว้นจากอาชีพที่ไม่ควรประกอบ ๕ ประการ ตามที่พระพุทธเจ้าทรงแสดง มีการค้าขายอาวุธ เป็นต้น ดังนั้น อาชีพอื่นๆ ที่ไม่ใช่อาชีพที่ไม่ควรประกอบ ๕ ประการ คฤหัสถ์ก็สามารถประกอบได้ ไม่ว่าจะเป็นวิศวกร เป็นต้น ก็สามารถประกอบอาชีพนี้ และ ประพฤติสุจริตทางกาย วาจาในขณะที่ประกอบอาชีพก็ได้ ซึ่งในสมัยพุทธกาล พระอริยสาวก มีพระโสดาบัน เป็นต้นมากมาย ก็เป็นคฤหัสถ์ ไม่ได้บวช และ ประกอบอาชีพ มีการค้าขาย เป็นต้น ซึ่งก็ไม่ได้ผิดอะไร และไม่เป็นเหตุให้จะต้องตกนรกเพียงการประกอบอาชีพทางโลก ซึ่งการจะตกนรก ไปอบายภูมิ ไม่ได้ขึ้นอยู่กับว่า ประกอบอาชีพอะไร หรือ ขึ้นอยู่กับเพศคฤหัสถ์หรือเพศบรรพชิต แต่ขึ้นอยู่กับกรรมที่ทำที่เป็นอกุศลกรรม เพราะฉะนั้น การจะไปสวรรค์ สำคัญที่กรรมของตนเองไม่ว่าจะประกอบอาชีพอะไร อยู่ในเพศคฤหัสถ์ หรือ บรรพชิต หากทำกรรมดีแล้วกรรมดีให้ผลก็ไปสวรรค์ และหากว่า เป็นผู้กระทำกรรมชั่ว ไม่ว่าจะประกอบอาชีพอะไร เพศคฤหัสถ์ บรรพชิต หากทำกรรมชั่วก็สามารถไปอบายภูมิ มีนรก เป็นต้น ได้ทั้งนั้น เพราะฉะนั้น ผู้ที่จะไปดี ไม่ดี ที่จากโลกนี้ไปแล้ว สำคัญที่กรรมของตนเองเป็นสำคัญ
ดังนั้น ชีวิตที่ดี ประเสริฐ คือ การมีชีวิตอยู่ด้วยปัญญา หากมีปัญญาแล้ว ไม่ว่าจะอยู่ในเพศบรรพ ชิต หรือ คฤหัสถ์ ประกอบอาชีพอะไรในเพศคฤหัสถ์ ก็สามารประพฤติไปในทางที่ดี และ ทำให้ถึงสุคติโลกสวรรค์ เมื่อจากโลกนี้ไปแล้ว ดังนั้น สำคัญที่ต้องอบรมเหตุ คือ ปัญญาเป็นสำคัญ คือ การฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม ไม่ว่าจะอยู่ในเพศอะไร บรรพชิต หรือ คฤหัสถ์ ปัญญาก็สามารถเกิดขึ้นได้ และ สามารถบรรลุธรรมได้ และ สำหรับผู้ที่ยังเป็นหนี้อยู่ ไม่สามารถบวชได้ตามพระวินัย ดังนั้น ก็ต้องใช้หนี้ ตามสมควร และ ในขณะที่เป็นเพศคฤหัสถ์ ก็ใช้หนี้ คือ การเลี้ยงดู บิดา มารดา ที่เป็นเจ้าหนี้ของเรา ด้วยการประกอบอาชีพที่สุจริต
ดังนั้น ควรประกอบอาชีพที่สามารถเลี้ยงดูบิดา มารดา และตนเองได้ และ ไม่ได้อยู่ไกล หรือ ห่างจากบิดา มารดา เพื่อความเกื้อกูลตัวท่านได้ง่าย ครับ
ที่สำคัญที่สุด ไม่ลืม ใช้หนี้ ที่เป็นหนี้ คือ อกุศลกรรม และ เป็นหนี้ เป็นทาสของกิเลส ด้วยการฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม ที่สามารถอบรมได้ ทำได้ในเพศคฤหัสถ์
