ขอนอบน้อมแด่พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น
ข้อความบางตอนจากการถอดเทปวิทยุโดย คุณย่าสงวน สุจริตกุล
ท่านอาจารสุจินต์อธิบายเรื่อง "การอบรมเจริญปัญญา"
เพราะฉะนั้น ก็จะเห็นได้นะคะว่าถ้ายังไม่รู้ลักษณะของสภาพธรรม ตามความเป็นจริง ก็ไม่สามารถแยกโลกของสมมติบัญญัติ ออกจากโลกของปรมัตถธรรมได้และยังไม่เข้าใจว่าปรมัตถธรรม (จิต เจตสิก รูป นิพพาน) ว่า เป็นสภาพธรรมที่มีจริง ซึ่งไม่ต้องใช้ชื่ออะไรเลยแต่เวลาที่ไม่รู้ลักษณะของสภาพปรมัตถธรรม ตามความเป็นจริงก็มีชื่อติดอยู่ที่สภาพปรมัตถธรรมทุกอัน เช่น พอเห็นสิ่งที่ปรากฏทางตา ซึ่งเป็นปรมัตถธรรมแท้ๆ ท่านก็มีชื่อเข้าไปติดกับสภาพปรมัตถธรรมที่กำลังปรากฏโดยนึกถึงเรื่อง รูปร่าง สัณฐาน ไม่รู้ว่า แท้จริงแล้วในขณะนั้น ถ้าจิตไม่คิดเรื่องทั้งหลาย ชื่อทั้งหลาย จะไม่ปรากฏเลย ไม่คิดเลย จะไม่มีโลกไม่มีสมมติบัญญัติ ไม่มีเรื่องราว
ซึ่งท่านเข้าใจว่าจริง แต่แท้ที่จริงแล้วบัญญัติธรรมที่สมมติเป็นการนึกถึงปรมัตถธรรม (คือสิ่งที่มีจริงๆ) แต่เพราะไม่เข้าใจชื่อ จึงปิดบังและครอบงำปรมัตถธรรมไม่สามารถที่จะเห็นความจริงว่า แท้จริงแล้วสัตว์ บุคคล ตัวตน วัตถุสิ่งต่างๆ นั้นไม่มีเลยมีแต่สภาพธรรมที่เกิดขึ้น ปรากฏ แล้วก็หมดไป เท่านั้นเองเพราะฉะนั้นจึงต้องเข้าใจความคิดนะคะ ว่า ขณะใดที่มีความคิดเกิดขึ้นขณะนั้นเป็นโลกของบัญญัติ สมมติถึงสภาพปรมัตถธรรม ซึ่งปรากฏทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ
การอบรมเจริญปัญญา จึงต้องรู้ตามความเป็นจริงว่าขณะที่เห็นว่าเป็นคนขณะนั้นคือ การคิดถึง รูปร่างสัณฐานของสิ่งทีปรากฏ เพราะฉะนั้นต้องแยกให้ออกให้รู้ตามความเป็นจริงว่า ถ้าขณะใด ที่มีความคิดเกิดขึ้น ขณะนั้น เป็นการคิดถึงเรื่องราว ไม่ใช่การรู้ลักษณะของปรมัตถธรรม ที่ปรากฏทางตา หู จมูก ลิ้น กาย (ไม่รวมทางใจ)
ท่านอาจารย์สุจินต์ย้ำเสมอว่า "สิ่งที่ต้องละก่อน คือ ความเห็นผิด"
ขออนุโมทนา
ขออุทิศกุศลแด่ คุณพ่อ คุณแม่และสรรพสัตว์
สาธุ
ขออนุโมทนาค่ะ
ขออนุโมทนาครับ
จากแผ่นธรรมะ โสภณธรรม
กิจที่ทำให้เห็นผิดเป็นหน้าที่ของ ทิฏฐิเจตสิก ซึ่งเป็นสภาพธรรมอีกอย่างหนึ่ง ซึ่งเกิดหลังจากที่มีการใส่ใจในรูปร่างของของสิ่งที่ปรากฏ ก็จะแยกทางตากับทางใจออกได้ โดยการรู้ว่า เฉพาะทางตา เพียงเห็น และในเวลาที่กำลังจำหรือกำลังรู้ ว่าเป็นสิ่งใดสิ่งหนึ่ง ขณะนั้น เป็นทางใจเสียแล้ว ค่อยๆ แยกทางตากับทางใจออก แยกทางหู ทางจมูก ทางลิ้น ทางกาย กับทางใจออก แล้วถึงจะรู้ว่าปรมัตถธรรมแท้ๆ ไม่ใช่ขณะที่กำลังคิดเรื่องรูปร่างหรือเรื่องต่างๆ นี่ก็จะต้องเป็นเพราะสติปัฏฐาน และเมื่อเข้าใจแล้วก็ต้องปฏิบัติตามที่เข้าใจจนกว่าปัญญาจะเจริญขึ้น
ขออนุโมทนาค่ะ
...ขออนุโมทนาครับ...
คลิกฟังที่นี่ครับ -->
ถ้าสติปัฏฐานไม่เกิด ก็จะอยู่แต่ในโลกของอรรถบัญญัติ
บัญญัติมีเมื่อจิตคิด ถ้าเข้าใจปรมัตถธรรม ก็เข้าใจบัญญัติได้
สติสัมปชัญญะรู้ความต่างของปรมัตถ์และบัญญัติ
พระธรรม ไม่แปรผัน
ไม่ว่าจะแสดงไว้อย่างไร ที่ไหน กับใคร
ก็รวมลงที่ความเห็นถูก
อนุโมทนาค่ะ
โมทนาค่ะ
ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกท่านค่ะ
ขออนุโมทนาค่ะ
ขออนุโมทนาคุณพุทธรักษาที่นำบทความที่มีประโยชน์ให้มาได้อ่านกันค่ะ
"สิ่งที่ต้องละก่อน คือ ความเห็นผิด" จึงควรฟังพระธรรมให้เกิดความเห็นถูกในสภาพธรรมตามความเป็นจริงว่า ขณะใดที่มีความคิดเกิดขึ้น ขณะนั้นเป็นการคิดถึง เรื่องราว บัญญัติต่างๆ ขณะใดที่เห็นเกิดขึ้น ขณะนั้นสิ่งที่ถูกเห็นเป็นเพียงสิ่งที่ปรากฎทางตาเท่านั้นซึ่งเป็นสภาพปรมัตถธรรม ไม่มีเรื่องราว บัญญัติ สัตว์ บุคคลใดๆ เช่นเดียวกันกับสิ่งที่ปรากฎทางหู ทางจมูก ทางลิ้น และทางกาย สิ่งที่ปรากฎเป็นเพียงสภาพปรมัตถธรรมแต่ละอย่างที่ปรากฎแต่ละทางเท่านั้น
ขออนุโมทนาในกุศลจิตของทุกท่านค่ะ
ขออนุโมทนาค่ะ
ขออนุโมทนาในกุศลเจตนาของทุกท่านค่ะ
ขออนุโมทนาครับ