ในเรื่องการเจริญธรรมใดก็ตาม หรือการฝึกจิต มีคำแนะนำว่า "ต้องเข้าใจพื้นฐานก่อนว่าไม่มีเรา ไม่มีสัตว์ บุคคล ตัวตนมีแต่ธรรม คือ จิต เจตสิก รูป และไม่สามารถบังคับบัญชาได้ ดังนั้นจึงไม่มีตัวเราที่ฝึก"
ปุถุชนยังมีความยึดถือว่าเป็นเราอยู่ไม่มากก็น้อย แต่การศึกษาธรรม การฟังธรรมบ่อยๆ ย่อมเป็นทางไปสู่การละความเป็นตัวตน ไม่มีเรา
การเริ่มที่ความไม่มีเราตั้งแต่แรก สำหรับปุถุชนแล้ว หมายความว่าอย่างไร (เป็นความไม่มีเราที่ระดับความคิด ความเข้าใจ หรือเป็นความไม่มีเราเพราะละได้) เพราะพระอริยะตั้งแต่พระโสดาบันขึ้นไปจึงละความเป็นเราได้
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ธรรม เป็นเรื่องที่ละเอียดลึกซึ้งอย่างยิ่ง
ธรรม เป็นสิ่งที่มีจริงๆ ไม่ใช่เรา กล่าวคือสภาพธรรมที่เป็นนามธรรมและรูปธรรมนั่นเอง ซึ่งจะต้องอาศัยการอบรมเจริญปัญญา ด้วยการฟังธรรมสะสมความเข้าใจในสภาพธรรมที่มีจริง ย่อมเป็นประโยชน์ตั้งแต่ขั้นของการฟัง ว่า ธรรม มีจริงๆ เป็นสิ่งที่มีจริงแต่ละหนึ่ง ซึ่งไม่ใช่เรา ไม่ใช่สัตว์บุคคลตัวตน
ไม่มีเรา แต่มีธรรม มีแต่ธรรมเท่านั้นที่เกิดขึ้นเป็นไป เพราะยังไม่มีความเข้าใจถูกเห็นถูกตั้งแต่ต้น จึงยังไม่สามารถขัดเกลา ละคลายการยึดถือสภาพธรรมว่าเป็นเราได้เลย แต่เมื่ออาศัยการฟัง การศึกษาการพิจารณาไตร่ตรองตามพระธรรมที่ได้ยินได้ฟังว่า แต่ละขณะๆ นั้น มีแต่ธรรมเท่านั้นจริงๆ ที่เกิดขึ้นเป็นไปไม่มีเราแทรกอยู่ในธรรมเหล่านั้นเลย ถ้าไม่ได้ฟังพระธรรม จะไม่มีทางเข้าใจถูกเห็นถูกในสภาพธรรมที่มีจริงตามความเป็นจริงได้เลย ธรรมเป็นสิ่งที่มีจริง สามารถพิสูจน์ได้ทุกขณะว่าเป็นสิ่งที่มีจริง ไม่ว่าจะได้เห็น ได้ยิน ได้กลิ่น ลิ้มรส รู้สิ่งที่กระทบสัมผัส คิดนึก ดีใจ เสียใจ ติดข้องยินดี พอใจ หงุดหงิดโกรธขุ่นเคือง ไม่พอใจ เป็นต้น ล้วนเป็นธรรมทั้งหมด เกิดแล้วดับแล้ว จะเป็นเรา หรือ เป็นของของเราได้อย่างไร และที่น่าพิจารณา คือธรรม ไม่ได้หมายถึงเพียงสภาพธรรมฝ่ายดีเพียงอย่างเดียวเท่านั้น แต่หมายรวมถึงสิ่งที่มีจริงทั้งหมด ชีวิตประจำวันที่ดำเนินไปนั้นไม่พ้นไปจากธรรมเลย ทุกขณะเป็นธรรม มีจิต เจตสิก (สภาพธรรมที่เกิดร่วมกับจิต) และรูป เกิดขึ้นเป็นไปอยู่ตลอดเวลา จิต เจตสิก รูปนั้น เกิดขึ้นเพราะเหตุปัจจัยแล้วก็ดับไป ไม่เที่ยง ไม่ยั่งยืน ที่ไม่เที่ยงนั้นเพราะเกิดแล้วดับไป สภาพธรรมที่เกิดแล้วดับไปนั้นเป็นทุกข์ เป็นทุกข์เพราะเหตุว่าตั้งอยู่ไม่ได้ มีความแปรปรวนไปเป็นธรรมดา และเป็นอนัตตา คือ ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตน ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของใคร ปัญญาเท่านั้นที่จะทำกิจหน้าที่รู้สภาพธรรมตามความเป็นจริง