เพราะฉะนั้น ไม่ว่าอยู่ในเพศใด ประกอบอาชีพอะไร การดำรงชีวิต มีชีวิตด้วยปัญญา ประเสริฐที่สุด ครับ
ขออนุโมทนา
ทหารเป็นอาชีพที่ไม่ควรประกอบหรือครับ เพราะมีโอกาสฆ่าคนสูง (เช่น ปะทะกับขบวนการค้ายาเสพย์ติดแถวชายแดน)
เรียน ความเห็นที่ 3 ครับ
อาชีพใดที่ไม่ใช่อาชีพที่ไม่ควรประกอบ ๕ ประการ ก็สามารถประกอบอาชีพนั้นได้ แต่ก็ต้องพิจารณาให้ลึกลงไปครับว่า อาชีพที่เอื้อต่อการทำบาปได้ง่าย ก็ไม่ควรประกอบ และ อาชีพบางอย่าง หากทำให้อยู่ไกล ผู้มีพระคุณ มี บิดา มารดา เป็นต้น ก็ตอบแทนพระคุณท่านได้ยาก ซึ่งเมื่อยังเป็นหนุ่ม ก็ควรเลี้ยงดูท่าน ตามกำลัง มีการช่วยเหลือกิจการงาน ไม่ใช่เพียง แค่เรื่องเงินทอง เท่านั้น เพราะฉะนั้นก็ควรดูตามความเหมาะสม ในการเจริญขึ้นของกุศลทุกๆ ประการด้วย แต่ธรรมก็เป็นไปตามเหตุ ปัจจัย ไม่สามารถบังคับใครได้ ครับ
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ที่สำคัญที่สุดจะต้องไม่ประอาชีพที่เป็นไปเพื่อเบียดเบียนสัตว์อื่น ไม่ควรคิดถึงเฉพาะชาตินี้เพียงชาติเดียว ชีวิตของผู้ที่ยังมีกิเลสอยู่ไม่ได้สิ้นสุดเพียงแค่ชาตินี้ชาติเดียว ยังต้องเกิดอีก สิ่งที่จะเป็นที่พึ่งได้อย่างแท้จริง คือ กุศลธรรม โดยเฉพาะอย่างยิ่งคือปัญญา ความเข้าใจถูกเห็นถูก ที่เจริญขึ้นจากการฟังการศึกษาพระธรรมในชีวิตประจำวัน ปัญญานี้แหละ จะเป็นเครื่องนำทางชีวิตไปสู่ความดีทั้งปวง ช่วยประคับประคองให้ดำเนินไปในทางที่ถูกที่ควรต่อไป ครับ
...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...
เรียน คุณชะอมฯ ขอร่วมแสดงความเห็นด้วยนะครับ
ผมเรียนจบทางวิศวะครับระดับปริญญาตรี ถือได้ว่าเป็นผู้ที่มีศิลปวิทยาทางโลกที่เกื้อกูลในอาชีพที่สุจริตได้ดีแล้วนะครับ
เรียนจบมีอยู่สองอาชีพผมเล็งๆ ไว้ เล็งๆ ไว้ก็เป็นความคิดที่ว่าตัวเองจะเลือกอาชีพได้ แต่จริงๆ แล้ว ไม่สามารถเลือกได้หรอก เนื่อง จากจะประกอบอาชีพใดนั้น ต้องเป็นไปตามเหตุตามปัจจัยที่ได้กระทำมาแล้วในอดีต แม้จะอยากทำอาชีพใดอาชีพหนึ่งมาก แต่หากไม่มีเหตุมีปัจจัยที่จะได้ทำอาชีพนั้นแล้ว ย่อมไม่ได้ทำแน่นอน คือ
1. ทหารรบพิเศษ รู้สึกชอบอาชีพนี้มากที่สุดแล้วครับ แต่ติดตรงเงินน้อย
ที่ชอบเพราะสะสมความติดข้องลักษณะนี้มาก่อนในอดีตนะครับ
