ในสังยุตตนิกาย สฬายตนวรรค สมุททวรรคที่ ๓
อุทายีสูตร
มีข้อความว่า
[๓๐๐] ท่านพระอานนท์กล่าวว่า ดูกร ท่านพระอุทายีกายนี้ พระผู้มีพระภาคตรัสบอก เปิดเผย ประกาศแล้วโดยปริยายต่างๆ ว่าแม้เพราะเหตุนี้ กายนี้เป็นอนัตตาดังนี้ฉันใด แม้วิญญาณนี้ ผมอาจจะบอก แสดง บัญญัติ แต่งตั้ง เปิดเผย จำแนก กระทำให้ตื้นว่า แม้เพราะเหตุนี้วิญญาณนี้ก็เป็นอนัตตา ฉันนั้น
ถ้าท่านพระอานนท์ไม่ได้เป็นพระโสดาบันบุคคล ไม่รู้แจ้งสภาพธรรมที่เป็นรูปธรรมและนามธรรมโดยทั่วโดยตลอดจนละความเห็นผิดที่ยึดถือนามธรรมและรูปธรรมเป็นตัวตน สัตว์ บุคคล ท่านพระอานนท์ก็คงจะกล่าวกับท่านพระอุทายีไม่ได้ ว่าผมอาจบอก แสดง บัญญัติ แต่งตั้ง เปิดเผย จำแนก กระทำให้ตื้นว่าแม้เพราะเหตุนี้ วิญญาณนี้เป็นอนัตตา
ฉะนั้น บุคคลใดบรรลุธรรมใด ธรรมนั้นย่อมปรากฏกับบุคคลนั้น เวลานี้สภาพธรรมเกิดขึ้นแล้วก็ดับไปอย่างรวดเร็วเมื่อบุคคลใดยังไม่บรรลุธรรมใด ธรรมนั้นก็ไม่ปรากฏกับบุคคลนั้น แม้จะบอกกันสักเท่าไรว่า นามธรรมเป็นสภาพรู้ เป็นธาตุรู้ในขณะกำลังเห็น กำลังได้ยินแต่เมื่อบุคคลนั้นยังไม่บรรลุธรรมใด ธรรมนั้นก็ไม่ปรากฏแก่บุคคลนั้นแต่เมื่อธรรมปรากฏกับบุคคลนั้นแล้ว บุคคลนั้นก็รู้แจ้งลักษณะที่แท้จริงของธรรมนั้น
ท่านพระอานนท์ไม่มีความสงสัยในลักษณะของนามธรรมและรูปธรรมเลยทั้งทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ ถ้าคนสมัยนี้เข้าใจว่า จะรู้เพียงกายานุปัสสนาสติปัฏฐานอย่างเดียวหรือรู้เพียงนามเดียวรูปเดียวเท่านั้น จะชื่อว่ารู้ลักษณะที่แท้จริงของนามธรรมและรูปธรรมได้ไหม เพราะถ้ารู้จริงแล้ว ทำไมทางตาไม่รู้ ในเมื่อทางตาเป็นนามธรรมเป็นธาตุรู้ที่กำลังเห็น ทำไมทางหูไม่รู้ ในเมื่อทางหูเป็นนามธรรมเป็นธาตุรู้ที่กำลังได้ยินเสียง
ถ้ารู้ลักษณะของนามธรรมจริงๆ ประจักษ์แจ้งในธาตุรู้ อาการรู้แล้วทำไมไม่รู้ว่า ในขณะที่คิดนึกก็เป็นเพียงนามธรรมที่กำลังรู้เรื่องรู้คำเท่านั้นเอง การที่จะทดสอบปัญญาของท่านว่า รู้จริงหรือเปล่า คือไม่ว่าเป็นนามธรรมใดรูปธรรมใด ทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย ทางใจ เมื่อรู้จริงก็ต้องรู้ลักษณะของนามธรรมต่างกับรูปธรรมในขณะที่เห็น ได้ยิน ได้กลิ่นลิ้มรส รู้สิ่งที่กระทบสัมผัส คิดนึก จึงจะเป็นการรู้จริงใน อรรถะ และลักษณะของสภาพธรรมทั้งหลายโดยความเป็นอนัตตา
ขออนุโมทนาครับ
ขออนุโมทนาค่ะ