ธรรมเป็นเรื่องที่ละเอียด ยากที่จะเข้าใจ แต่ก็สามารถที่จะเข้าใจได้ การศึกษาธรรม เป็นการศึกษาถึงสภาพธรรมที่ไม่ใช่สัตว์ ไม่ใช่บุคคล ไม่ใช่ตัวตน เพื่อเข้าใจสภาพธรรมตามความเป็นจริง เนื่องจากคุ้นเคยกับความเป็นตัวตน คุ้นเคยกับความเป็นเรา พร้อมทั้งได้สะสมความไม่รู้มาอย่างเนิ่นนาน จึงหลงยึดถือสภาพธรรมที่กำลังปรากฏว่าเป็นต้วตน เป็นสัตว์ เป็นบุคคล เป็นเรา ดังนั้น ธรรม ซึ่งเป็นสิ่งที่มีจริงนั้น จึงควรที่จะศึกษา เพื่อความเข้าใจถูก เห็นถูกตามความเป็นจริง ซึ่งจะเป็นไปเพื่อละคลายความไม่รู้ ละความเห็นผิดในสภาพธรรมว่าเป็นตัวตน เป็นสัตว์ เป็นบุคคลได้ในที่สุด โดยเริ่มต้นสะสมความเข้าใจถูกเห็นถูกตั้งแต่ในขณะนี้ เมื่อไม่ขาดการฟังการศึกษาพระธรรมเป็นปกติในชีวิตประจำวันแล้ว ความเข้าใจถูกเห็นถูกก็จะค่อยๆ เจริญขึ้น ครับ
ขอเชิญคลิกอ่านข้อความเพิ่มเติมได้ที่นี่ครับ
ฟังเพื่อเข้าใจถูกว่า ไม่ใช่เรา
...ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกๆ ท่านครับ...
ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
การเริ่มที่ความไม่มีเราตั้งแต่แรก สำหรับปุถุชนแล้ว หมายความว่าอย่างไร
ในความเป็นจริงของการเจริญอบรมปัญญา จะต้องเป็นไปตามลำดับ คือ เริ่มจากความเข้าใจถูกในขั้นปริยัติ ขั้นการฟัง ศึกษาพระธรรม และ ถึง ความเข้าใจถูก ปัญญาขั้นปฏิบัติ คือ การรู้ความจริงของสภาพธรรมในขณะนี้ ที่เป็นสติปัฏฐานเกิด ที่รู้ลักษณะของสภาพธรรมที่กำลังปรากฏว่าเป็นแต่เพียงธรรมไม่ใช่เรา และ ย่อมถึงปัญญาขั้นปฏิเวธ คือ แทงตลอดความจริงของสภาพธรรม ถึงการเป็นพระอริยบุคคล ไม่มีเราที่แท้จริง เพราะฉะนั้น กว่าจะดับความไม่มีเรา ไม่ใช่ ไม่มีความเข้าใจว่าไม่มีเราตั้งแต่ต้นเลย แต่จะต้องอาศัยความเข้าใจตั้งแต่ต้น ที่เป็นขั้นปริยัติ คือ เข้าใจในขั้นการฟัง ขั้นศึกษาพระธรรม ว่าไม่มีเรา มีแต่ธรรมที่เกิดขึ้นเป็นไป จนมั่นคงที่เรียกว่า สัจจญาณ เพราะอาศัย ความเข้าใจขั้นการฟัง ว่าไม่มีเรา จนมั่นคงแล้ว ย่อมถึงการรู้ความจริงของสภาพธรรมในขณะนี้ ว่าเป็นแต่เพียงธรรมไม่ใช่เรา ที่เป็น ปฏิบัติ นั่นเองครับ เพราะฉะนั้น หากเริ่มจากความมีเรา คือ มีตัวตนที่จะทำได้ ก็ทำให้เดินในหนทางผิด เพราะ เข้าใจผิดตั้งแต่ขั้นการฟัง แต่ถ้าเริ่มจากความเข้าใจถูกในขั้นการฟัง ว่าไม่มีเรา มีแต่ธรรม ซึ่งกำลังมีในขณะนี้ ก็ไม่ต้องไปแสวงหาธรรมที่จะรู้ เพราะไม่มีเราก็คือ กำลังมีสภาพธรรมในขณะนี้ จึงไม่ไปนั่งสมาธิ เดินจงกรม เพื่อหาธรรม แต่ อบรมปัญญาขั้นการฟัง เพื่อเข้าใจตัวจริงในขระนี้ ครับ นี่คือ ประโยชน์ในความเห็นถูกที่จะเริ่มจากความไม่มีเราในขั้นการฟังเป็นสำคัญ ซึ่ง เมื่อเดินในหนทางที่เป็นทิศทางที่ถูกต้อง และ เป็นก้าวแรกที่ถูกแล้ว ย่อมไปถึงจุดหมาย คือ ก้าวสุดท้ายได้ในที่สุด ครับ แต่ ถ้าก้าวแรกผิด ก็เป็นปัจจัยให้เดินหลงทางไม่ถึงจุดหมายอย่างแน่นอน เพราะฉะนั้น ปัญญา ความเห็นถูก จึงเป็นสิ่งสำคัญ โดยเริ่มจากขั้นการฟัง ศึกษาพระธรรม อันเป็นก้าวที่ประเสริฐ ที่เป็นก้าวของการไม่มีเรา การศึกษาธรรมจึงต้องเป็นผู้ละเอียดเสมอ ขออนุโมทนา ครับ
ขอเชิญอ่านคำบรรยายท่านอาจารย์สุจินต์ในเรื่องนี้โดยตรงดังนี้ ครับ
ตั้งต้นที่จะมีความมั่นคงในความเป็นอนัตตา คือ ไม่มีเรา มีแต่ธรรม
ผู้ถาม อย่างเราศึกษาพระธรรม เราจะพอระลึกได้ถึงสภาพของโทสะที่เกิด ทีนี้พอเราระลึกได้ บางครั้งเราก็มีความอดทนต่อสภาพธรรมที่เกิด ไม่ไปประทุษร้ายผู้อื่นทางกาย วาจา แต่ทีนี้บางวันไม่มีสาเหตุอะไรเลย แต่เกิดมาตอนเช้าก็อารมณ์เสียตั้งแต่เช้าซึ่งเราก็รู้สึกว่ามันเป็นสภาพธรรมของโทสะ แต่ว่ามันไม่มีสาเหตุที่ไปกระทบกระทั่ง ก็เลยอยากเรียนถามสภาพธรรมและการสะสมของโทสะในชีวิตประจำวัน
สุ. โทสะไม่เปลี่ยนลักษณะเลยไม่ว่าจะเกิดเมื่อไหร่ จะน้อยจะมากวันไหน ไม่มีสาเหตุอะไรก็รู้สึกสะสมมาที่จะเกิดความไม่สบายใจโดยที่ว่าขณะนั้นก็ไม่ได้มีเหตุที่จะทำให้เราคิดว่าเพราะเรื่องนั้นหรือเพราะอย่างนี้ แต่ก็เป็นความรู้สึกไม่สบายใจที่เกิดขึ้น บางวันก็รู้สึกแช่มชื่นเบิกบาน จริงๆ แล้วทั้งหมดแสดงถึงความเป็นอนัตตา แล้วเราก็ข้ามความเป็นอนัตตาซึ่งก็มีให้เห็นอยู่ แม้ในเรื่องที่ว่าบางวันก็เกิดไม่สบายใจขึ้นมา แล้วบางวันก็แจ่มใส แค่นี้ก็ผ่านไปแล้ว ทำไมเราไม่เห็นว่านี่คืออนัตตา ไม่มีใครสามารถบังคับบัญชาได้เลย เพราะเหตุว่ายังมีความเป็นเรา ก็ยังมีความสงสัยในทุกอย่าง เพราะเหตุว่าสิ่งนั้นก็เกิดแล้ว สงสัยอะไร