แถมถ้านายสั่งไปฆ่าใครเราไม่มีสิทธิตั้งคำถามว่าเขา (คนที่เราจะไปฆ่า) ผิดจริงไหม เป็นภัยต่อชาติไหม เราทำได้แค่ทำตามคำสั่ง"อย่างเดียว" อาชีพแบบนี้จะเป็นการสร้างเวร สร้างกรรม จองล้างจองผลาญกันในชาติต่อๆ ไปไหมครับ
หากมีเจตนาฆ่าแล้ว เป็นปาณาติบาต แน่นอนที่สุดครับ
2. วิศวกร อาชีพนี้เงินเยอะหน่อย แต่อย่างว่าครับ ผมไม่ค่อยชอบซักเท่าไหร่ กลัวว่าทำอาชีพนี้จะเข้าคำที่ท่านพุทธทาสเคยบอกว่า "ทำงานไปพลาง ตกนรกไปพลาง" คือไม่มีความสุขในการทำงาน อยากทำงานแบบ "ทำงานไปพลาง ขึ้นสวรรค์ไปพลาง"
เพียงแต่ได้ทำงานที่ไม่ชอบเท่านั้น มีแต่ความไม่พอใจ ไม่อาจเรียกได้ว่าตกนรกหรอกครับ เพราะตกนรกจริงๆ ต้องเป็นผลของอกุศลกรรมที่ทำให้ต้องได้รับวิบากที่ไม่ดี ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย แต่ได้ทำงานที่ไม่ชอบ เป็นเรื่องทางใจเท่านั้น ไม่ได้ลำบากในทางใด ทางหนึ่งเลย ส่วนหากได้ทำงานที่ตนเองชอบ ก็ไม่ใช่จะขึ้นสวรรค์ แต่เป็นกิเลสที่เกิดขึ้นพอใจในสิ่งที่ได้ทำตามความติดข้องเท่านั้น
อีกความคิดหนึ่ง อยากออกบวชครับ เบื่อชีวิตฆราวาสเหลือเกิน โดยปกติผมรักความสงบ ไม่ใคร่ชอบดูหนัง ฟังเพลง แต่ติดตรงมีหนี้ กยศ. คงต้องทำงานใช้หนี้ ก่อนบวชล่ะครับ
ความเห็นนี้เคยได้ยินมาเยอะมากๆ ว่า เบื่อชีวิตอยากจะบวช ลองอ่านกระทู้ที่มีเนื้อหาทำนองเดียวกันนี้ดูนะครับ
เรื่องการบวช
ใครๆ ก็ไม่เข้าใจ
เรื่องของการบวช
โดยสรุปจึงอยากเรียนให้คุณชะอมฯ ทบทวนความเห็นที่มีประโยชน์ของอาจารย์ผเดิม ข้างต้น (ในความเห็นที่ ๒) โดยเน้นว่า "ไม่ว่าอยู่ในเพศใด ประกอบอาชีพอะไร การดำรงชีวิต มีชีวิตด้วยปัญญาประเสริฐที่สุด" แม้จะได้ทำงานดี ทำงานที่ตนชอบ หากไม่มีปัญญา ชาตินี้ก็เปล่าประโยชน์ ที่ว่าเบื่อชีวิตฆราวาส ต้องพิจารณาให้ถี่ถ้วนว่า เบื่อด้วยเหตุผลใด หรือเบื่อเพราะไม่เป็นไปตามใจที่เราคิดเราหวัง ซึ่งไม่ใช่เป็นความเบื่อด้วยปัญญาที่เห็นโทษภัยของกิเลสจริงๆ เมื่อบวชไป ย่อมไม่สามารถประพฤติปฏิบัติตาม พระวินัยได้ถูกต้องครบถ้วน มีแต่รังจะทำให้ประพฤติผิด และเป็นหนทางไปสู่นรกที่แท้จริงทีเดียว คราวนี้ไม่เหมือนกับ "ทำงานไปพลาง ตกนรกไปพลาง" แล้วนะครับ
ขออนุโมทนาครับ
ขออนุญาตร่วมสนทนาแสดงความเห็นด้วยนะครับ
เรียนคุณชะอมทอดกรอบ