ในเมื่อที่เกิดต้องมีเหตุปัจจัยจึงเกิดได้ จึงเป็นอย่างนั้นในขณะนั้น เพราะฉะนั้นหนทางเดียวที่จะไม่เป็นไปกับเรื่องราวกับความเป็นเรา วันนี้ทำไมอย่างนี้ วันก่อนเป็นยังไง ก็คือให้รู้ในลักษณะที่เป็นธรรมขึ้น ไม่ใช่เราในขณะนั้น แค่นี้เราก็ข้ามไปทั้งวัน เพราะว่าถึงเราจะฟังธรรมมากสักเท่าไหร่ วิตกของเราก็ยังไม่มีปัจจัยปรุงแต่งที่จะรู้ตรงลักษณะของสิ่งที่กำลังปรากฏ อย่างโทสะเกิดมีลักษณะของโทสะซึ่งทุกคนก็รู้ว่าไม่ใช่โลภะ ไม่ใช่สภาพธรรมอื่น มีลักษณะอื่นปรากฏ ควรจะเพื่อให้รู้ เพื่อเข้าใจให้ถูกต้อง แต่กลับให้สงสัยว่าทำไมถึงเป็นอย่างนี้ ก็จะเป็นอย่างนี้ไปเรื่อยๆ จนกว่าการฟังพระธรรมของเราจะไม่ปรารถนา ไม่ได้ต้องการอะไร แต่ให้มีความมั่นคงที่จะให้รู้ว่าธรรมเป็นอนัตตา ไม่ว่าธรรมใดๆ ทั้งสิ้นที่เกิดปรากฏเพื่อที่จะละความเป็นเรา มิฉะนั้นเราก็ไม่มีความตั้งต้นที่จะมีความมั่นคงในความเป็นอนัตตา เราก็ติดตามเรื่องราวไปตลอด
ขออนุโมทนา
ขอบคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
ขออนุโมทนาค่ะ
การศึกษาพระธรรมต้องเป็นผู้ละเอียด
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
ขอพระคุณครับ และขอถามเพิ่มเติมว่า "การเริ่มจากขั้นการฟัง ศึกษาพระธรรม อันเป็นก้าวที่ประเสริฐ ที่เป็นก้าวของการไม่มีเรา" นั้น หมายถึง การศึกษาเพื่อความเข้าใจใน "ไตรลักษณ์" ใช่หรือไม่ หรือกล่าวได้ว่า "การเข้าใจในไตรลักษณ์เป็นก้าวแรกของการไม่มีเรา และเป็นก้าวแรกของการศึกษาธรรม" ใช่หรือไม่
ขอบพระคุณและขออนุโมทนาค่ะ
เรียนความเห็นที่ 7 ครับ
ก้าวแรกของการศึกษาพระธรรม ไม่ได้หมายถึง จะต้องเข้าใจถึง ความเป็นไตรลักษณ์ ที่เป็นการรู้ลักษณะของความไม่เที่ยง เป็นทุกข์และเป็นอนัตตา แต่หมายถึง การเข้าใจขั้นการฟังของสภาพธรรมที่มีจริงในขณะนี้ว่าเป็นแต่เพียงธรรมไม่ใช่เรา ว่าเป็นธรรมแต่ละหนึ่ง ในขั้นการฟัง จนปัญญาถึงพร้อมที่เป็นสติปัฏฐาน ย่อมรู้ความเป็นอนัตตา ไตรลักษณ์จริงๆ ของสภาพธรรมว่าไม่เที่ยง เป็นทุกข์และเป็อนัตตาจริงๆ ครับ
ขออนุโมทนา
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาค่ะ
การศึกษาพระธรรมต้องเป็นผู้ละเอียด
ขอบพระคุณ และขออนุโมทนาครับ
การศึกษาพระธรรม เริ่มต้นจากการฟังพระธรรม จึงเริ่มรู้ความจริง ถ้าไม่ฟังความจริงก็อยู่กับความไม่รู้ ซึ่งเป็นภัยอย่างยิ่งในสังสารวัฏฏ์
กราบอนุโมทนาขอบพระคุณในกุศลทุกประการ ค่ะ