สำหรับคำถามที่ว่าควรจะเลือกอาชีพอะไร ในความเห็นผมถ้าให้ผมเลือก ผมเลือกอาชีพวิศวกรครับ เหตุผลของผมก็เป็นไปในลักษณะเดียวกับที่ อ.ผเดิม อ.คำปั่น และ คุณผู้ร่วมเดินทางได้อธิบายอาชีพวิศวกร ผมคิดว่าคงมีรายได้มากกว่า เมื่อมีรายได้มากพอที่จะเลี้ยงดูตนเองได้ ก็สามารถแบ่งเงินเพื่อใช้ให้เป็นประโยชน์ เช่น เลี้ยงดูบิดามารดา เลี้ยงดูบุตรภรรยา ทำบุญช่วยเหลือการกุศลต่างๆ นอกจากนี้การทำงานก็น่าจะอยู่ในเมืองได้มากกว่า มีโอกาส ได้ดูแลบิดามารดามากกว่า ในเมืองก็ใกล้แหล่งเทคโนโลยีเช่นอินเตอร์เน็ต เราก็สามารถใช้ให้เป็นประโยชน์ เช่น การใช้เป็นสื่อเพื่อฟังธรรมศึกษาธรรม สะสมปัญญา ซึ่งเป็นโอกาสที่หาได้ยาก อีกทั้งโดยรวมแล้วยังปลอดภัยกว่า (แม้เราจะไม่รู้ว่ากรรมจะให้ผลอย่างไร เมื่อไหร่ แต่โดยลักษณะงานแล้ว อาชีพวิศวกรก็น่าจะปลอดภัยกว่าอาชีพทหาร)
สรุปแล้วผมคิดว่าจะเลือกงานอย่างไร สิ่งสำคัญที่น่าพิจารณา คือ งานอย่างไรเอื้อในการเจริญขึ้นของกุศลมากกว่ากัน ไม่ใช่ว่าอาชีพทหารไม่สำคัญ แต่ถ้าจะให้เลือก เราก็ควรพิจารณาเลือกอาชีพที่เกื้อกูลให้กุศลมีโอกาสเจริญขึ้นมากกว่าอกุศล ส่วนเรื่องความชอบความไม่ชอบในงานที่ทำเป็นเรื่องธรรมดา ถ้าคุณชะอมทอดกรอบเลือกทำงานวิศวกร ก็อาจมีการเบื่อบ้างเป็นธรรมดา อาจมีความคิดเสียดายในภายหลังว่า ทำไมไม่เลือกเป็นทหารอย่างที่ชอบ แต่เมื่อเป็นผู้ที่ฟังพระธรรมศึกษาพระธรรม ก็สามารถมีความคิดที่ไปในทางที่ถูกต้องได้ และพิจารณาได้ว่า สิ่งใดสำคัญกว่ากัน ระหว่างความชอบซึ่งเป็นความติดข้อง กับการเจริญขึ้นของกุศล แต่ไม่ว่าจะเลือกอย่างไร สิ่งที่ไม่ควรลืมคือ การฟังพระธรรมศึกษาพระธรรม เพราะจะเป็นปัจจัยให้ปัญญาเจริญขึ้น สามารถดำเนินชีวิตได้อย่างถูกต้องด้วยปัญญา
ขอเป็นกำลังใจให้นะครับ
ขอกราบอนุโมทนาในกุศลจิตของทุกท่านครับ
ทุกอย่างเป็นไปตามเหตุปัจจัยจริงๆ บางครั้งเหมือนเราจะเลือกได้ แต่จริงๆ แล้ว กรรมเป็นผู้จัดสรร ทำวันนี้ให้ดีที่สุด และ ที่สำคัญไม่ประมาทในการเจริญกุศลทุกประการ ค่ะ
"... ชีวิตของผู้ที่ยังมีกิเลสอยู่ ไม่ได้สิ้นสุดเพียงแค่ชาตินี้ชาติเดียว ยังต้องเกิดอีก สิ่งที่จะเป็นที่พึ่งได้อย่างแท้จริง คือ กุศลธรรม โดยเฉพาะอย่างยิ่งคือปัญญา ความเข้าใจถูกเห็นถูก ที่เจริญขึ้นจากการฟังการศึกษาพระธรรมในชีวิตประจำวัน ปัญญานี้แหละจะเป็นเครื่องนำทางชีวิตไปสู่ความดีทั้งปวง ช่วยประคับประคองให้ดำเนินไปในทางที่ถูกที่ควรต่อไป ..."
ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
ขออนุโมทนาครับ
เรียนถามพี่ๆ ด้วยความเคารพ การเลือกงานที่เราชอบจะเป็นผลดีกว่าไหมครับ และถ้าเลือกไม่ได้จริงๆ ไปทำงานที่ไม่ชอบ เราจะทำใจอย่างไรไม่ให้ทุกข์ครับ เพราะตลอดสี่ปีที่ผมเรียนวิศวะมา ผมไม่ชอบ ไม่เห็นประโยชน์ในสิ่งที่ผมทำ (เรียน) เลย ผมไม่ชอบเลยครับ
เรียนคุณชะอมฯ
เรียนถามพี่ๆ ด้วยความเคารพ การเลือกงานที่เราชอบจะเป็นผลดีกว่าไหมครับ ที่ว่าเป็นผลดีกว่าไหม คือ เป็นไปตามที่เราชอบใช่ไหมครับ ถ้าได้ตามประสงค์ที่ชอบใจ ก็จะคิดว่าดี ไม่ได้ตามที่ชอบใจก็คิดว่าไม่ดี อันนี้เป็นการเลือกด้วยอกุศลจิต หากเลือกด้วยกุศลจิตก็ต้องเป็นไปตามคำแนะนำของหลายๆ ท่านข้างต้น ลองอ่านย้ำอีกครับนะครับ เลือกงานด้วยกุศลจิตและความเข้าใจในธรรมะที่เป็นอนัตตา ดีที่สุด
และถ้าเลือกไม่ได้จริงๆ ไปทำงานที่ไม่ชอบ เราจะทำใจอย่างไรไม่ให้ทุกข์ครับ เพราะตลอดสี่ปีที่ผมเรียนวิศวะมา ผมไม่ชอบ ไม่เห็นประโยชน์ในสิ่งที่ผมทำ (เรียน) เลย ผมไม่ชอบเลยครับ ไม่ต้องรอให้ต้องไปทำงานที่ไม่ชอบก่อนหรอกครับถึงจะทุกข์ เพราะเมื่อไหร่ที่ไม่ได้สิ่งที่ชอบที่ปราถนาก็ทุกข์แล้ว ตัวอย่างเรื่องเรียนวิศวะที่ไม่ชอบนี้ก็ชัดว่าทุกข์แล้ว ก็คงเป็นตัวอย่างที่แสดงให้เห็นว่า เลือกไม่ได้เลย ไม่ชอบก็ต้องเรียน ก็เป็นไปตามเหตุและปัจจัย อีกด้วย แล้วจะทำอย่างไรไม่ให้ทุกข์ เป็นคำ ถามที่ยอดฮิตนะครับ
เมื่อยังไม่สามารถรู้จักทุกข์ได้จริงๆ แล้วจะไม่ให้ทุกข์เกิดได้หรือ? หากไม่เริ่มศึกษาพระธรรมเพื่อความเข้าใจความเป็นจริงแล้ว ย่อมไม่สามารถเห็นความทุกข์ที่แท้จริงได้เลย
ขออนุโมทนาในความสนใจธรรมะกับชีวิตประจำวันนะครับ
ขอบคุณพี่ๆ ทุกท่านที่ชี้แนะครับ
ขออนุโมทนา
ขออนุโมทนาครับ